ในแวดวงการทำธุรกิจคุณคงต้องอยากให้เว็บไซต์ของคุณ ถูกค้นหาและพบเจอในอันดับต้นๆบนช่องทางออนไลน์อย่างแน่นอนถูกไหมครับ เพราะมันส่งผลดีต่อโอกาสในการแนะนำธุรกิจการขายสินค้าหรือบริการให้กับกลุ่มเป้าหมาย โดยช่องทางออนไลน์ที่ทรงประสิทธิภาพในการค้นหาข้อมูลต่างๆที่ดีที่สุดในโลกก็คงจะหนีไม่พ้น Google ซึ่งมันก็เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องของการทำ SEO นั่นเองครับ การทำ SEO จึงกลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ทรงประสิทธิภาพสำหรับการทำธุรกิจในระยาว และในบทความนี้ผมจะมาสรุปรายละเอียดที่สำคัญว่า การทำ SEO ให้ติดอันดับต้นๆบน Google นั้นมันมีปัจจัยสำคัญอะไรบ้าง เรามาดูไปพร้อมๆกันครับ
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการทำ SEO ให้ติดอันดับต้นๆบน Google
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนครับว่าการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization นั้นคือ การทำเว็บไซต์ของคุณให้มีประสิทธิภาพ เพื่อติดอันดับ (Ranking) บน Search Engine อย่าง Google โดยมันจะมีองค์ประกอบทั้งด้านเนื้อหา การออกแบบ และเรื่องเกี่ยวกับโครงสร้างเว็บไซต์ ซึ่งโดยปกติแล้วในการที่ผู้บริโภค ลูกค้า หรือคนที่สนใจในเรื่องอะไรบางอย่าง ก็จะเข้ามาหาข้อมูลใน Google เพื่อดูว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่ตรงกับความสนใจของพวกเขานั่นเอง และหากผลการค้นหานั้นติดอยู่ในอันดับต้นๆหรือหน้าแรกของ Google ได้แล้ว ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการเข้ามาเยี่ยมชม (Traffic) และส่งผลดีต่อการทำธุรกิจที่มากขึ้นนั่นเองครับ
สำหรับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการช่วยให้การทำ SEO ของคุณนั้นติดอันดับต้นๆ ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้ง 3 ด้าน นั่นก็คือ On-page , Off-page และ Technical Factors ครับ โดยสิ่งสำคัญของการทำ SEO ก็จะมีแกนหลักที่คุณควรยึดเอาไว้ ได้แก่
- การแสดงความเป็นผู้เชี่ยวชาญ (Expertise) ซึ่งหมายถึง ในหัวข้อที่คุณเขียนหรือเคอนเทนต์ที่คุณนำเสนอนั้นแสดงให้เห็นว่า คุณคือผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นจริงๆ เป็นสิ่งที่คุณเขียนขึ้นมาเองไม่ได้ไปลอกเลียนแบบใครมา
- มีพลังอำนาจแห่งการดึงดูด (Authority) ซึ่งหมายถึง เนื้อหาที่คุณเขียนนั้นมีคุณค่าอย่างแท้จริงและสามารถดึงดูดกลุ่มคนที่สนใจได้
- มีความน่าเชื่อถือ (Trust) ซึ่งหมายถึง เนื้อหาต่างๆนั้นมีความถูกต้องไม่หลอกลวง มีการเก็บข้อมูลของของลูกค้าเป็นความลับ ไม่ทำอะไรที่ผิดจริยธรรมด้านต่างๆ
เมื่อเข้าใจแกนหลักของการทำ SEO ที่มีคุณภาพแล้ว ทีนี้เรามาดูปัจจัยต่างๆกันครับ
On-page Ranking Factors
สำหรับปัจจัยด้าน On-page หรือปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ ซึ่งนับเป็นปัจจัยภายในของตัวเว็บไซต์เอง จะประกอบไปด้วย 4 ส่วนด้วยกัน ได้แก่
1. ความเกี่ยวข้องและคุณภาพของ Content
เวลาที่คุณจะนำเสนออะไรก็ตามถ้าคุณบอกว่าคุณกำลังนำเสนอคอนเทนต์เกี่ยวกับ Marketing หรือ Branding หรือการขายคอร์สเรียนออนไลน์ คุณก็ต้องมีเนื้อหาเหล่านั้นบนเว็บไซต์ของคุณ ไม่ใช่พอผู้ที่สนใจกดเข้ามาอ่านแล้วกลับเจอเรื่องอื่นๆที่ไม่ใช่ความรู้ด้าน Marketing หรือ Branding เลย นั่นก็จะทำให้เว็บไซต์ของคุณตกอันดับแบบไม่อาจกลับมาได้ โดยมันก็มีหลักของความเป็น Quality Content ดังนี้
- ความน่าเชื่อถือ
ข้อมูลที่มีมีความถูกต้องมากขนาดไหน มีประโยชน์มากเพียงใด เชิงลึกมากน้อยแค่ไหน - ง่ายต่อการอ่าน
มีการจัดรูปแบบและระเบียบของเนื้อหาให้อ่านสบายตา เป็นลักษณะคำพูดเชิงสนทนา ไม่ใส่ Keyword แบบย้ำๆมากจนเกินไป โดยใส่แค่ Keyword ที่เกี่ยวข้องและเหมาะสมก็เพียงพอ - มีความสดใหม่
การทำคอนเทนต์ก็ต้องมีการอัพเดทข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน ไม่ใช่เอาข้อมูลหรือเรื่องเก่าๆมาเขียน ดังนั้นควรทำให้คอนเทนต์ของคุณสดใหม่น่าติดตามอยู่สม่ำเสมอ - ใส่ Keyword ที่ใช่
เรื่องของ Keyword ถือว่าสำคัญมากกับการทำ SEO ดังนั้นคุณควรใช้เครื่องมือในการหา Keyword ที่เหมาะสมมาช่วยเป็นไอเดียในการกำหนด Keyword เพื่อให้ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของผู้อ่าน อย่าง Google Keyword Planner เป็นต้น
2. การใส่ Keyword ให้ถูกที่
เมื่อคุณหา Keyword ที่เหมาะสมได้แล้วก็จำเป็นต้องรู้ว่าจะนำมาใส่เอาไว้ตรงไหนบ้างที่มีผลต่อ Ranking ครับ ได้แก่
- Title Tag หรือบางทีจะเรียกว่า Meta Title ซึ่งเป็นหัวข้อเรื่องที่จะแสดงผลในหน้าจอรวมผลการสืบค้นบน Google (Search Result Page – SERP)
- H1 Title หรือ Heading 1 ซึ่งก็คือหัวข้อสำคัญลำดับที่ 1 ทำหน้าที่แสดงชื่อเรื่อง หัวข้อเรื่องหลักของหน้านั้นๆ
- H2 Headings หรือ H2 เป็นส่วนสำคัญที่รองลงมาจาก H1 ซึ่งก็คือ การใส่หัวข้อที่มีความสำคัญรองลงมา
- URL หรือที่เราเรียกว่าที่อยู่ (Address) ของข้อมูลต่างๆบน Internet ที่ต้องสั้นกระชับได้ใจความ
- ตัวเนื้อหา หรือ Body ที่อยู่ภายใต้หัวข้อนั้นๆ โดยให้ความสำคัญกับ 100 คำแรก
- Meta Description หรือ คำอธิบายเนื้อหาเว็บไซต์ คอยทำหน้าที่อธิบายภาพรวมของหน้าเว็บไซต์ ความยาวไม่เกิน 160 ตัวอักษร
3. การปรับแต่งภาพ
การปรับแต่งภาพหรือ Image Optimization สำคัญไม่แพ้กับเรื่องอื่นๆครับ เพราะการค้นข้อมูลนั้นไม่ใช่แค่เพียงเนื้อหาหรือตัวหนังสือเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่ Google ยังเน้นในเรื่องของรูปภาพหรือ Visual อีกด้วย
- ALT Text หรือ การใส่คำอธิบายให้กับรูปภาพ เพื่อให้ Google มองเห็นว่าเป็นภาพเกี่ยวกับอะไร โดยใส่ Keyword อธิบายสั้นๆ
- การบีบอัดขนาดของภาพ เพื่อให้ประมวลผลได้รวดเร็ว โดยส่วนใหญ่ภาพที่ใช้นั้นไม่ควรเกิน 70K – 100K และใช้เป็นไฟล์สกุล JPGs จะดีที่สุด มันจะทำให้เว็บไซต์ของคุณโหลดเร็วมากยิ่งขึ้น
- เพิ่มความน่าสนใจ ด้วยภาพแสดงกราฟ สถิติ ที่อธิบายถึงแนวคิดต่างๆ จะช่วยให้เกิดการมีส่วนร่วมของผู้อ่านมากขึ้น
- ทุกอย่างต้องมี Keyword เพราะมันสำคัญมากกับการทำ SEO
หากคุณใช้ WordPress ในการทำเว็บไซต์ก็สามารถใช้ Plugin ที่ชื่อ Imagify เพื่อปรับขนาดภาพแบบอัตโนมัติก็ได้ครับ
4. แสดงความเป็นผู้เชี่ยวชาญ
แม้ว่าคุณจะมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจหรือสาขานั้นๆอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่ Google จะมองไปที่คุณภาพแบบเชิงลึกด้วย ดังนั้นหากคุณสามารถเขียนคอนเทนต์หรือบทความอะไรที่ลงลึกรายละเอียด ที่แสดงความเป็น Expert มากขึ้นจะยิ่งทำให้คอนเทนต์นั้นเป็น Quality Content แบบสุดๆ และมันจะช่วยให้ติดอันดับ Google ได้ดีมากขึ้นอีกด้วย
หากผู้อ่านอยากทราบรายละเอียดลึกๆเกี่ยวกับการปรับแต่ง On-page ก็ลองเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมในลิ้งค์นี้ได้ครับ >>> 10 เทคนิคช่วยปรับแต่ง On-page SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ
Technical Ranking Factors
Technical จะเป็นเรื่องของโครงสร้างเว็บไซต์และระบบการจัดการคอนเทนต์ (Content Management System – CMS) ต่างๆครับ ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องทำควบคู่กันไปกับทีมการตลาดและคนที่รับผิดชอบเรื่องการพัฒนาเว็บไซต์ และมันก็มีอยู่ 5 ส่วนด้วยกัน
1. ความเร็วของเว็บไซต์
ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ (Page Speed) หากนานเกินไปก็จะส่งผลต่อเรื่องของอัตราการตีกลับ (Bounce Rate) โดยหากมีอัตราการตีกลับ (Bounce Rate) หรือออกจากเว็บไซต์ (Exit Rate) มากจะทำให้การติดอันดับนั้นน้อยลงครับ โดยปกติ Bounce Rate ที่เหมาะสมของแต่ละประเภทธุรกิจ ก็จะมีอัตราการตีกลับ (Bounce Rate) ในลักษณะนี้
- เว็บไซต์ด้านการบริการ จะอยู่ที่ราว 10% – 30%
- เว็บไซต์พวก E-Commerce หรือขายสินค้าออนไลน์ จะอยู่ที่ราว 20% – 40%
- Lead Generation Websites จะอยู่ที่ราว 30% – 50%
- เว็บไซต์ที่เน้น Content จะอยู่ที่ราว 40% – 60%
- บล็อกต่างๆจะอยู่ที่ราว 70% – 90%
- Landing Pages จะอยู่ที่ราว 70% – 90%
หากคุณสามารถปรับปรุงในเรื่องของความเร็วเว็บไซต์ได้ ก็จะส่งผลดีต่อ Bounce Rate ยิ่งหากคุณสามารถทำให้ Bounce Rate ต่ำลงกว่าค่าเฉลี่ยที่ควรจะเป็นได้ ก็จะยิ่งทำให้เพิ่มโอกาสในการติด Ranking ได้ดียิ่งขึ้น ลองตรวจสอบความเร็วของเว็บไซต์คุณได้ที่ PageSpeed Insights
2. ปรับการใช้งานให้ได้กับมือถือ
การทำเว็บไซต์ก็ต้องคำนึงถึง Mobile Responsive หรือการปรับแต่งให้แสดงผลได้ดีกับอุปกรณ์มือถือ เพราะสมัยนี้ผู้คนจะใช้มือถือเป็นหลักและก็ค้นหาข้อมูลกันบนมือถือนั่นแหละครับ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ Google ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง ต่อให้เว็บไซต์ของคุณแสดงผลบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้อย่างดีเยี่ยมขนาดไหน แต่ถ้าเป็นการแสดงผลบนมือถือนั้นไม่ดีขึ้นมาก็จะส่งผลต่อ Ranking ด้วยเช่นกันครับ เช่น ตัวหนังสือเล็กไป ใหญ่ไป ประสบการณ์การใช้งานไม่ดี เป็นต้น
3. ปรับส่วนจำเป็นหลักๆของเว็บไซต์
ส่วนจำเป็นและสำคัญหลักๆของเว็บไซต์ (Core Web Vitals) ได้ถูกนำมาเป็นหนึ่งในปัจจัย Ranking ซึ่งมันคือการสร้างประสบการณ์ของแต่ละบุคคลที่เข้ามาดูหน้าเว็บไซต์ในหน้าต่างๆครับ และมันก็ประกอบไปด้วย
Source: https://web.dev/vitals/
- Largest Contentful Paint (LCP) ระยะเวลาในการโหลดข้อมูลต่างๆที่มองเห็นบนเว็บไซต์ เช่น รูปภาพ ตัวหนังสือ วีดิโอ (ไม่ควรเกิน 2.5 วินาที ในการโหลดครั้งแรก)
- First Input Delay (FID) ระยะเวลาในการกดลิ้งค์ต่างๆว่ามันเปลี่ยนไปหน้าอื่นๆได้เร็วแค่ไหน (ควรน้อยกว่าหรือเท่ากับ 100 Milliseconds หรือ 0.1 วินาที)
- Cumulative Layout Shift (CLS) การวางเลย์เอ้าท์ การออกแบบ และความเสถียรของเว็บไซต์ ซึ่งอาจจะเกิดจากตัวหนังสือเล็กไป ปุ่มกดต่างๆทับซ้อนกัน แบนเนอร์บนเว็บทับซ้อนกัน ที่ส่งผลต่อประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ (ไม่ควรเกิน 0.1 หรือน้อยกว่า)
โดยทั้งหมดก็จะมีการแบ่งคะแนนในระดับ ดี (Good) ควรแก้ไข (Needs Improvement) และแย่ที่สุด (Poor)
4. การวางโครงสร้างเว็บไซต์
โครงสร้างเว็บไซต์ก็เหมือนกับโครงสร้างองค์กรครับ โดยหากจัดระเบียบโครงสร้างออกมาดีมีการจัดระเบียบลิ้งค์ภายในต่างๆ ให้ง่ายต่อการกดไปยังส่วนต่างๆภายในเว็บไซต์ (Internal Link) ก็จะส่งผลดีต่อการที่ Google สามารถทำความเข้าใจทำการรวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนีเนื้อหาต่างๆ (Index) บนเว็บไซต์ของคุณ ข้อดีของการจัดโครงสร้างนั้นจะทำให้คนที่เข้ามาเว็บไซต์ของคุณค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ง่ายมากขึ้น โดยไม่ต้องเสียเวลาไปหาข้อมูลจากเว็บไซต์อื่นๆ ตามหลักแล้วไม่ว่าจะเป็นหน้าใดๆก็ตามบนเว็บไซต์ควรเข้าถึงได้ภายในการกดคลิกไม่เกิน 3 ครั้งครับ และต้องหมั่นตรวจสอบด้วยว่าลิ้งค์ต่างๆบนเว็บไซต์ของคุณนั้นมันมีอะไรผิดพลาดบ้างไหมอย่างสม่ำเสมอ
5. ความปลอดภัยของเว็บไซต์
อันนี้สำคัญครับที่ Google มองว่าเว็บไซต์ของคุณนั้นมีความปลอดภัย เว็บไซต์ของคุณจำเป็นต้องติดตั้ง SSL Certificate หรือใบรับรองความปลอดภัย เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ และเมื่อทำการติดตั้ง SSL Certificate เสร็จแล้วคุณจะสามารถใช้งาน https:// ได้อย่างปลอดภัยและเพิ่มโอกาสในการติดอันดับต้นๆของ Google นั่นเอง
Off-page Ranking Factors
ปัจจัยสุดท้ายจะเป็นเรื่องของปัจจัยภายนอกเว็บไซต์ครับ ที่ส่งผลต่อการติดอันดับต้นๆบน Google เช่น โซเชียลมีเดีย เว็บบอร์ด เว็บไซต์อื่นๆ
1. การสร้าง Backlinks
Backlinks ก็คือ การเชื่อมโยงข้อมูลจากภายนอกกลับมายังเว็บไซต์ของคุณ โดยทำเป็นรูปแบบของลิ้งค์กลับมายังเว็บไซต์ ยิ่งมีการทำ Backlinks มากเท่าไหร่ Google จะมองว่าเว็บไซต์ของคุณนั้นมีคุณภาพมากขึ้นเท่านั้น แสดงว่าเว็บไซต์ของคุณมีการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เยี่ยมชมจนมีหลายๆเว็บไซต์นำข้อมูลไปใช้และแชร์ต่อ แล้วสร้าง Backlinks กลับมาที่คุณนั่นเอง (คำว่ายิ่งมากยิ่งดีไม่ใช่ว่าคุณจำเป็นต้องมี Backlinks เป็นร้อยๆอันนะครับ Backlinks นั้นก็ควรจะใช้กับเว็บไซต์ที่มีคุณภาพด้วยเช่นกัน Backlinks 10 อัน จากเว็บไซต์ที่ไม่มีคุณภาพอาจไม่เท่ากับ Backlinks 2 อัน จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ) โดย Backlinks นั้นก็ทำได้ 3 วิธี ดังนี้
- ความเป็นต้นฉบับ และ Quality Content โดยหากคุณสามารถสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ และเป็นคอนเทนต์ที่เขียนขึ้นมาเองในลักษณะของ Thought Leadership Content ก็ไม่ต้องห่วงเรื่อง Backlinks เพราะมันจะสร้างให้เกิด Backlinks กลับมาเองโดยอัตโนมัติครับ
- การทำ Cold Outreach หรือ การติดต่อไปหาคนที่ไม่รู้จักเพื่อทำการขออะไรบางอย่างจากคนเหล่านั้น ในกรณีของการทำ Backlinks ก็คือ การขอเขียนคอนเทนต์ร่วมกันกับคนอื่นๆหรือเว็บไซต์อื่นๆ แล้วขอทำการลิ้งค์กลับมายังเว็บไซต์ของคุณ หรืออาจจะเขียนอีเมล์ในทำนองที่ว่าได้อ่านคอนเทนต์ในเว็บของคุณแล้วรู้สึกว่าเป็นคอนเทนต์ที่ดีมาก จึงได้นำมาแชร์ให้กับผู้อ่านดูแล้วได้รับผลตอบรับที่ดีและทางเรากำลังจัดกิจกรรมนี้อยู่พอดี หากคุณคิดว่ามันเป็นประโยชน์กับผู้อ่านของคุณ ก็ขอให้เจ้าของเว็บไซต์ช่วยขึ้นลิ้งค์ให้เรา เป็นต้น การทำ Cold Reach อาจจะดูค่อนข้างยากและใช้เวลาแต่ก็เป็นวิธีที่ช่วยสร้าง Backlinks ได้อีกวิธีหนึ่งครับ
- การทำ Guest Post วิธีนี้จะเห็นบ่อยมากที่สุดวิธีหนึ่งในการสร้าง Backlinks กลับมายังเว็บไซต์ของคุณ โดยเป็นการเขียนโพสต์ที่เป็นประโยชน์ให้กับเว็บไซต์อื่นๆแล้วติด Backlinks กลับมาที่เว็บไซต์ของคุณ สามารถทำได้ด้วยการซื้อพื้นที่บนเว็บไซต์ที่คุณต้องการเพื่อทำ Guest Post หรืออาจจะเสนอเขียนคอนเทนต์ดีๆให้ฟรีก็ได้เช่นกันครับ
ทั้งหมดเป็นการสรุปปัจจัยสำคัญหลักๆที่คุณสามารถนำไปปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณ เพื่อช่วยให้ติดอันดับ (Ranking) การค้นหาบน Google ได้ดีมากยิ่งขึ้น และอย่าลืมนะครับว่า SEO เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผล และต้องมีการปรับเปลี่ยนข้อมูลกับการปรับแต่งทั้ง On-page, Off-page และ Technical ให้เหมาะสมอยู่ตลอดเวลานั่นเองครับ
Mold design specifications align ѡith product goals.
The level օf precision and accurascy in 3D-printed objects
іs trᥙly impressive.
Build tһе efficiency of data processing on Beosin.
We’ve seen whɑt we’гe seeking.