Laptop_With_Broken_Screen

ลองนึกภาพผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาว่าผลิตภัณฑ์ของเราสามารถเปลี่ยนชีวิตคุณได้ แต่กลับให้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีไปกว่าคู่แข่ง ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่ากำลังถูกหลอกลวง เกิดความผิดหวัง เหมือนถูกทรยศ ซึ่งผมเชื่อว่าหลายๆคนนั้นคงต้องเคยพบเจอกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างน้อย 1 ครั้งแน่ๆ สิ่งนี้เราเรียกว่า “การให้คำมั่นสัญญาเกินจริง” (Overpromising) ซึ่งอาจดูเหมือนทางลัดในการดึงดูดความสนใจในการทำ Content Marketing แต่ผลิตภัณฑ์เกิดส่งมอบที่ไม่ใช่อย่างที่สื่อสารเอาไว้ การให้คำมั่นสัญญาเกินจริง (Overpromising) จะกลายเป็นวิธีที่เร็วที่สุด ที่จะทำให้แบรนด์และธุรกิจของคุณ สูญเสียความน่าเชื่อถือ (Trust) ชื่อเสียง (Reputation) แบบซ่อมแซมไม่ได้เลยทีเดียว และในบทความนี้ผมจะอธิบายให้เห็นว่า เหตุใดการให้คำมั่นสัญญาเกินจริง (Overpromising) จึงส่งผลเสียต่อแบรนด์ และจะแบ่งปันกลยุทธ์เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้กันครับ

What's next?

Overpromising คืออะไร และมีลักษณะอย่างไร

การให้คำมั่นสัญญาเกินจริง (Overpromising) คือ การที่แบรนด์ ธุรกิจ หรือบุคคล สัญญาว่าจะส่งมอบสินค้า บริการ หรือผลลัพธ์ที่เกินความเป็นจริง หรือเกินความสามารถในการทำได้จริง เพื่อดึงดูดลูกค้า สร้างยอดขาย หรือสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในระยะสั้น โดยมีลักษณะสำคัญ ดังนี้

  • การกล่าวอ้างที่เกินจริง (Exaggerated Claims)
    การใช้คำพูดที่เกินจริง โอ้อวด หรือเกินกว่าความเป็นจริงของสินค้าหรือบริการ เช่น “เห็นผลลัพธ์ทันที” “บริการดีที่สุดในโลก” “รับประกันความพึงพอใจ 100% (โดยไม่มีเงื่อนไขที่ชัดเจน)” หรือ “สินค้าที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ”
  • การสร้างความคาดหวังที่ไม่สมจริง (Unrealistic Expectations)
    การทำให้ลูกค้าคาดหวังผลลัพธ์ ที่สูงเกินกว่าความเป็นจริงของสินค้าหรือบริการนั้นๆ เช่น สัญญาว่าจะลดน้ำหนักได้ 10 กิโลกรัมในหนึ่งสัปดาห์ หรือรับประกันผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงลิ่ว (โดยไม่มีความเสี่ยง)
  • การละเลยข้อจำกัด (Ignoring Limitations)
    การไม่เปิดเผยหรือปกปิดข้อจำกัดของสินค้าหรือบริการ เช่น ไม่แจ้งให้ทราบถึงระยะเวลาในการจัดส่งที่อาจนานกว่าปกติ หรือไม่บอกถึงเงื่อนไขในการรับประกันที่ซับซ้อน
  • การใช้ภาษาที่คลุมเครือ (Using Ambiguous Language)
    การใช้คำพูดที่กำกวม ไม่ชัดเจน หรือตีความได้หลายอย่าง เพื่อหลีกเลี่ยงการให้คำมั่นสัญญาที่ชัดเจน แต่ยังคงสร้างความรู้สึกว่าสินค้าหรือบริการนั้นพิเศษเหนือกว่าคู่แข่ง
  • การเน้นย้ำแต่ข้อดี (Emphasizing Only Benefits)
    การนำเสนอแต่ข้อดีของสินค้าหรือบริการ โดยไม่กล่าวถึงข้อเสีย หรือข้อจำกัดใดๆเลย
  • การแสดงภาพลักษณ์ที่เกินจริง (Using Exaggerated Image)
    การใช้ภาพถ่าย วิดีโอ หรือสื่ออื่นๆ ที่ถูกตกแต่งหรือปรับแต่งจนเกินจริง เพื่อสร้างความประทับใจในระยะสั้น แต่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง (ของไม่ตรงปก)
  • การให้คำมั่นสัญญาที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุน (Offering Promises Without Supporting Evidence)
    การให้คำมั่นสัญญาที่ไม่มีข้อมูล หรือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ หรือเป็นเพียงการคาดการณ์ที่ไม่น่าเชื่อถือ

3 เหตุผลที่ทำให้คำมั่นสัญญาเกินจริง (Overpromising) นำไปสู่ความล้มเหลวในการสร้างแบรนด์

  1. ความไว้วางใจของลูกค้าลดลง
    ความไว้วางใจ (Trust) คือ รากฐานของแบรนด์ที่แข็งแกร่ง การให้คำมั่นสัญญาเกินจริง (Overpromising) สร้างความคาดหวังที่ไม่สมจริง ซึ่งเมื่อไม่เป็นไปตามนั้นจะนำไปสู่ความรู้สึกหลอกลวง แม้ว่าในความเป็นจริงลูกค้าอาจให้อภัยกับข้อผิดพลาดที่เล็กน้อยได้เสมอ แต่คำสัญญาที่ผิดพลาดจะทำให้เกิดคำถามต่อแบรนด์ และยากที่จะสร้างความไว้วางใจขึ้นใหม่
  2. คำบอกเล่าในเชิงลบ
    ในยุคดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย ประสบการณ์เชิงลบจะถูกแบ่งปันบอกต่อทางออนไลน์ ทำให้ความเสียหายขยายวงกว้าง การให้คำมั่นสัญญาเกินจริง (Overpromising) ไม่เพียงแต่จะทำให้ลูกค้าแต่ละคนผิดหวังเท่านั้น แต่ยังสร้างผลกระทบเป็นวงกว้างของข่าวเชิงลบอีกด้วย
  3. ผลกระทบทางกฎหมายและจริยธรรม
    การให้คำมั่นสัญญาเกินจริง (Overpromising) อาจนำไปสู่การฟ้องร้อง หรือบทลงโทษจากหน่วยงานที่กำกับดูแลได้ การกล่าวอ้างเกินจริงเกี่ยวกับคุณสมบัติหรือประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ อาจถูกมองว่าเป็นการโฆษณาชวนเชื่ออันเป็นเท็จ ส่งผลให้ถูกปรับและชื่อเสียงเสื่อมเสียได้
A-Picture-of-Thumbs-Down

What's next?

รูปแบบของ Overpromising ที่เกิดขึ้นในธุรกิจ

การให้คำมั่นสัญญาเกินจริง (Overpromising) เกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบในหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งมักนำไปสู่ความผิดหวังของลูกค้า และความเสียหายต่อชื่อเสียง เรามาดูรูปแบบหลักๆของ Overpromising กันครับ

1. การสัญญาเกินจริงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ (Product Overpromising)

การกล่าวอ้างที่เกินจริงเกี่ยวกับคุณสมบัติ ประสิทธิภาพ หรือความสามารถของผลิตภัณฑ์ ที่ไม่เป็นความจริงหรือเกินความเป็นจริง เช่น

  • แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอ้างว่าครีมของตนนั้น สามารถ “ลบริ้วรอยใน 7 วัน” แต่ในความเป็นจริงแล้ว ก็ให้แค่ความชุ่มชื้นเพียงเล็กน้อย โดยไม่มีผลในการต่อต้านริ้วรอยอย่างชัดเจน
  • แบรนด์โทรศัพท์สมาร์ทโฟนให้คำมั่นสัญญาว่า “แบตเตอรี่ใช้งานได้ 48 ชั่วโมง โดยไม่ต้องชาร์จ” แต่การใช้งานจริงแสดงให้เห็นว่าใช้งานได้เพียงแค่วันเดียวเท่านั้น และหน้าจอยัง “ป้องกันรอบข่วนหนักๆได้” แต่กลับพบว่าลูกค้าหลายๆรายเริ่มมีตำหนิ เพราะขนาดแค่ใช้งานอยู่แบบปกติก็ยังเกิดรอยข่วนมากมาย

วิธีหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิด Product Overpromising คือ การทดสอบผลิตภัณฑ์และการสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์ เพื่อสนับสนุนคำกล่าวอ้างอยู่เสมอ หากผลลัพธ์นั้นออกมาแตกต่างกัน ก็ให้ระบุ “Disclaimer” หรือข้อความปฏิเสธความรับผิดชอบอย่างชัดเจน หลีกเลี่ยงคำคุณศัพท์ขั้นสูงสุด เช่น “ไม่มีวันแตก” หรือ “สมบูรณ์แบบ” เว้นแต่จะได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้ว สำหรับตัวอย่างในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอาจระบุ Disclaimer ดังนี้

  • ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิว อายุ และปัจจัยอื่นๆ
  • ผลิตภัณฑ์ช่วย “ลดเลือน” ไม่ใช่ “ลบริ้วรอยอย่างถาวร”
  • หากใช้ผิดวิธีหรือไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ อาจทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้
Skin-Care-Products-Close-Up-Shot

2. การสัญญาเกินจริงด้านบริการ (Service Overpromising)

แบรนด์อาจสัญญาว่าจะมอบประสบการณ์การบริการที่ยอดเยี่ยม ซึ่งพวกเขาไม่สามารถให้บริการได้อย่างสม่ำเสมอ สิ่งนี้สร้างความคับข้องใจเมื่อลูกค้าคาดหวังบริการระดับสูง แต่ก็ไม่เป็นไปตามที่สัญญาไว้เลย เช่น

  • บริษัทขนส่งรับประกันว่า “จัดส่งภายในวันเดียวกัน” แต่บ่อยครั้งที่ไม่สามารถทำได้จริง เนื่องจากมีคนใช้บริการจำนวนมาก หรือเกิดปัญหาด้านโลจิสติกส์
  • โรงแรมโฆษณาว่า “ห้องพักวิวทะเล” แต่มีเพียงไม่กี่ห้องเท่านั้นที่มีวิวทะเลที่ชัดเจน

วิธีหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิด Service Overpromising คือ การซื่อสัตย์เกี่ยวกับความพร้อมในการให้บริการ รู้ถึงข้อจำกัดในการให้บริการในสภาวะการณ์ต่างๆ และประเมินถึงความล่าช้าที่อาจเกิดขึ้นในหลายๆมิติ ที่ต้องเสนอทางเลือกอื่นหรือค่าชดเชย หากไม่สามารถทำตามความคาดหวังได้ เช่น

  • อย่าให้คำมั่นสัญญาที่เกินความเป็นจริง เกี่ยวกับระยะเวลาในการให้บริการ หรือความพร้อมของสินค้าและบริการ
  • แจ้งให้ลูกค้าทราบถึงสิ่งที่คาดหวังได้อย่างชัดเจน และเตรียมพร้อมที่จะชดเชย หากไม่สามารถให้บริการได้ตามที่ตกลงไว้
  • ใช้คำอย่างระมัดระวังโดยแทนที่จะใช้คำว่า “รับประกัน” ให้ใช้คำว่า “จัดส่งภายใน 30 นาที” หรือคำที่แสดงถึงความตั้งใจ แต่ไม่เป็นการรับประกันที่แน่นอน
  • แทนที่จะพูดว่า “จัดส่งทันที” อาจพูดว่า “จัดส่งภายใน 1-3 วันทำการ”
White_Van_with_Always_on_Time_Delivery_Text

3. การสัญญาเกินจริงด้านประสิทธิภาพ (Performance Overpromising)

การกล่าวเกินจริงเกี่ยวกับประสิทธิภาพ ความรวดเร็ว หรือประสิทธิผลโดยรวมของผลิตภัณฑ์ของตน ที่เกินกว่าศักยภาพของตัวมันเองจะทำได้ ทำให้ลูกค้าเชื่อว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่ดู Wow จนเกินจริง เช่น

  • ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลดน้ำหนักอ้างว่าผู้ใช้สามารถ “ลดน้ำหนัก 10 กิโลกรัมในหนึ่งเดือน โดยไม่ต้องออกกำลังกาย” แต่กลับไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนสิ่งนี้
  • แบรนด์เครื่องคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปโฆษณาว่ามี “พลังประมวลผลที่เร็วที่สุด” แต่ผลการทดสอบประสิทธิภาพ แสดงให้เห็นว่าช้ากว่ารุ่นคู่แข่งเสียอีก

วิธีหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิด Performance Overpromising คือ การใช้ข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว มีการทดสอบผู้ใช้งานจริง และระบุ Disclaimer แทนที่จะใช้ภาษาในการสื่อสารทางการตลาดที่เกินจริง เช่น

  • หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่กว้างเกินไปหรือทำให้เข้าใจผิดได้ง่าย
  • เลือกใช้คำที่สื่อถึงผลลัพธ์ที่เป็นไปได้จริงและมีความเฉพาะเจาะจง
  • การใช้คำพูดที่ชัดเจน เช่น “ช่วยเพิ่มความทนทาน” แทนที่จะเป็น “เพิ่มพลังงานของคุณทันที”
  • แทนที่จะพูดว่า “ลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว” อาจพูดว่า “ช่วยลดน้ำหนักได้เมื่อใช้ควบคู่กับการควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย” และระบุปริมาณที่อาจลดได้โดยประมาณ (หากมีข้อมูลสนับสนุน)
  • แทนที่จะพูดว่า “ทำให้ผิวขาวกระจ่างใสในทันที” อาจพูดว่า “ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอและแลดูกระจ่างใสขึ้น เมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง”
Graphic_Cards_Benchmark

Image Source: https://gamersnexus.net/game-benchmarks-graphics-guides/starfield-gpu-benchmarks-comparison-best-graphics-cards-starfield


4. การสัญญาเกินจริงทางการเงิน (Financial Overpromising)

สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อแบรนด์สัญญาว่า จะให้ผลตอบแทนทางการเงินที่ไม่สมจริง รายได้ที่รับประกัน หรือการประหยัดที่เกิดขึ้น โดยไม่มีหลักฐานใดๆ เช่น

  • บริษัทด้านการลงทุนสัญญาว่า “การันตีผลตอบแทนรายเดือน 20% ในเดือนแรก” โดยไม่กล่าวถึงความเสี่ยง
  • คอร์สสอนหารายได้เสริมอ้างว่า “หาเงิน 10,000 บาทต่อเดือน เพียงทำงานแค่วันละ 2 ชั่วโมง” แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันใดๆ
  • บริษัท MLM จำนวนมากสัญญาว่าจะให้ผู้ที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกใหม่มี “ศักยภาพในการสร้างรายได้ที่ไม่จำกัด” หรือ “อิสรภาพทางการเงิน” โดยใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าผู้เข้าร่วม MLM กว่า 99% แท้ที่จริงแล้วขาดทุน

วิธีหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิด Financial Overpromising คือ เปิดเผยเกี่ยวกับความเสี่ยง ตัวแปรที่อาจส่งผลกระทบ และผลลัพธ์ที่เป็นจริง หลีกเลี่ยงการใช้คำว่า “รับประกัน” เว้นแต่จะปราศจากความเสี่ยงอย่างแท้จริง เช่น

  • แทนที่จะนำเสนอเรื่องราวความสำเร็จที่ดูเกินจริง ควรนำเสนอคำรับรองจากผู้ใช้งานจริง (Testimonials) ที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และมีความสมจริง
  • แทนที่จะพูดว่า “รับประกันรายได้ 10,000 บาทต่อเดือน” อาจพูดว่า “รายได้อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความขยันและความสามารถในการทำงาน”
  • แทนที่จะพูดว่า “ลงทุนแล้วรวยทันที” อาจพูดว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน”
ROI-Guarantee-Example

Image Source: https://bxnetworking.com/return-on-investment-money-back-guarantee/


5. การสัญญาเกินจริงด้านการจ้างงานและสถานที่ทำงาน (Employment & Workplace Overpromising)

บริษัทต่างๆหลอกลวงผู้สมัครงานเกี่ยวกับสภาพการทำงาน โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ หรือสวัสดิการที่พวกเขาไม่สามารถจัดหาให้ได้ เช่น

  • โฆษณาบริษัทรับสมัครงานสัญญาว่าจะให้ “ความยืดหยุ่นและความเป็นอิสระ” ในการทำงาน แต่อย่างไรก็ตามพนักงานจำนวนมากกลับเจอกับนโยบายที่เข้มงวด และชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน ที่ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่คาดหวังเอาไว้
  • ธุรกิจสตาร์ทอัพบางแห่งโฆษณาว่ามี “การเติบโตในสายอาชีพที่รวดเร็ว” แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขามีนโยบายการเลื่อนตำแหน่งที่ไม่ชัดเจนและให้พนักงานทำงานหนัก โดยมีการยอมรับเพียงเล็กน้อย

วิธีหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิด Employment & Workplace Overpromising คือ เปิดเผยเกี่ยวกับสภาพการทำงานจริง ทำความเข้าใจในนโยบายที่ชัดเจนของบริษัท และกฎระเบียบต่างๆอย่างตรงไปตรงมา และควรหลีกเลี่ยงวลี เช่น “รับประกันการเลื่อนตำแหน่งภายใน 6 เดือน” หรือ “ปรับเงินเดือนขึ้นทุกปี” เว้นแต่จะเป็นจริงตามสัญญา

Example_of_Employee_Benefits

Image Source: https://executiveacademy.at/en/news/detail/benefits-what-really-counts/


6. การสัญญาเกินจริงด้านการบริการลูกค้า (Customer Support Overpromising)

เมื่อแบรนด์อ้างว่าจะให้บริการลูกค้าอย่างเต็มที่ตลอด 24 ชั่วโมง แต่กลับไม่สามารถทำตามความคาดหวังได้ เช่น

  • ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) จำนวนมากสัญญาว่าจะให้ “การสนับสนุนด้านเทคนิคตลอด 24 ชั่วโมง” แต่ลูกค้ามักประสบกับเวลารอคอยที่นาน การตอบสนองที่ไม่เป็นประโยชน์ หรือปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไข
  • สายการบินหลายแห่งอ้างว่าจะให้บริการ “การคืนเงินที่ง่ายและไม่ยุ่งยาก” แต่ลูกค้ามักเผชิญกับกระบวนการคืนเงินที่ซับซ้อน มีความล่าช้า เงื่อนไขไม่ชัดเจน หรือถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง

วิธีหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิด Customer Support Overpromising คือ ใช้เวลาตอบสนองการบริการที่เป็นจริง เช่น

  • สื่อสารข้อจำกัดในการบริการลูกค้าอย่างชัดเจน เช่น “การสนับสนุนอาจช้าลงในช่วงเวลาที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก”
  • แทนที่จะพูดว่า “บริการลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง” อาจพูดว่า “มีทีมงานคอยให้บริการช่วยเหลือในช่วงเวลาทำการ” หรือ “เราพยายามตอบกลับภายใน 24 ชั่วโมง”
Hostinger_Example_Guarantee

Image Source: https://www.shoutmeloud.com/custom-google-analytics-dashboards.html


7. การสัญญาเกินจริงด้านจริยธรรม (Ethical Overpromising)

แบรนด์อ้างอย่างผิดๆว่าตนมีความเป็นธรรม ให้ความสำคัญกับยั่งยืน หรือทำในสิ่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อดึงดูดผู้บริโภคที่ใส่ใจ แต่กลับไม่ใช่อย่างที่สื่อสารเอาไว้เลย เช่น

  • แบรนด์แฟชั่นทำการตลาดโดยอ้างว่า “ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน 100%” แต่การตรวจสอบกลับพบว่า มีสภาพการทำงานที่แย่ วัสดุที่ใช้ก็ทำลายสิ่งแวดล้อม และยังปล่อยคาร์บอนอยู่ตลอด
  • แบรนด์อาหารอ้างว่าใช้วัตถุดิบ “จากธรรมชาติทั้งหมด” แต่ยังคงมีสารกันบูดสังเคราะห์อยู่

วิธีหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิด Ethical Overpromising คือ หากใช้การอ้างสิทธิ์ด้านความยั่งยืน จะทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับการสนับสนุนจากข้อมูลที่ตรวจสอบได้ และการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรหลีกเลี่ยงวลีที่คลุมเครือ เช่น “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” โดยไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนจริงๆ

Example_of_100%_Recycle

Image Source: https://www.prattindustries.com/


ตัวอย่างแบรนด์ที่ Overpromising จนส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์

Volkswagen – “Clean Diesel”

ในช่วงปี 2015, Volkswagen โฆษณารถยนต์ดีเซลของตนว่าเป็น “Clean Diesel” ที่มีการปล่อยมลพิษต่ำ โดยโปรโมทว่าเป็นแบรนด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังได้รับรางวัลด้านสิ่งแวดล้อมอีกด้วย แต่ในความเป็นจริง Volkswagen ถูกจับได้ว่า ใช้ซอฟต์แวร์โกงการทดสอบการปล่อยมลพิษ และรถยนต์นั้นปล่อยมลพิษสูงกว่าขีดจำกัดทางกฎหมายถึง 40 เท่า และถูกจำหน่ายไปกว่า 11 ล้านคันทั่วโลก ส่งผลให้บริษัทต้องจ่ายค่าปรับนับแสนล้านเหรียญ และขาดทุนมากกว่า 85,000 ล้านเหรียญ จากกรณีนี้จะเห็นว่า หากมีการกล่าวอ้างทางเทคนิคก็จะต้องสามารถตรวจสอบได้ และได้รับการสนับสนุนจากการทดสอบของบุคคลที่สามอย่างแท้จริง

Volkswagen-Group-Chairman

Image Source: https://www.latimes.com/business/autos/la-fi-hy-volkswagen-qa-html-20151007-htmlstory.html

PepsiCo’s Naked Juice – “All Natural”

ในช่วงปี 2013, PepsiCo ทำการตลาดด้วยการเปิดตัว Naked Juice กับส่วนผสมแบบ “ธรรมชาติ 100%” และ “ไม่ดัดแปลงพันธุกรรม (Non-GMO)” แต่ในความเป็นจริงกลับมีส่วนผสมสังเคราะห์และ GMOs ซึ่งนำไปสู่การตกลงจ่ายค่าเสียหาย 9 ล้านดอลลาร์สำหรับการหลอกลวงผู้บริโภค บทเรียนที่เกิดขึ้น คือ การออกแบบฉลากที่มีคำว่า “ธรรมชาติ” และ “ออร์แกนิก” ต้องมีความโปร่งใสและการปฏิบัติตามมาตรฐานข้อกำหนด

PepsiCo_Naked_Juice_2013

Image Source: https://www.historyoasis.com/post/naked-juice

Skechers – Shape-Ups “Weight Loss”

ในปี 2012, Skechers อ้างว่ารองเท้ารุ่น Shape-Ups สามารถ “ช่วยให้คุณลดน้ำหนักและกระชับสัดส่วนได้” แค่เพียงแค่สวมใส่เท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ สนับสนุนข้อกล่าวอ้างเหล่านี้ และสำนักงานคณะกรรมการการค้าแห่งสหรัฐอเมริกา (FTC) ได้ปรับ Skechers เป็นเงิน 40 ล้านเหรียญ ในข้อหาโฆษณาอันเป็นเท็จ บทเรียนที่เกิดขึ้นก็คือ การกล่าวอ้างที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ จะต้องได้รับการสนับสนุนและหลักฐานทางการแพทย์เสมอ

Skecher_Shape_Ups_Ads

Image Source: https://www.seattlepi.com/local/article/Skechers-to-pay-45-million-over-alleged-3563138.php

What's next?

วิธีหลีกเลี่ยงการให้คำมั่นสัญญาเกินจริง (กลยุทธ์เชิงปฏิบัติสำหรับแบรนด์)

การให้คำมั่นสัญญาเกินจริง (Overpromising) สามารถทำลายชื่อเสียงของแบรนด์ (Brand Reputation) ทำให้ความไว้วางใจของลูกค้าลดลง และนำไปสู่คำบอกเล่าเชิงลบ กุญแจสู่ความสำเร็จในระยะยาว คือ การจัดการความคาดหวังในขณะที่ยังคงมอบมูลค่าที่แข็งแกร่ง นี่คือ วิธีที่แบรนด์สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องการให้คำมั่นสัญญาเกินจริง (Overpromising) ในขณะที่ยังคงรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยมีกลยุทธ์เชิงปฏิบัติ ดังนี้

1. ตั้งความคาดหวังที่สมจริงตั้งแต่เริ่มต้น

  • ซื่อสัตย์ในการตลาดและการโฆษณา
    ตรวจสอบให้แน่ใจว่ารายละเอียดผลิตภัณฑ์ โฆษณา และโปรโมชั่น สะท้อนสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับอย่างถูกต้อง โดยหลีกเลี่ยงการกล่าวอ้างที่เกินจริง เช่น “เห็นผลทันที” เว้นแต่จะสามารถทำได้จริง
  • ใช้ภาษาที่ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง
    หลีกเลี่ยงคำสัญญาที่คลุมเครือ เช่น “บริการดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา” และให้คำมั่นสัญญาที่วัดผลได้ เช่น “ระยะเวลาตอบสนองการสนับสนุนลูกค้าภายใน 24 ชั่วโมง”
  • แสดงผลลัพธ์ที่เป็นจริง
    ใช้คำรับรองจากลูกค้าจริง (Testimonials) และกรณีศึกษา (Case Study) แทนที่จะเป็นเรื่องราวความสำเร็จที่ถูกขัดเกลาจนเกินจริง ซึ่งอาจสร้างให้เกิดความคาดหวังที่ไม่สมจริงได้

2. ปรับให้คำสัญญาในการขาย ให้สอดคล้องกับความสามารถในการส่งมอบ

  • ให้ความรู้แก่ทีมขายของคุณ
    ฝึกอบรมตัวแทนขายให้สื่อสารข้อจำกัดของผลิตภัณฑ์ รวมถึงประโยชน์ การสื่อสารด้านการขายที่ไม่สอดคล้องกัน เป็นสาเหตุสำคัญของการให้คำสัญญาเกินจริง
  • หลีกเลี่ยงการตอบตกลงทุกอย่าง
    การให้คำมั่นสัญญาที่น้อยกว่าความเป็นจริง แล้วทำให้เกินความคาดหวัง นั้นดีกว่าการสัญญาเกินจริงแล้วทำไม่ได้ ดังนั้น หากบางสิ่งนั้นเป็นไปไม่ได้ก็ให้พูดตามตรง
  • กำหนดขอบเขตที่ชัดเจน
    หากผลิตภัณฑ์หรือบริการมีข้อจำกัด เช่น “การจัดส่งอาจใช้เวลาสูงสุด 10 วัน” โดยให้ระบุวันอย่างชัดเจน แทนที่จะสัญญาเวลาในการจัดส่งที่ไม่สมจริง

3. ส่งมอบตามคำสัญญาอย่างสม่ำเสมอ

  • ตรวจสอบประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
    ทำงานร่วมกับทีมโลจิสติกส์ การผลิต และบริการลูกค้า เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่สัญญาเอาไว้ สามารถส่งมอบได้อย่างสม่ำเสมอ
  • ทดสอบก่อนเปิดตัวผลิตภัณฑ์
    หากคุณกำลังเปิดตัวสินค้าหรือบริการใหม่ๆ ให้ทดสอบภายในองค์กรก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามความคาดหวัง ก่อนที่จะให้คำมั่นสัญญากับลูกค้า
  • ติดตามและปรับปรุง
    ติดตามเวลาในการดำเนินการ ความพึงพอใจของลูกค้า และประสิทธิภาพการบริการ เพื่อให้มั่นใจว่าคำสัญญานั้นจะยังคงเป็นจริงอยู่เสมอ

4. แสดงความโปร่งใสเมื่อเกิดข้อผิดพลาด

  • ยอมรับความผิดพลาด
    หากไม่สามารถรักษาสัญญาได้ ให้สื่อสารกับลูกค้าในเชิงรุก แทนที่จะรอให้พวกเขาร้องเรียน
  • เสนอทางเลือก
    หากเกิดความล่าช้าหรือปัญหาขึ้นให้เสนอวิธีแก้ไข เช่น ส่วนลด การคืนเงิน หรือบริการเร่งด่วน เพื่อรักษาความไว้วางใจ
  • เรียนรู้จากข้อเสนอแนะ
    ใช้ข้อร้องเรียนและความคิดเห็นของลูกค้า เพื่อปรับปรุงตามความเหมาะสม

5. ให้ความสำคัญกับความไว้วางใจระยะยาว มากกว่าผลกำไรระยะสั้น

  • สัญญาน้อยๆแต่ส่งมอบเยอะๆ
    แทนที่จะกล่าวอ้างที่โอ้อวดเยอะแยะมากมาย ให้สัญญาแบบน้อยๆพอประมาณ แต่ทำได้เกินคาดกว่าที่บอกเอาไว้
  • มุ่งเน้นที่ความแท้จริง
    ลูกค้าชื่นชอบความซื่อสัตย์มากกว่าการโฆษณาเกินจริง แบรนด์ที่สื่อสารด้วยความโปร่งใส จะสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งได้มากกว่า
  • สร้างชื่อเสียงในด้านความน่าเชื่อถือ
    แบรนด์ที่ขึ้นชื่อว่ารักษาสัญญาจะได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง และความภักดีของลูกค้าในระยะยาว

การหลีกเลี่ยงการให้คำมั่นสัญญาเกินจริง (Overpromising) ไม่ได้หมายถึง การขายให้น้อยลงแต่เป็นการตั้งความคาดหวังที่เป็นจริง และส่งมอบตามนั้นอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการเปิดเผยข้อมูล ฝึกอบรมทีมงานอย่างเหมาะสม และให้ความสำคัญกับความไว้วางใจของลูกค้า ก็จะทำให้แบรนด์ต่างๆสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง และรักษาชื่อเสียงที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง


การให้คำมั่นสัญญาเกินจริง (Overpromising) อาจสร้างให้ผลกำไรในระยะสั้น แต่ต้นทุนระยะยาวนั้นมีมากกว่าผลประโยชน์เป็นอย่างมาก แบรนด์ที่ส่งมอบตามสัญญาได้อย่างสม่ำเสมอ จะสร้างความไว้วางใจ ความภักดี และชื่อเสียงที่แข็งแกร่ง ซึ่งสามารถยืนหยัดต่อสู้กับความท้าทายของตลาดได้ และต้องจำไว้ว่า “การกล่าวอ้างที่กล้าหาญที่สุด คือ การพูดถึงสิ่งที่คุณสามารถทำได้จริง” นั่นเอง

Share to friends


Related Posts

พลังของ Brand Promise กับการสร้างความประทับใจให้ลูกค้า

ในโลกธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน แบรนด์จำเป็นต้องทำมากกว่าการขายสินค้าและบริการ พวกเขาต้องสร้างความไว้วางใจ (Trust) สร้างความภักดี (Loyalty) และมอบประสบการณ์ (Experience) ที่สอดคล้องกันกับคำมั่นสัญญาของแบรนด์ (Brand Promise) ซึ่งเป็นสิ่งที่แบรนด์ให้ไว้กับลูกค้า ที่กำหนดความคาดหวังและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของพวกเขา คำมั่นสัญญานี้เป็นมากกว่าคำขวัญหรือสโลแกน แต่เป็นหัวใจสำคัญของสิ่งที่ธุรกิจเป็นอยู่ และประสบการณ์ที่พวกเขาส่งมอบให้กับลูกค้า


30 สัญญาณอันตรายที่ผู้บริโภคเริ่มเกลียดแบรนด์ของคุณ

การแสดงออกซึ่งการกระทำนั้นมักจะชัดเจนและดูจริงใจกว่าคำพูดอยู่เสมอ โดยเรามักจะสัมผัสได้จากความรู้สึกที่ได้สัมผัสกับแบรนด์ หากแบรนด์ทำสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นกับทั้งตัวของแบรนด์เองและตัวของผู้บริโภคก็จะได้รับความรักและการสนับสนุนไปตลอดทาง แต่หากแบรนด์ทำสิ่งที่แย่ๆผลลัพธ์ที่ได้จะออกมากลับกันอย่างสุดขั้ว



copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์