Skeleton-Watch

ในโลกของแบรนด์นั้นการรับรู้ของผู้บริโภคเกี่ยวกับแบรนด์ มีความสำคัญต่อความสำเร็จของแบรนด์อย่างยิ่ง เพราะภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Image) คือ ภาพในใจที่ผู้บริโภคสร้างขึ้นเมื่อคิดถึงแบรนด์นั้นๆ ซึ่งรวมถึงทุกอย่างเมื่อได้เห็น ได้ยิน ได้สัมผัส ตั้งแต่ชื่อแบรนด์ (Naming) โลโก้ ข้อความ โทนเสียง และแม้กระทั่งความรู้สึกเชิงอารมณ์ การสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่แข็งแกร่งและน่าจดจำ ไม่ใช่แค่การออกแบบโลโก้ให้ดูโดดเด่น แต่คือการสร้างภาพที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายอย่างตั้งใจ ดังนั้การเข้าใจประเภทหรือรูปแบบของ Brand Image จึงเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญไปสู่การสร้างตัวตนของแบรนด์ (Brand Identity) ที่ชัดเจนและทรงพลัง และในบทความนี้ผมจะพามาทำความรู้จักกับประเภทของ Brand Image โดยละเอียดทั้งลักษณะเฉพาะ รูปแบบที่เป็นไปได้ และยกตัวอย่างแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ ในการสร้างภาพลักษณ์เหล่านี้จนผู้บริโภคจดจำได้ขึ้นใจ

What's next?

กลุ่มที่ 1: ประเภทของ Brand Image เชิงบวกและน่าหลงใหล

ในกลุ่มนี้สะท้อนถึงภาพลักษณ์ที่เป็นที่ต้องการ น่าชื่นชม และให้ความรู้สึกเชิงบวก ซึ่งแบรนด์มุ่งสร้างขึ้นเพื่อดึงดูดลูกค้าที่เป็นขาประจำ ด้วยการถ่ายทอดคุณค่าอันสูงส่ง และสร้างความเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งกับกลุ่มเป้าหมาย แบรนด์เหล่านี้มักถูกมองว่ามีคุณภาพสูง มีความเป็นต้นฉบับ และสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคใหม่ ด้วยการสร้างความภาคภูมิใจและความไว้วางใจให้กับผู้บริโภค ซึ่งมีอยู่ 7 ประเภท ดังนี้

  1. สง่างามและมีรสนิยม (Elegant)
  2. เหนือกาลเวลาไม่ตกยุค (Timeless)
  3. ทันสมัยและร่วมสมัย (Modern)
  4. สนุกสนานและสร้างสรรค์ (Playful)
  5. แข็งแกร่งทนทาน (Rugged)
  6. อบอุ่น เป็นมิตร น่าเชื่อถือ (Friendly)
  7. พรีเมียม คุณภาพสูง (Premium)

ประเภทของ Brand Image ในกลุ่มนี้มุ่งเน้นไปที่ ความหรูหรา สถานะ และคุณภาพสูง แบรนด์ที่ใช้ภาพลักษณ์เหล่านี้ มักจะวางตำแหน่งตัวเองให้เป็นที่ต้องการและมีความพิเศษ และมักเกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ที่หรูหราและน่าหลงใหล เรามาดูรายละเอียดของแต่ละประเภทกันครับ

1. ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูสง่างาม (Elegant Brand Image)

แบรนด์ที่มีภาพลักษณ์ที่ดูสง่างาม (Elegent) จะมีความเปล่งประกาย โชว์ความมีระดับ และความรู้สึกของความพิเศษเหนือใคร แบรนด์เหล่านี้มักเชื่อมโยงกับความหรูหรา ความประณีต มีความเป็นอมตะ โดยเน้นไปที่งานฝีมือคุณภาพสูง และการแสดงออกถึงสถานะที่โดดเด่น ความสง่างามของแบรนด์สะท้อนออกมา ผ่านการออกแบบที่เรียบง่ายแต่ดูงดงาม โดยใช้วัสดุระดับคุณภาพพรีเมียม มุ่งเน้นในเรื่องความงาม (Beauty) และความสมบูรณ์แบบ (Perfection)

ลักษณะภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูสง่างาม

  • ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีคุณภาพสูง
  • การออกแบบที่เรียบง่าย สะอาดตา และให้ความสำคัญกับความสวยงาม
  • สร้างความรู้สึกพรีเมี่ยมและหรูหรา
  • มักใช้โทนสีที่เรียบหรูและมีระดับ (เช่น ดำ ทอง ขาว)
  • ดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่ต้องการความพิเศษ และสถานะที่เหนือกว่า

ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะของ Elegant Brand Image

  • Chanel แบรนด์แฟชั่นและน้ำหอมสุดคลาสสิก ที่สะท้อนถึงความสง่างามผ่านดีไซน์ที่เรียบง่ายแต่หรูหรา การใช้วัสดุพรีเมียม และการเป็นผู้นำในตลาดแฟชั่นระดับไฮเอนด์
  • Rolex สัญลักษณ์แห่งความหรูหราและงานฝีมือระดับ Masterpiece โดย Rolex สื่อถึงภาพลักษณ์ที่สง่างามผ่านนาฬิกาที่ออกแบบอย่างประณีต มีดีไซน์ที่ไม่ตกยุค และสื่อถึงคุณค่าแห่งคุณภาพและความพิเศษ
  • Cartier แบรนด์เครื่องประดับระดับโลก ที่สะท้อนภาพลักษณ์แห่งความประณีต ความงาม และความพิเศษ เครื่องประดับของ Cartier ถูกออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างความรู้สึกของความเหนือชั้น และความสง่างามให้กับผู้สวมใส่
Cartier_Love_bracelet

Source: https://mygemma.com/en-au/blogs/news/best-cartier-love-bracelet-size-guide


2. ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เหนือกาลเวลา (Timeless Brand Image)

แบรนด์ที่มีภาพลักษณ์เหนือกาลเวลา (Timeless Brand Image) มุ่งเน้นไปที่ความคลาสสิกและความยั่งยืน โดยมีชื่อเสียงที่ไม่ขึ้นอยู่กับกระแสหรือแฟชั่นที่เปลี่ยนไปมากนัก แบรนด์เหล่านี้มีความสม่ำเสมอ ความน่าเชื่อถือ และคุณค่าที่คงอยู่ตลอดเวลา ความน่าสนใจของแบรนด์ไม่ได้มีผลมาจากเทรนด์ที่เปลี่ยนไป แต่จากความสามารถในการรักษาความเกี่ยวข้องและความเป็นที่ต้องการในระยะยาว

ลักษณะภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่อยู่เหนือกาลเวลา

  • ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ยังคงได้รับความนิยมแม้เวลาผ่านไปนานเพียงใด
  • ความสม่ำเสมอในการสื่อสารและการออกแบบผลิตภัณฑ์
  • มีภาพลักษณ์ที่เชื่อถือได้และน่าไว้วางใจ
  • มักเกี่ยวข้องกับคุณภาพและความทนทาน
  • ดึงดูดลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับเรื่องราว ความยาวนาน ความเป็นตำนาน ความเป็นอมตะ ประเพณี

ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะของ Timeless Brand Image

  • Levi’s – แบรนด์กางเกงยีนส์สัญชาติอเมริกันที่มีประวัติยาวนานกว่า 150 ปี Levi’s สร้างภาพลักษณ์ที่อยู่เหนือกาลเวลาด้วยคุณภาพ ความทนทาน และสไตล์อเมริกันสุดคลาสสิก ทำให้เป็นไอเท็มที่ไม่มีวันล้าสมัยในโลกแฟชั่น
  • Coca-Cola – ความเป็นอมตะของ Coca-Cola มาจากการเป็นเครื่องดื่มที่อยู่คู่กับผู้บริโภคมาหลายยุคหลายสมัย การออกแบบโลโก้ ขวด และการสื่อสารแบรนด์ที่สม่ำเสมอทำให้ Coca-Cola เป็นสัญลักษณ์ของความสุขและความทรงจำที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
  • Ford – ด้วยประวัติยาวนานกว่าศตวรรษ Ford ได้สร้างชื่อเสียงในฐานะแบรนด์รถยนต์ที่แข็งแกร่ง เชื่อถือได้ และมีคุณค่า แบรนด์นี้มุ่งเน้นที่ความทนทานของยานยนต์ และมรดกทางวัฒนธรรมของอเมริกา ทำให้ภาพลักษณ์ของ Ford นั้นคงอยู่เหนือกาลเวลา
1969-classic-recreations-ford-mustang

Source: https://www.motorauthority.com/news/1119275_classic-recreations-first-mustang-boss-
429-makes-debut-packs-815-horsepower-from-stroked-v-8


3. ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูทันสมัย (Modern Brand Image)

แบรนด์ที่มีภาพลักษณ์ที่ดูทันสมัย (Modern Brand Image) มุ่งเน้นไปที่ความทันสมัย สดใหม่ และสอดคล้องกับยุคสมัย แบรนด์เหล่านี้ให้ความสำคัญกับนวัตกรรม เทคโนโลยีใหม่ๆ และความสวยงามแบบร่วมสมัย แบรนด์ที่ทันสมัยมักเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์และบริการล้ำสมัย ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบัน ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของอนาคตไม่ตกยุค

ลักษณะภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูทันสมัย

  • แนวคิดที่เน้นนวัตกรรมและความก้าวหน้า
  • การออกแบบที่ร่วมสมัยเน้นความเรียบง่ายและทันสมัย
  • การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆหรือการนำเทรนด์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตมาใช้
  • มีภาพลักษณ์ที่สดใหม่และดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่
  • แบรนด์ที่โดดเด่นในด้านความทันสมัยและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี

ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะของ Modern Brand Image

  • Apple – แบรนด์ที่เป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัย นวัตกรรม และเทคโนโลยีล้ำหน้า ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เรียบหรู ไปจนถึงอินเทอร์เฟซที่ล้ำสมัย Apple เป็นตัวแทนของการก้าวไปข้างหน้าเสมอ
  • Tesla – แบรนด์ที่พลิกโฉมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า Tesla นำเสนอภาพลักษณ์ของความทันสมัย ความยั่งยืน และเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่ออนาคตที่ดีกว่า
  • Spotify – ผู้บุกเบิกวงการสตรีมมิ่งเพลง Spotify มีภาพลักษณ์ที่ทันสมัยและเป็นมิตรกับคนรุ่นใหม่ มุ่งเน้นการให้บริการที่เข้าถึงง่าย พร้อมนำเสนอเพลง พอดแคสต์ และเพลย์ลิสต์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ฟังในยุคดิจิทัล

4. ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูสนุกสนาน (Playful Brand Image)

แบรนด์ที่มีภาพลักษณ์สนุกสนาน (Playful Brand Image) มักจะสื่อถึงความสนุก ความคิดสร้างสรรค์ และความร่าเริง แบรนด์เหล่านี้มักใช้มุกตลก การออกแบบที่มีสีสันสดใส และการสื่อสารที่แฝงไปด้วยอารมณ์ขัน ภาพลักษณ์ของแบรนด์แนวนี้มักสร้างความรู้สึกแห่งความสุขและอิสรภาพ ทำให้ผู้บริโภครู้สึกผ่อนคลายและเพลิดเพลินเมื่อมีส่วนร่วมกับแบรนด์

ลักษณะภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูสนุกสนาน

  • การออกแบบที่สดใสและมีสีสันโดดเด่น
  • การใช้ข้อความที่สนุกสนานและเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน
  • มีความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการเป็นหัวใจหลักของแบรนด์
  • ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่มีพลังงานสูงและมีจิตวิญญาณของความเป็นเด็ก
  • กระตุ้นความรู้สึกสนุกสนานและความตื่นเต้นให้กับผู้บริโภคอยู่เสมอ

ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะของ Playful Brand Image

  • M&M’s – ด้วยตัวการ์ตูนสีสันสดใสและโฆษณาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน M&M’s สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่เน้นความสนุกสนานและความเพลิดเพลิน ทำให้ขนมช็อกโกแลตนี้เป็นที่รักของทุกวัย
  • Old Spice – แบรนด์น้ำหอมและผลิตภัณฑ์ดูแลบุรุษทั้งหลาย ที่สร้างภาพลักษณ์สนุกสนานผ่านโฆษณาที่แปลก แหวกแนว และเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน ช่วยให้ Old Spice แตกต่างจากคู่แข่งและเป็นที่จดจำของผู้บริโภค
  • Ben & Jerry’s – แบรนด์ไอศกรีมที่ใช้การออกแบบที่มีสีสันสดใส รสชาติที่มีชื่อเรียกสุดแหวกแนว และการสื่อสารที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน Ben & Jerry’s เป็นตัวอย่างที่ดีของแบรนด์ที่สร้างสรรค์และเต็มไปด้วยความสนุกสนาน
old-spice-advert

Source: https://www.adweek.com/creativity/old-spice-isaiah-mustafa-man-horse-super-bowl-commercial-never-was/


5. ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูแข็งแกร่งและรักการผจญภัย (Rugged / Adventurous Brand Image)

แบรนด์ที่มีภาพลักษณ์แข็งแกร่งและรักการผจญภัย (Rugged / Adventurous Brand Image) มักดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคที่มีความหลงใหลในกิจกรรมกลางแจ้ง การสำรวจ และการท้าทายขีดจำกัดของตัวเอง แบรนด์เหล่านี้มักสื่อถึงความแข็งแกร่ง ความทนทาน และความตื่นเต้น เหมาะสำหรับแบรนด์ที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า ที่มีไลฟ์สไตล์แบบ Active และชื่นชอบความท้าทายอยู่เสมอ

ลักษณะภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูแข็งแกร่งและรักการผจญภัย

  • ผลิตภัณฑ์ที่แข็งแรง ทนทาน และออกแบบมาเพื่อรองรับกับสภาวะที่สมบุกสมบัน
  • โฟกัสที่การสำรวจ การใช้ชีวิตกลางแจ้ง และกิจกรรมที่ต้องใช้พละกำลัง
  • เน้นความน่าเชื่อถือและความทนทานของผลิตภัณฑ์
  • การสื่อสารที่ให้ความรู้สึกแข็งแกร่ง ดุดัน หรือเน้นแนวไลฟ์สไตล์กลางแจ้ง
  • ดึงดูดลูกค้าที่รักการผจญภัยและต้องการสัมผัสประสบการณ์ที่ท้าทาย

ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะของ Rugged / Adventurous Brand Image

  • Patagonia – แบรนด์อุปกรณ์กลางแจ้งที่มีชื่อเสียงด้านคุณภาพ ความทนทาน และความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม Patagonia เป็นสัญลักษณ์ของการผจญภัยและความรับผิดชอบต่อธรรมชาติ
  • The North Face – แบรนด์เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์กลางแจ้งที่เป็น ที่รู้จักในฐานะแบรนด์แห่งการสำรวจและชอบความท้าทาย The North Face มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่สามารถทนต่อสภาพอากาศและภูมิประเทศที่โหดร้าย
  • Harley-Davidson – แบรนด์มอเตอร์ไซค์ระดับตำนานที่เป็นตัวแทนของความแข็งแกร่ง อิสรภาพ และจิตวิญญาณแห่งการเดินทาง Harley-Davidson สร้างภาพลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์ของผู้ที่รักการผจญภัยบนท้องถนน
The-North-Face-Brand-Campaign

Source: https://www.behance.net/gallery/16042649/The-North-Face-Brand-Campaign


6. ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูเป็นมิตรและเข้าถึงง่าย (Friendly and Approachable Brand Image)

แบรนด์ที่มีภาพลักษณ์เป็นมิตรและเข้าถึงง่าย (Friendly and Approachable Brand Image) มักเน้นความอบอุ่น ความน่าเชื่อถือ และความเป็นกันเอง ทำให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจและสามารถเชื่อมโยงกับแบรนด์ได้ง่ายขึ้น ภาพลักษณ์นี้สร้างขึ้นจากแนวคิดที่ว่าแบรนด์ให้ความสำคัญกับลูกค้า พร้อมช่วยให้ชีวิตของพวกเขาสะดวกสบายและมีความสุขมากขึ้น

ลักษณะภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูเป็นมิตรและเข้าถึงง่าย

  • การออกแบบและการสื่อสารที่อบอุ่นและเป็นกันเอง
  • มุ่งเน้นไปที่ลูกค้าและความต้องการของพวกเขา
  • สร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์กับลูกค้า
  • ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ใช้งานง่ายและสะดวก
  • แบรนด์ที่ให้ความรู้สึกเป็นมิตรและเข้าถึงได้

ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะของ Friendly and Approachable Brand Image

  • Coca-Cola – แม้จะมีภาพลักษณ์ที่เหนือกาลเวลา แต่ Coca-Cola ก็ยังคงรักษาความเป็นแบรนด์ที่เป็นมิตรและเข้าถึงง่าย ด้วยการใช้ภาพลักษณ์แห่งความสุข ความสนุก และการแบ่งปันช่วงเวลาดีๆร่วมกัน
  • IKEA – แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่เป็นมิตรกับผู้บริโภค โดยเน้นความเรียบง่าย ราคาที่เข้าถึงได้ และการออกแบบที่ใช้งานได้จริง IKEA สร้างความรู้สึกเป็นกันเองด้วยแนวทางการสื่อสารที่ตรงไปตรงมาและเป็นธรรมชาติ
  • Mailchimp – แพลตฟอร์มอีเมลที่ออกแบบให้ใช้งานง่าย พร้อมด้วยโทนและน้ำเสียงในการสื่อสารที่เป็นกันเอง พร้อมภาพลักษณ์ที่ดูสนุกสนาน ทำให้ธุรกิจทุกขนาดสามารถเข้าถึงและใช้งานได้อย่างสะดวก
IKEA-Family-CN

Source: https://www.ikea.cn/cn/en/ikea-family/


7. ภาพลักษณ์ของแบรนด์ระดับพรีเมียมและไฮเอนด์ (Premium and High-End Brand Image)

แบรนด์ที่มีภาพลักษณ์ระดับพรีเมียมหรือไฮเอนด์ (Premium and High-End Brand Image) จะเน้นความพิเศษเฉพาะตัว คุณภาพที่เหนือกว่า และความหรูหรา แบรนด์เหล่านี้มักมีราคาสูง และดึงดูดลูกค้าที่ต้องการแสดงถึงความสามารถในการเข้าถึงสินค้าหรือบริการที่ดีที่สุดในตลาด

ลักษณะภาพลักษณ์ของแบรนด์ระดับพรีเมียมและไฮเอนด์

  • คุณภาพและงานฝีมือระดับสูง
  • สร้างความรู้สึกพิเศษและมีแสดงความสถานะสูง
  • ราคาสูงและการวางตำแหน่งให้เป็นแบรนด์ระดับพรีเมียม
  • ให้ความสำคัญกับดีไซน์ ประสบการณ์ และความหรูหรา
  • ดึงดูดลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและต้องการสินค้าที่ดีที่สุด

ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะของ Premium and High-End Brand Image

  • Louis Vuitton – แบรนด์เครื่องหนังสุดหรูที่สะท้อนภาพลักษณ์ของความ Prestige งานฝีมือที่ประณีต และประวัติศาสตร์อันยาวนานในวงการแฟชั่นระดับไฮเอนด์
  • Apple – นอกจากจะเป็นแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์ของความทันสมัยแล้ว Apple ยังเป็นแบรนด์พรีเมียมที่เน้นดีไซน์ล้ำสมัย เทคโนโลยีระดับสูง และสร้างความปรารถนาให้กับผู้บริโภค
  • Bentley – แบรนด์รถยนต์สุดหรูที่เป็นสัญลักษณ์ของความหรูหรา งานฝีมือระดับสูง และประสบการณ์การขับขี่ที่สะท้อนถึงความมั่งคั่งและสถานะของเจ้าของ
Bentley-Continental-GT

Source: https://www.behance.net/gallery/90416633/Bentley-Continental-GT

What's next?

กลุ่มที่ 2: ประเภทของ Brand Image ที่ดูท้าทายหรือแนวคิดเชิงลบ

ภาพลักษณ์ของแบรนด์ในกลุ่มนี้สะท้อนถึงการรับรู้ที่ดูจะซับซ้อน ไม่ค่อยเป็นที่นิยมหรืออาจส่งผลเชิงลบต่อแบรนด์ โดยเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น การตามไม่ทันยุคสมัย ความล้าหลัง การขาดความเป็นมืออาชีพ หรือการถูกมองว่าไม่มีจริยธรรม แบรนด์เหล่านี้อาจประสบปัญหาด้านภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือ หรือการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้บริโภค บางแบรนด์อาจเลือกใช้ภาพลักษณ์ที่ดูท้าทายเพื่อให้ดูแหวกแนวและสร้างจุดยืนที่แตกต่าง (ไม่เชื่อว่าจะมีแต่ก็มีจริงๆครับ) บางแบรนด์ก็สร้างขึ้นมากด้วยความตั้งใจให้มีภาพลักษณ์แบบนี้ บางแบรนด์ก็ทำให้ตัวเองมีภาพลักษณ์ในลักษณะนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งมันก็มีตลาดในตัวของมันเองและก็มีความเสี่ยงอยู่บ้าง ที่จะทำให้กลุ่มผู้บริโภคบางส่วนไม่พอใจหรือไม่ยอมรับได้ โดยมีอยู่ 6 ประเภท ดังนี้

  1. ล้าสมัยหรือตกยุค (Old-Fashioned / Outdated)
  2. เงอะงะหรือไม่เป็นมืออาชีพ (Clumsy / Unprofessional)
  3. ราคาถูกหรือคุณภาพต่ำ (Cheap / Low-Quality)
  4. หยิ่งยโสหรือมีภาพลักษณ์ของชนชั้นสูงเกินไป (Arrogant / Elitist)
  5. ไม่น่าเชื่อถือหรือไม่ซื่อสัตย์ (Untrustworthy / Dishonest)
  6. ขัดแย้งหรือสร้างกระแสให้เกิดการถกเถียง (Disruptive / Controversial)

แบรนด์ที่มีภาพลักษณ์ตกอยู่ในกลุ่มนี้อาจต้องเผชิญกับความท้าทายด้านความน่าเชื่อถือ แต่อย่างไรก็ตามแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์เชิงลบก็สามารถพลิกฟื้นและสร้างโอกาสได้ หากมีการปรับกลยุทธ์อย่างเหมาะสม เรามาดูรายละเอียดของแต่ละประเภทกันครับ

1. ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ล้าสมัยหรือตกยุค (Old-Fashioned / Outdated)

ภาพลักษณ์แบรนด์ที่ดูล้าสมัยหรือเชย (Old-Fashioned / Outdated) มักถูกมองว่าไม่สามารถก้าวตามยุคสมัยได้ แบรนด์เหล่านี้อาจมีผลิตภัณฑ์ บริการ หรือการออกแบบที่ดูไม่ทันสมัย และไม่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน แบรนด์ที่อยู่ในประเภทนี้มักประสบปัญหาในการปรับตัว และการนำนวัตกรรมใหม่ๆมาใช้เพื่อให้ทันต่อการแข่งขันในตลาด

ลักษณะภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูล้าสมัยหรือตกยุค

  • การออกแบบหรือใช้เทคโนโลยีที่ล้าหลัง
  • ใช้แนวทางการตลาดแบบเดิมที่ไม่ดึงดูดคนรุ่นใหม่
  • มีปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภคยุคใหม่ในระดับต่ำ
  • มีภาพลักษณ์ที่เต็มไปด้วยความย้อนยุคหรือยึดติดกับแนวคิดอนุรักษ์นิยม
  • มักถูกมองว่าไม่เหมาะกับผู้บริโภคที่ต้องการความทันสมัยและการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะของ Old-Fashioned / Outdated

  • Kodak – ครั้งหนึ่งเคยเป็นยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมฟิล์มถ่ายภาพ แต่การไม่สามารถเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างทันท่วงที ทำให้แบรนด์ถูกมองว่าล้าสมัยและขาดความสามารถในการนำนวัตกรรมใหม่ๆมาปรับใช้
  • BlackBerry – โทรศัพท์มือถือที่เคยครองตลาดธุรกิจ แต่เมื่อสมาร์ทโฟนจอสัมผัสเข้ามาครองตลาด BlackBerry ไม่สามารถแข่งขันได้และถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีที่ตกยุค
  • Blockbuster – ร้านเช่าวิดีโอระดับตำนานที่ไม่สามารถปรับตัวเข้าสู่ยุค Online Streaming ทำให้แบรนด์กลายเป็นสัญลักษณ์ของความล้าหลัง ในโลกที่ผู้บริโภคนิยมใช้บริการออนไลน์ เช่น Netflix และ Disney+
Blockbuster-Sign

Source: https://www.washingtonpost.com/travel/2024/04/06/last-blockbuster-bend-oregon/


2. ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูเงอะงะหรือไม่มีความเป็นมืออาชีพ (Clumsy / Unprofessional Brand Image)

ภาพลักษณ์แบรนด์ที่ดูเงอะงะหรือไม่มีความเป็นมืออาชีพ (Clumsy / Unprofessional Brand Image) มักถูกมองว่าขาดความน่าเชื่อถือ ขาดความเป็นระเบียบ หรือไม่มีมาตรฐานที่ดีพอ แบรนด์ประเภทนี้อาจมีปัญหาเรื่องการสื่อสารที่ไม่ชัดเจน การออกแบบที่ดูไม่เป็นมืออาชีพ หรือการให้บริการที่ไม่มีคุณภาพ ส่งผลให้ลูกค้าขาดความไว้วางใจและไม่ภักดีต่อแบรนด์

ลักษณะภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูเงอะงะหรือไม่มีความเป็นมืออาชีพ

  • การออกแบบและการสื่อสารแบรนด์ที่ไม่สม่ำเสมอ
  • การบริการลูกค้าที่ไม่ดีหรือขาดความเป็นมืออาชีพ
  • เกิดข้อผิดพลาดในการสื่อสารหรือคุณภาพสินค้าอยู่บ่อยครั้ง
  • ขาดความน่าเชื่อถือหรือไม่มีอำนาจในตลาด
  • ดูไม่เป็นระบบระเบียบที่อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่มั่นใจ

ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะของ Clumsy / Unprofessional Brand Image

  • MySpace – เคยเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียชั้นนำ แต่ด้วยอินเทอร์เฟซที่ยุ่งเหยิง ขาดนวัตกรรม และการบริหารจัดการที่ผิดพลาด ทำให้แบรนด์สูญเสียความเป็นมืออาชีพ และความเกี่ยวเนื่องกับยุคปัจจุบัน
  • Yahoo! – แม้จะเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกด้านอินเทอร์เน็ต แต่ Yahoo! ต้องเผชิญกับกลยุทธ์ที่ไม่แน่นอน การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารบ่อยครั้ง รวมไปถึงการซื้อกิจการที่ล้มเหลว ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ดูขาดทิศทา งและไม่มีความน่าเชื่อถือ
  • WeWork – เคยเป็นสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าสูงมาก แต่กลับล่มสลายจากเรื่องอื้อฉาวของผู้บริหาร การบริหารทางการเงินที่ผิดพลาด และคำสัญญาที่ไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ ทำให้แบรนด์มีภาพลักษณ์ที่ดูวุ่นวายและขาดความเป็นมืออาชีพ
myspace-website

Source: https://news.sky.com/story/myspace-confirms-losing-every-song-uploaded-between-2003-15-11669261


3. ภาพลักษณ์แบรนด์ดูราคาถูกหรือคุณภาพต่ำ (Cheap / Low-Quality)

ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูราคาถูกหรือคุณภาพต่ำ (Cheap / Low-Quality) สะท้อนให้เห็นว่าแบรนด์นั้นอาจไม่ได้รับการมองว่าให้คุณค่าหรือมาตรฐานที่ดีในสายตาผู้บริโภค แม้ว่าบางแบรนด์อาจเลือกวางตำแหน่งตัวเองในตลาดล่าง เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่คำนึงถึงราคาเป็นหลัก แต่ในบางกรณีแบรนด์อาจถูกจัดอยู่ในประเภทนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจากปัญหาด้านคุณภาพหรือการรับรู้ของตลาด

ลักษณะภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูราคาถูกหรือคุณภาพต่ำ

  • ตั้งราคาต่ำโดยเน้นความคุ้มค่าเป็นหลัก
  • ถูกมองว่ามีคุณภาพต่ำหรือใช้วัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน
  • แบรนด์ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ราคาประหยัด” หรือ “เน้นความคุ้มค่า” แต่ไม่มีจุดเด่นด้านคุณภาพ
  • อาจถูกมองว่าเป็นสินค้าที่ใช้ชั่วคราว ไม่ทนทาน หรือไม่มีความพิเศษ

ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะของ Cheap / Low-Quality

  • Walmart – แม้จะเป็นหนึ่งในผู้ค้าปลีกที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก แต่ Walmart ก็มีภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เน้นสินค้าราคาถูกเป็นหลัก ทำให้หลายคนมองว่าคุณภาพของสินค้าบางอย่างอาจต่ำกว่ามาตรฐาน
  • K-Mart – มีลักษณะคล้ายกับ Walmart โดย K-Mart มุ่งเน้นการขายสินค้าราคาประหยัดและสินค้าจำเป็นพื้นฐาน ซึ่งนำไปสู่การรับรู้ว่าเป็นแบรนด์ราคาถูกที่ไม่มีจุดเด่นด้านคุณภาพ
  • Dollar Tree – เป็นแบรนด์ที่เน้นสินค้าราคาประหยัดแบบสุดๆ โดยตั้งราคาขายทุกอย่างที่ 1 ดอลลาร์ ซึ่งทำให้ลูกค้ามองว่าสินค้าอาจมีคุณภาพต่ำ และเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ

4. ภาพลักษณ์แบรนด์ดูหยิ่งยโสหรือมีภาพลักษณ์ของชนชั้นสูงเกินไป (Arrogant / Elitist)

ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูหยิ่งผยองหรือเน้นชนชั้นสูง (Arrogant / Elitist) สะท้อนให้เห็นถึงความเหนือกว่าหรือความเป็นเอกสิทธิ์ที่เข้าถึงได้ยาก แบรนด์ประเภทนี้มักสร้างบรรยากาศของความพิเศษ ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าต้อง “คู่ควร” หรือ “ได้รับสิทธิ์” ในการใช้สินค้าและบริการของแบรนด์ แม้ว่าภาพลักษณ์นี้สามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าระดับบนได้ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจทำให้ลูกค้ากลุ่มอื่นรู้สึกถูกกีดกันหรือด้อยค่า

ลักษณะภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูหยิ่งผยองหรือเน้นชนชั้นสูง

  • มีท่าทีเหนือกว่าหรือลักษณะของความเป็นอภิสิทธิ์ชน ในข้อความที่ใช้สื่อสารทางการตลาด
  • ตั้งราคาสูงเพื่อสร้างความพิเศษและความพรีเมียม
  • ใช้น้ำเสียงที่ให้ความรู้สึกดูถูกหรือมั่นใจในตัวเองมากเกินไป
  • การสื่อสารที่เน้นเฉพาะกลุ่มลูกค้าระดับบน ทำให้ผู้บริโภคทั่วไปอาจรู้สึกว่าเป็นแบรนด์เข้าไม่ถึงหรือไม่ต้อนรับ

ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะของ Arrogant / Elitist

  • Louis Vuitton – แม้ว่าจะเป็นแบรนด์หรูที่มีชื่อเสียงระดับโลก แต่ Louis Vuitton ก็มักถูกมองว่าเป็นแบรนด์ที่มีความเป็นชนชั้นสูงสูงมาก ด้วยราคาที่แพงและการวางตำแหน่งแบรนด์ที่เน้นเฉพาะลูกค้าระดับ High-end
  • Patek Philippe – แบรนด์นาฬิกาสุดหรูที่ขึ้นชื่อเรื่องงานฝีมือระดับสูง แต่ก็มาพร้อมกับภาพลักษณ์ที่ให้ความรู้สึกว่า “มีไว้สำหรับคนรวยเท่านั้น” ซึ่งทำให้บางคนมองว่าเป็นแบรนด์ที่มีความหยิ่งและเอื้อมไม่ถึง
  • Rolex – แม้ว่าจะเป็นแบรนด์ที่แสดงถึงความหรูหรา สง่างาม และคลาสสิก แต่ Rolex ก็ถูกมองว่ามีภาพลักษณ์ที่เน้นชนชั้นสูงมาก ด้วยราคาที่แพงและการสื่อสารที่ทำให้การครอบครอง Rolex กลายเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและอภิสิทธิ์ชน

5. ภาพลักษณ์แบรนด์ดูไม่น่าเชื่อถือหรือไม่ซื่อสัตย์ (Untrustworthy / Dishonest)

ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูไม่น่าเชื่อถือหรือไม่ซื่อสัตย์ (Untrustworthy / Dishonest) เกิดจากการที่ผู้บริโภครู้สึกว่าแบรนด์มีพฤติกรรมที่ไม่เป็นธรรม ขาดความโปร่งใส หรือมีประวัติเกี่ยวข้องกับเรื่องอื้อฉาว การโฆษณาเกินจริง หรือการดำเนินธุรกิจที่ขาดจริยธรรม แบรนด์ที่มีภาพลักษณ์ในลักษณะนี้มักสูญเสียความไว้วางใจจากลูกค้า ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและความภักดีของผู้บริโภค

ลักษณะภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูไม่น่าเชื่อถือหรือไม่ซื่อสัตย์

  • มีประวัติเรื่องอื้อฉาว ปัญหาทางกฎหมาย หรือข้อกังวลด้านจริยธรรม
  • ขาดความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ
  • ใช้การโฆษณาเกินจริงหรือกลยุทธ์ทางการตลาดที่ทำให้เข้าใจผิด
  • คะแนนความพึงพอใจของลูกค้าต่ำและมักได้รับคำวิจารณ์เชิงลบ
  • ถูกมองว่าเป็นแบรนด์ที่ไม่ซื่อสัตย์หรือไม่จริงใจ

ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะของ Untrustworthy / Dishonest

  • Volkswagen – เคยเป็นแบรนด์รถยนต์ที่ได้รับความไว้วางใจ แต่กลับต้องเผชิญกับเรื่องอื้อฉาวครั้งใหญ่จากกรณีโกงค่ามลพิษ (Dieselgate) ส่งผลให้ผู้บริโภคหมดความเชื่อถือ และแบรนด์ต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นฟูชื่อเสียงได้
  • Theranos – สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีสุขภาพ ที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลก แต่สุดท้ายถูกเปิดโปงว่าผลิตภัณฑ์ไม่สามารถใช้งานได้จริง และบริษัทใช้ข้อมูลที่เป็นเท็จในการหลอกลวงนักลงทุน
  • Enron – บริษัทพลังงานรายใหญ่ที่ล่มสลายจากกรณีอื้อฉาว ด้านการฉ้อโกงและการจัดการบัญชีที่ไม่โปร่งใส ส่งผลให้กลายเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่ใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับความล้มเหลวขององค์กร
Volkswagen-HQ-clouds

Source: https://www.caranddriver.com/news/a15339250/everything-you-need-to-know-about-the-vw-diesel-emissions-scandal/


6. ภาพลักษณ์แบรนด์ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งหรือสร้างกระแสให้เกิดการถกเถียง (Disruptive / Controversial)

ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เป็นตัวแปรในการเปลี่ยนแปลง หรือก่อให้เกิดความขัดแย้งนั้น อาจเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง แบรนด์ประเภทนี้มักท้าทายแนวคิดเดิมๆ ทำลายข้อจำกัดของอุตสาหกรรม และใช้กลยุทธ์การสื่อสารที่โดดเด่นจนกลายเป็นที่ถกเถียง ซึ่งแม้ว่าอาจทำให้บางกลุ่มผู้บริโภคไม่พอใจหรือรู้สึกต่อต้าน แต่ก็สามารถสร้างฐานแฟนคลับที่ภักดีและมีจุดยืนที่แข็งแกร่งในตลาดได้

ลักษณะภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูขัดแย้งหรือสร้างกระแสให้เกิดการถกเถียง

  • ใช้ข้อความหรือกลยุทธ์การตลาดที่โดดเด่นและอาจสร้างความขัดแย้ง
  • พร้อมที่จะท้าทายขนบธรรมเนียมและวิธีปฏิบัติแบบเดิมในอุตสาหกรรม
  • มักถูกมองว่าเป็นแบรนด์ที่ไม่ยึดติดกับกรอบเดิมๆและมีแนวคิดก้าวหน้า
  • อาจสร้างความแตกแยกในกลุ่มผู้บริโภค โดยบางคนสนับสนุนอย่างเต็มที่ขณะที่บางคนอาจต่อต้าน

ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะของ Disruptive / Controversial

  • Ben & Jerry’s – แบรนด์ไอศกรีมที่ไม่เพียงแต่เน้นรสชาติอร่อย แต่ยังเป็นแบรนด์ที่มีจุดยืนทางการเมืองและสังคมที่ชัดเจน เช่น การสนับสนุนสิทธิ LGBTQ+ และการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้ได้รับทั้งคำชมและคำวิจารณ์
  • Nike – ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ออกแคมเปญอย่างกล้าหาญ เช่น โฆษณาที่มี Colin Kaepernick ซึ่งเป็นนักกีฬาที่เคยคุกเข่าประท้วงความอยุติธรรมทางเชื้อชาติ ทำให้ Nike กลายเป็นแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์ของการสนับสนุนความเท่าเทียมและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
  • Tesla – ภายใต้การนำของ Elon Musk ที่ไม่เพียงแต่ปฏิวัติอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า แต่ยังมีแนวทางการดำเนินธุรกิจที่แตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นการเลิกใช้โฆษณาแบบดั้งเดิม หรือการใช้โซเชียลมีเดียของซีอีโอ ในการสื่อสารโดยตรงกับผู้บริโภค
Nike-Colin-Kaepernick

Source: https://www.nbcnews.com/business/business-news/nike-doubles-down-kaepernick-controversy-releases-full-length-tv-ad-n906786


ข้อชวนคิดเกี่ยวกับ Brand Image

จากตัวอย่างทั้งหมดที่ผมได้อธิบายให้เห็นนั้น ไม่ใช่การสรุปว่าทุกแบรนด์จะมีภาพลักษณ์แบบนี้ทั้งหมด แต่เป็นการอธิบายให้เห็นลักษณะสำคัญๆที่เป็นคุณสมบัติเด่นของภาพลักษณ์แต่ละประเภท (แบบชัดเจนที่เห็นแล้วต้องร้อง….อ๋อ) ซึ่งในความเป็นจริงนั้นก็อยู่ที่แบรนด์จับกลุ่มตลาดใด กลุ่มเป้าหมายใด และสื่อสารออกมาในรูปแบบใด แล้วกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์นั้นจะเป็นผู้ตัดสินเองว่า ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่แสดงออกมานั้นเป็นอย่างไรในสายตาของพวกเขา โดยแบรนด์ๆหนึ่งนั้นอาจมีภาพลักษณ์ได้มากกว่า 1 ประเภท ในแต่ละกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่แบรนด์เป็น สิ่งที่แบรนด์ยึดถือ สิ่งที่แบรนด์แสดงออก สิ่งที่แบรนด์สื่อสาร สิ่งที่แบรนด์ปฏิบัติ การตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆ นั้นออกมาเป็นอย่างไร ผมขอยกตัวอย่างให้เห็น 2 กรณี ดังนี้

1. แบรนด์มีภาพลักษณ์หลายประเภท ซึ่งขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน

ตัวอย่างเช่น โค้ก (Coca-Cola)

โค้กเป็นตัวอย่างที่ดีของแบรนด์ที่มุ่งเป้าไปยังหลายกลุ่มลูกค้า ด้วยภาพลักษณ์ที่แตกต่างกัน

  • สำหรับวัยรุ่นและมิลเลนเนียล
    โค้กวางตำแหน่งแบรนด์ที่ดูสนุกสนาน เต็มไปด้วยพลัง และเป็นแบรนด์ที่ดูอ่อนเยาว์ โดยใช้แคมเปญที่มุ่งเน้นความสุข การเชื่อมโยงทางสังคม และช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสุข เช่น การแชร์โค้กกับเพื่อน (Share A Coke)
  • สำหรับผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ
    โค้กยังมีกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ โดยการเสนอผลิตภัณฑ์ Coca-Cola Zero และ Diet Coke ซึ่งมีภาพลักษณ์เกี่ยวกับทางเลือกที่มีแคลอรีต่ำ และทำให้ผู้บริโภคไม่มีความรู้สึกผิด
  • สำหรับกลุ่มที่มีอายุมากขึ้น
    โค้กใช้การตลาดแบบ Nostalgia สำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่มีอายุมากขึ้น โดยเน้นที่ประวัติศาสตร์ยาวนานและความเป็น “เครื่องดื่มคลาสสิก”

จะเห็นได้ว่าภาพลักษณ์เหล่านี้สะท้อนถึงการเชื่อมโยงทางอารมณ์ และคุณค่าที่แตกต่างกันซึ่งขึ้นอยู่กับความชอบและช่วงชีวิตของกลุ่มเป้าหมาย

share_a_coke_banner_campaign

Source: https://joannamoraisblog.wordpress.com/2014/10/15/share-a-coke-campaign-a-success/

2. แบรนด์มีภาพลักษณ์หลายประเภท ซึ่งเกิดจากการกระทำที่ผิดพลาด

ตัวอย่างเช่น Samsung (กรณี Galaxy Note 7)

ก่อนเกิดเหตุการณ์ซึ่งแบรนด์ยังมีภาพลักษณ์ในเชิงบวก

  • นวัตกรรมและความพรีเมียม
    Samsung ได้สร้างสื่อสารว่าเป็นแบรนด์ที่มีนวัตกรรมและคุณภาพสูง โดยมุ่งเน้นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย โดย Galaxy Note ก็เป็นที่รู้จักในด้านหน้าจอขนาดใหญ่ ประสิทธิภาพสูง และคุณสมบัติระดับพรีเมียม ซึ่งดึงดูดทั้งผู้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยีและกลุ่มพวกมืออาชีพ ส่วนการรับรู้ในระดับโลก Samsung เชื่อมโยงกับความสำเร็จและความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี โดยมีผู้บริโภคจำนวนมากที่ไว้วางใจในผลิตภัณฑ์ เพราะความทนทานและคุณสมบัติที่ครบครัน

หลังเกิดเหตุการณ์ซึ่งแบรนด์เกิดภาพลักษณ์เชิงลบ

  • การเรียกคืน Galaxy Note 7
    ในปี 2016 Samsung ต้องเผชิญกับวิกฤตใหญ่เมื่อมีรายงานว่า Samsung Galaxy Note 7 มีปัญหาที่แบตเตอรี่ทำให้โทรศัพท์ร้อนเกินไปและเกิดไฟลุกไหม้ ซึ่งนำไปสู่การเรียกคืนผลิตภัณฑ์จำนวนมาก และการยกเลิกการผลิตโทรศัพท์รุ่นนี้ ทำให้ชื่อเสียงของซัมซุงในด้านคุณภาพและความปลอดภัยถูกทำลายอย่างหนัก ผู้บริโภคที่เคยไว้วางใจในแบรนด์เริ่มสงสัยและตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ในอนาคต

แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์วิกฤตในครั้งนี้ Samsung ก็ได้ทำงานอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Image) โดยมุ่งเน้นที่การปรับปรุงการควบคุมคุณภาพ ความโปร่งใส และความปลอดภัยของลูกค้า ในที่สุด Samsung ก็สามารถกลับมาได้อีกครั้งแต่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ในการซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดจากเหตุการณ์ Galaxy Note 7 นี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์เชิงลบเพียงเหตุการณ์เดียว สามารถเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างมหาศาล แม้ว่าในอดีตจะมีชื่อเสียงในด้านดีขนาดไหนก็ตาม

Samsung-Galaxy-Note-7

Source: https://www.bbc.com/news/technology-37615496


ภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Image) ไม่ใช่แค่การรับรู้ของผู้บริโภคเกี่ยวกับชื่อ (Naming) โลโก้ (Logo) หรือสโลแกนของแบรนด์ (Slogan) เพียงเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงทุกสิ่งที่มีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค ตั้งแต่ภาพลักษณ์ที่ดูหรูหรามีความคลาสสิก ไปจนถึงภาพลักษณ์ที่ดูไม่เป็นมืออาชีพและไม่น่าเชื่อถือ การเข้าใจประเภทต่างๆเหล่านี้จะช่วยให้คุณกำหนดอัตลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างตรงใจ สะท้อนถึงคุณค่าที่คุณต้องการส่งมอบ เพราะทุกการตัดสินใจที่คุณทำจะมีผลต่อการรับรู้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ในตลาดนั่นเอง


Share to friends


Related Posts

ภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Image)

ลูกค้าในยุคปัจจุบันมักจะมองหาสิ่งที่เหมือน หรือสะท้อนความเป็นตัวตนที่ใกล้เคียงกับบุคลิกภาพของเขา ดังนั้น การแสดงออกถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์ ที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับความเป็นตัวตนของกลุ่มลูกค้าได้ ก็จะกลายเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ


องค์ประกอบของ Brand Image

Brand Image หรือ ภาพลักษณ์ของแบรนด์นั้น เป็นสิ่งที่สะท้อนออกมาจากมุมมองของลูกค้าหรือผู้บริโภค ที่มีอยู่ 13 องค์ประกอบด้วยกัน


Brand Identity คืออะไรสำคัญแค่ไหน

Brand Identity คือ อัตลักษณ์หรือความเป็นตันตนของแบรนด์ เป็นสิ่งที่บริษัทสร้างขึ้นเพื่อนำเสนอความเป็นตัวตนของแบรนด์ตัวเอง Brand Identity นั้นถือเป็นหน้าตาของบริษัทด่านแรกที่กลุ่มลูกค้าจะได้เห็น เช่น ชื่อของแบรนด์ โลโก้ สโลแกน โบรชัวร์ แผ่นพับ ป้ายโฆษณา นามบัตร หัวจดหมาย Brand Identity ยังมีความเกี่ยวข้องกับส่วนต่างๆของบริษัท



copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์