10 ข้อผิดพลาดของการทำ Content Marketing ที่ทำให้คุณเสียเงินแบบฟรีๆ

การทำการตลาดด้วยคอนเทนต์หรือ Content Marketing เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยในการสร้างชื่อเสียงและยอดขายให้กับแบรนด์และธุรกิจ จนทำให้แทบจะทุกธุรกิจนั้นหันมาทุ่มงบประมาณในการสร้างสรรค์คอนเทนต์มากขึ้นในแต่ละปี แต่หากคุณวางแผนทำ Content Marketing ไปแล้วรู้สึกว่ามันดูแล้วไม่เข้าเป้าหรือตอบโจทย์ทางธุรกิจ ไม่สามารถสร้างให้เกิด Engagement ไม่สร้างให้เกิด Conversion หรือการจดจำจากคอนเทนต์ที่คุณทำ จนกลายเป็นเสียงบประมาณไปแบบฟรีๆขึ้นมา มันอาจจะมีข้อผิดพลาดบางอย่างเกิดขึ้นที่คุณอาจมองข้ามไปด้วยความตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ โดยหากคุณสามารถแก้ไขข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้โดยเร็ว มันก็จะทำให้การทำ Content Marketing นั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องเสียงบประมาณไปแบบฟรีๆ เรามาดูกันครับว่าข้อผิดพลาดที่มักจะเกิดขึ้นเวลาทำ Content Marketing ที่ผมได้สรุปรวมมาให้ดู ทั้งจากที่ผมเองก็เคยทำผิดพลาดมาก่อน การไปให้คำปรึกษาหลายๆธุรกิจ รวมถึงการได้สอนเรื่อง Creative Content Marketing ให้หลากหลายหน่วยงาน

What's next?

ข้อผิดพลาดของการทำ Content Marketing ที่คุณควรหลีกเลี่ยงมากที่สุด

อย่างที่ทราบกันครับว่าการทำคอนเทนต์ถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดกลยุทธ์หนึ่ง ซึ่งนอกเหนือจากการเขียนคอนเทนต์ได้ออกมาดีแล้ว คุณยังจำเป็นต้องใช้งบประมาณการยิงคอนเทนต์ที่คุณทำ ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียหรือช่องทางออนไลน์อื่นๆ และก็มีหลากหลายกรณีเกิดขึ้นกับการใช้งบประมาณที่สูงมาก แต่กลับกลายเป็นว่าได้ผลตอบรับมาไม่ดีเท่าที่ควร เพราะบางครั้งคุณอาจกำลังทำอะไรบางอย่างผิดพลาดอยู่ก็ได้ ตัวอย่างเช่น

1. ไม่เข้าใจกลุ่มเป้าหมายของการทำคอนเทนต์

การเข้าใจกลุ่มเป้าหมายทางการตลาด ก็เปรียบเสมือนการติดกระดุมเม็ดแรก ถ้ากำหนดผิดตั้งแต่แรกก็จะทำให้ผิดไปหมดทุกๆอย่าง ตั้งแต่กลยุทธ์ของธุรกิจการคิดคอนเทนต์ลามไปยังการออกแบบรวมถึงการยิงโฆษณา โดยการเข้าใจกลุ่มเป้าหมายนั้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วนครับ นั่นก็คือ 1. ส่วนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ สินค้า หรือบริการ ที่อาจมีการแบ่งตาม STP Link หรืออาจจะใช้วิธีอื่นๆ และ 2. การทำความเข้าใจในเรื่องของ Persona Link ของกลุ่มเป้าหมายแบบลึกซึ้ง หากคุณวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายผิดพลาดตั้งแต่การแบ่งตาม STP Link การวิเคราะห์ Persona Link นั้นก็จะผิดไปด้วยตามลำดับ ดังนั้นลองกลับไปตั้งคำถามสำคัญๆดูครับว่า

  • ใครคือกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงของธุรกิจ
  • กลุ่มเป้าหมายของการทำคอนเทนต์นั้นพวกเขาอยากรู้อะไร
  • กลุ่มเป้าหมายของการทำคอนเทนต์นั้นมี Pain Point อะไร
  • กลุ่มเป้าหมายของการทำคอนเทนต์นั้นมีความคาดหวังอะไร
  • จะทำคอนเทนต์ที่มีคุณค่าให้กลุ่มเป้าหมายอย่างไร

คุณไม่ควรรีบร้อนที่จะสร้างสรรค์และยิงคอนเทนต์ในทันที แต่ควรให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ว่ากลุ่มเป้าหมายของการทำธุรกิจคือใคร และจะทำคอนเทนต์อะไรอย่างไรเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายได้ประโยชน์ที่สุด

2. เป้าหมายในการทำคอนเทนต์ไม่ชัดเจน

เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการทำคอนเทนต์นั้นมีหลากหลายอย่าง โดยแต่ละวัตถุประสงค์นั้นก็จะส่งผลต่อการทำคอนเทนต์ที่ไม่เหมือนกัน หากคุณวางผิดวัตถุประสงค์ตั้งแต่แรกคุณก็จะทำคอนเทนต์ผิดในทันที ถ้าคุณเป็นธุรกิจใหม่ในตลาดคุณควรสร้างการรับรู้ (Awareness) เป็นอันแรกก่อน ไม่ใช่รีบขายสินค้าเพราะคนยังไม่รู้จักคุณดีพอ เพราะถ้าคุณทำคอนเทนต์แบบโปรโมชั่นหรือแบบ Hard Sell ขึ้นมา ก็อาจส่งผลให้ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีก็ได้ และการตั้งเป้าหมายที่ผิดพลาดยังส่งผลถึงการตั้ง Call-to-Actions (CTAs) ที่อาจผิดพลาดได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นวัตถุประสงค์ของการทำคอนเทนต์คุณต้องเข้าใจเป้าหมายของธุรกิจ เป้าหมายทางการตลาด และความต้องการของกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน และรู้ว่าควรจะกำหนด Call-to-Actions (CTAs) อะไรให้เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาด

Content Marketing Objective

3. ไม่เคยทำ Evergreen Content บ้างเลย

Evergreen Content หรือคอนเทนต์ที่ให้ประโยชน์ให้คุณค่าที่ไม่ใช่การขายของ มีลักษณะเป็นคอนเทนต์แบบ Long-form ในรูปแบบบล็อก หรืออาจเป็นการถ่ายทอดผ่านรูปแบบ Infographic วีดิโอ และอื่นๆ บนโซเชียลมีเดีย Evergreen Content นั้นส่งผลดีต่อการจัดอันดับ Ranking บน Google โดยเฉพาะเมื่อคุณกำลังทำ SEO ให้กับแบรนด์หรือธุรกิจของคุณในระยะยาว เมื่อเทียบกับการทำคอนเทนต์แบบ Real-time หรือ Trending Topic ที่มาๆไปๆตามเหตุการณ์หรือสถานการณ์ต่างๆ คุณค่าก็จะหายไปตามกาลเวลา แต่หากเป็น Evergreen Content นั้นจะสร้างคุณค่าที่อยู่ได้ยาวนานกว่า และทำให้คุณโดดเด่นแตกต่างจากคู่แข่งที่เน้นทำแต่คอนเทนต์แนว Real-time หรือ Trending Topic เพียงอย่างเดียว

4. เน้นการขายและทำโปรโมชั่นมากจนเกินไป

การเน้นขายสินค้ามากจนเกินไปอาจเป็นการผลักดันหรือยัดเยียดทุกสิ่งให้ลูกค้า เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้ของธุรกิจ การทำเช่นนั้นอาจจะทำให้คุณเสียงบประมาณทางการตลาดอย่างมหาศาลก็ได้ โดยที่ลูกค้าอาจจะไม่ได้ต้องการจะรับข้อมูลด้านการขายหรือโปรโมชั่นแบบหนักหน่วงอย่างที่คุณคิด หากคุณเน้นการทำคอนเทนต์ไปในเชิงที่ช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ นั่นอาจจะกลายเป็นคอนเทนต์ที่มีคุณค่ามากกว่าการขายที่เน้นเรื่องของราคาและส่วนลดเพียงอย่างเดียว

เน้นการขายและทำโปรโมชั่นมากจนเกินไป

5. สื่อสารผิดช่องทาง

เชื่อไหมครับว่าในปัจจุบันยังมีหลายๆธุรกิจที่ทำคอนเทนต์แล้วสื่อสารแบบผิดช่องทางอยู่ เพราะว่าไม่ได้มีการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายของธุรกิจว่าแต่ละกลุ่มนั้นเปิดรับข้อมูลข่าวสารผ่านช่องทางใด และในปัจจุบันช่องทางไหนสามารถสร้างให้เกิด Engagement รวมถึง Conversion ได้ดีมากที่สุด บางธุรกิจอาจเหมาะกับช่องทางออฟไลน์มากกว่าออนไลน์ และลูกค้าส่วนใหญ่กว่า 80% นั้นอยู่บนโลกออฟไลน์ แต่ดันให้ความสำคัญกับช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดียเกือบ 100% นั่นก็เท่ากับว่าคุณกำลังสื่อสารคอนเทนต์แบบผิดช่องทาง และมันก็จะทำให้คุณเสียงบประมาณไปโดยอาจไม่ได้อะไรกลับมาเลย ดังนั้นวิเคราะห์ให้ชัดเจนว่าทั้งธุรกิจของคุณเหมาะกับการสื่อสารผ่านช่องทางใด กลุ่มเป้าหมายของคุณนั้นอยู่ในช่องทางไหนกันบ้าง จะได้ไม่เปลืองงบประมาณการตลาดนั่นเอง

6. เน้นปริมาณมากกว่าเน้นคุณภาพ

ปริมาณไม่ได้เป็นตัววัดผลความสำเร็จของการทำคอนเทนต์ แต่เป็นเรื่องของคุณภาพที่มีคุณค่าต่อผู้อ่านต่างหาก ที่ทำให้คอนเทนต์ประสบความสำเร็จได้อย่างแท้จริง เมื่อคุณได้โจทย์ที่ต้องทำคอนเทนต์และกลัวว่าจะไม่มีคอนเทนต์ในแต่ละวัน หรือกลัวว่าจะไม่ได้ตาม KPIs จนคิดคอนเทนต์ออกมาเยอะแยะมากมาย แต่ถ้าหากคอนเทนต์เหล่านั้นมีแต่ปริมาณ แต่ไร้ซึ่งคุณภาพและไม่มีการวางแผนที่จะเขียนคอนเทนต์เลย คอนเทนต์ที่คุณทำออกมาจะเสียทั้งเวลาและงบประมาณ และสิ่งที่คุณทำมันจะเหนื่อยเปล่าเอาดื้อๆครับ ดังนั้น คุณไม่จำเป็นต้องโฟกัสที่ปริมาณว่าใน 1 วันต้องโพสต์ “ให้ได้” 3-4 คอนเทนต์ แต่ให้เน้นดูครับว่าพฤติกรรมการเสพคอนเทนต์ของกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างไร ชอบคอนเทนต์ประมาณไหนรูปแบบไหน เปิดอ่านช่วงเวลาใด มันจะทำให้คุณเห็นครับว่าคุณจะทำคอนเทนต์เชิงคุณภาพออกมาได้อย่างไรนั่นเอง

7. ทำคอนเทนต์แบบ Clickbait จนน่าเบื่อ

หากคุณได้ดูข่าวสารบนโลกโซเชียลมีเดียบ่อยๆ รับรองว่าอย่างน้อยคุณต้องเคยตกเป็นเหยื่อของคอนเทนต์แบบ Clickbait อย่างแน่นอน ซึ่งคอนเทนต์แบบ Clickbait นั่นก็คือ การตั้งหัวข้อหรือชื่อเรื่องของคอนเทนต์ที่ดึงดูดให้คุณหันมาสนใจในทันที ในลักษณะเหมือนเป็นเหยื่อล่อให้คุณกด Clickbait จะเน้นสร้างผลประโยชน์ให้กับคอนเทนต์นั้นๆ ด้วยการล่อให้คนกดเข้ามาอ่านโดยเนื้อหาอาจจะไม่ได้ตรงกับหัวข้อเลยก็ได้ หากมีความเกี่ยวข้องมากหน่อยก็ยังถือว่าค่อนข้างดี แต่หากว่า 100% ของเนื้อหานั้นไม่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนั้นๆเลย นั่นเท่ากับว่าคุณกำลังล่อลวงให้คนเข้ามาอ่านเพื่อสร้างให้เกิด Traffic หรือหวังผลในการขายของแบบเพียวๆ ซึ่งมันจะส่งผลต่อความศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวธุรกิจของคุณ (เสมือนโดนหลอก) และอาจส่งผลให้เกิดอัตราการตีกลับ (Bounce Rate) Link สูงมากขึ้นจนส่งผลให้คนไม่อยากรับรู้หรือติดตามคอนเทนต์อื่นๆของคุณอีกต่อไป

คอนเทนต์แบบ Clickbait

8. ไม่เคยทำ SEO Strategy เลย

ไม่ใช่ว่าคุณจะให้ความสำคัญหรือเทน้ำหนักไปทางโซเชียลมีเดียเพียงอย่างเดียว อย่างน้อยคุณก็จำเป็นต้องวางกลยุทธ์การทำ On-Page SEO Link ดูบ้างเพราะมันส่งผลต่อการติดอันดับต้นๆบน Google Search Engine ในเวลาที่ลูกค้าสนใจจะหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือธุรกิจของคุณเพิ่มเติม โดยเฉพาะหากกลุ่มเป้าหมายของคุณนั้นใช้ช่องทางออนไลน์เป็นหลัก และธุรกิจของคุณจำเป็นต้องมีเว็บไซต์เพื่อสร้างความน่าเชื่อและอาจรวมถึงการทำธุรกิจในแบบ E-Commerce ตัวอย่างเช่น

  • การเลือกใช้ Keyword ที่เหมาะสม ทั้งในส่วนของหน้าเว็บไซต์และบล็อก
  • ใส่คำอธิบายเนื้อหาเว็บไซต์ที่ชัดเจน
  • ใส่ชื่อหัวข้อให้ชัดเจน
  • ใส่คำอธิบายภาพ

9. ไม่นำข้อมูลมาวิเคราะห์ในการทำคอนเทนต์

ยุคนี้เป็นยุคของการให้ความสำคัญกับเรื่องของข้อมูล (Data) ซึ่งถูกนำมาใช้ค่อนข้างมากกับการวางกลยุทธ์ของธุรกิจและการตลาด และการทำคอนเทนต์ก็ไม่แตกต่างกันครับที่ต้องเอาข้อมูลมาพิจารณาในการทำและปรับปรุงคอนเทนต์ หากคุณทำคอนเทนต์และนำไปใช้ทั้งการโพสต์แบบปกติและยิงโฆษณา โดยที่คุณมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างยอดขายแต่กลับมียอดขายกลับมาน้อยมาก และคุณไม่ได้นำข้อมูลมาพิจารณาว่ามันมีข้อผิดพลาดในการทำคอนเทนต์ตรงไหน แล้วยังยืนยันที่จะใช้คอนเทนต์และกลยุทธ์แบบเดิมต่อไป นั่นคือหายนะของการใช้งบประมาณทางการตลาดมากที่สุด

  • หากเป็นช่องทางโซเชียลเดียคุณควรดูข้อมูลหลังบ้านจาก Dashboard ของแต่ละแพลตฟอร์ม
  • หากเป็นช่องทางออนไลน์อย่าง SEO / SEM คุณควรดูข้อมูลจาก Google Analytic
  • นอกจากนั้นคุณยังใช้เครื่องมือจำพวก MarTech Link มาใช้กับการวัดผลการทำคอนเทนต์ได้อีก

10. ใช้คอนเทนต์เดิมๆอยู่ตลอดเวลา และไม่เคยปรับปรุงคอนเทนต์

ท้ายที่สุดของข้อผิดพลาดในการทำ Content Marketing นั่นก็คือ การที่คุณปล่อยไหลแล้วใช้คอนเทนต์อยู่รูปแบบเดียว และไม่ได้กลับไปดูผลลัพธ์ในแต่ละด้านเลย ซึ่งอาจจะเพราะคุณไม่มีเวลาดูและคอนเทนต์นั้นอาจจะยังใช้การได้ดีมีผลลัพธ์ที่ดีอยู่ แต่ในแง่ของการทำคอนเทนต์ถือว่าไม่ควรทำเด็ดขาด เพราะอย่าลืมนะครับว่าผู้ที่ติดตามคุณนั้นมีความคาดหวังที่จะเห็นคอนเทนต์ใหม่ๆที่เป็นประโยชน์ รวมถึงแต่ละแพลตฟอร์มทั้งโซเชียลมีเดียและออนไลน์ ก็มักจะมีการปรับหลักเกณฑ์ต่างๆซึ่งอาจส่งผลต่อการใช้งบประมาณการตลาด หากคุณดึงดันใช้คอนเทนต์เดิมๆในขณะที่คู่แข่งมีคอนเทนต์ที่หลากหลายและปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภคและรวมไปถึงคอนเทนต์ที่เหมาะสมกับ Customer Journey Link ในแต่ละขั้น คอนเทนต์ของคู่แข่งก็จะเข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภคมากกว่าของคุณ และเมื่อคุณไม่มีการอัพเดทคอนเทนต์ใดๆ ผู้ที่ติดตามคุณก็จะคิดว่าคุณไม่มีอะไรให้น่าติดตามอีกต่อไป


Share to friends


Related Posts

ปัจจัยที่มีผลต่อการทำ SEO ให้ติดอันดับต้นๆบน Google

SEO หรือ Search Engine Optimization นั้นคือ การทำเว็บไซต์ของคุณให้มีประสิทธิภาพ เพื่อติดอันดับ (Ranking) บน Search Engine อย่าง Google โดยมันจะมีองค์ประกอบทั้งด้านเนื้อหา การออกแบบ และเรื่องเกี่ยวกับโครงสร้างเว็บไซต์ ซึ่งโดยปกติแล้วในการที่ผู้บริโภค ลูกค้า หรือคนที่สนใจในเรื่องอะไรบางอย่าง ก็จะเข้ามาหาข้อมูลใน Google เพื่อดูว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่ตรงกับความสนใจของพวกเขานั่นเอง


ข้อผิดพลาดที่มักเจอเวลาส่ง Content ออกสู่ตลาด

ในโลกออนไลน์การให้ความใส่ใจกับคอนเทนต์ที่แบรนด์หรือธุรกิจใช้ในสื่อสาร ถือเป็นสิ่งที่ต้องยึดถือปฏิบัติด้วยความใส่ใจและจำเป็นต้องมีการตรวจสอบกระบวนการทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการทำคอนเทนต์ในแต่ละรูปแบบ และนักการตลาดสายคอนเทนต์หลายๆคนเคยทำผิดพลาดในการไม่ตรวจสอบคอนเทนต์ที่ส่งออกไป ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดพลาดด้านภาษา รูปแบบคอนเทนต์ หรืออาจทำคอนเทนต์ที่ไม่น่าสนใจเพียงพอ


กลยุทธ์ดีๆเพื่อสร้างคอนเทนต์ให้เกิดการมีส่วนร่วม

ยุคนี้ถือเป็นยุคแห่งการสร้างคอนเทนต์ที่มีความหลากหลายและเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ว่าแบรนด์เล็กหรือแบรนด์ใหญ่ก็หันมาให้ความสำคัญกับการสร้างคอนเทนต์เป็นอย่างมากเลยทีเดียว และด้วยความที่เกิดคอนเทนต์ในหลายรูปแบบและหลากหลายประเภท อาจทำให้คนทำคอนเทนต์นั้นเกิดความรู้สึกว่าไอเดียมันเริ่มซ้ำๆกันและเริ่มหาความแตกต่างแทบไม่เจอ จนหลายๆครั้งอาจทำคอนเทนต์ออกมาแล้วไม่สามารถสร้างการมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมายได้



copyright 2024@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์