Lady_Holding_a_Big_Bag_to_Work

ในโลกของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน กำลังมีปรากฏการณ์หนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสินค้าแฟชั่น (Fashion) ความงาม (Beauty) และไลฟ์สไตล์ (Lifestyle) ซึ่งนั่นคือ Dupe Culture หรือ “วัฒนธรรมสินค้าเลียนแบบ” โดยจากสิ่งที่เคยเป็นเพียงของปลอม (Counterfiet) หรือของก๊อปปี้ (Copycat) แบบเงียบๆ ได้ถูกพัฒนามาเป็นวัฒนธรรมกระแสหลัก (Mainstream Culture) ที่ผู้บริโภคภาคภูมิใจที่จะค้นหา (โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z) มีการแบ่งปัน และให้ความสำคัญกับทางเลือกใหม่ๆ ในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าสินค้าแบรนด์ราคาแพง

Dupe Culture ที่เกิดขึ้นถือว่าส่งผลกระทบอย่างมากต่อสินค้าแบรนด์เนม แต่หากมองว่าเป็นโอกาสก็อาจเป็นการเปิดตลาดใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่ม Gen Z ได้โดยเฉพาะครับ เรามาเรียนรู้กับคำว่า Dupe Culture กันในบทความนี้ไปพร้อมๆกันครับว่ามันคืออะไร ส่งผลกระทบอย่างไร และแบรนด์จะปรับตัวอย่างไร

Dupe Culture คืออะไร

คำว่า “Dupe” เป็นคำย่อของคำว่า “Duplicate” หรือ “สินค้าที่ทำซ้ำ” ซึ่งหมายถึงสินค้าที่เลียนแบบรูปลักษณ์ ฟังก์ชันการใช้งาน หรือสไตล์ของสินค้าแบรนด์ระดับพรีเมียม (Premium Brands) โดยไม่ได้เป็นของปลอม (Counterfiets) ที่ลอกเลียนแบบอย่างชัดเจน ซึ่งแตกต่างจากของปลอมผิดกฎหมาย (Illegal Fakes) ที่ละเมิดเครื่องหมายการค้า (Trademarks) และโลโก้สินค้า (Logos) ดังนั้น Dupes จึงถูกวางตำแหน่งให้เป็นทางเลือกที่ได้รับแรงบันดาลใจ (Inspiration) มากกว่าการปลอมแปลงโดยตรง

Dupe Culture คือ พฤติกรรมโดยรวมของผู้บริโภค ที่กระตือรือร้นในการค้นหา แนะนำ และทำให้ทางเลือกเหล่านี้กลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งมักทำผ่าน #Hashtag บนโซเชียลมีเดีย เช่น #dupe หรือ #dupefinds โดยวัฒนธรรมนี้ไม่ได้หลีกหนีจากการเลียนแบบ แต่กลับเฉลิมฉลองให้กับการทดแทนที่ชาญฉลาด และความตื่นเต้นที่ได้ประหยัดเงิน Dupe Culture นั้นเติบโตไปทั่วโลก แต่จะเห็นได้ชัดเจนเป็นพิเศษ ก็คือ บนแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่าง

  • Social Media Platforms
    แพลตฟอร์มอย่าง TikTok, Instagram และ YouTube ถือเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของการรีวิวสินค้าเลียนแบบ การเปรียบเทียบแบบเห็นผล และวิดีโอแบบ “Dupe Hauls” หรือ “การเหมาซื้อสินค้าเลียนแบบ” ที่กลายเป็นไวรัล
  • E-Commerce Platforms
    แหล่งซื้อขายออนไลน์อย่าง Amazon, Shopee หรือ AliExpress เต็มไปด้วยสินค้าเลียนแบบ ที่ถูกนำเสนอด้วยการใช้คำโฆษณาที่ชาญฉลาดและยึดอัลกอริทึมเป็นหลัก
  • Retail Spaces
    ร้านค้าแฟชั่นแบบ Fast Fashion และร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ความงาม มักจะเปิดตัวสินค้าที่ได้รับแรงบันดาลใจจากดีไซน์หรูหรา ซึ่งเป็นการเติมเชื้อเพลิงให้กับระบบนิเวศของสินค้าเลียนแบบ (Dupe Ecosystem) โดยตรง
Woman_Wearing_High_Heels

กลไกของ Dupe Culture จึงเป็นการผสมผสานระหว่างจิตวิทยาของผู้บริโภค การแบ่งปันบนโลกดิจิทัล และการแข่งขันในตลาด โดยปรากฏการณ์นี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในวงการแฟชั่นหรูหราเท่านั้น แต่ตอนนี้ยังขยายไปถึงผลิตภัณฑ์ความงามอื่นๆอีกด้วย และเหตุผลที่เกิด Dupe Culture นั้นก็คือ

  • การสร้างแบรนด์ที่สร้างแรงบันดาลใจ (Aspirational Branding)
    แบรนด์หรูสร้างความต้องการผ่านความเป็นมรดก (Heritage) ความหายาก (Scarcity) และการเล่าเรื่องราว (Storytelling) ความแตกต่างที่สร้างแรงบันดาลใจนี้เอง ที่ก่อให้เกิดความต้องการสินค้าทางเลือกที่เข้าถึงได้
  • แฟชั่นแบบฉับไว (Fast Fashion) และความงามฉับไว (Fast Beauty)
    วงจรการพัฒนาสินค้าที่รวดเร็วทำให้ผู้ค้าปลีก สามารถลอกเลียนแบบดีไซน์ที่เป็นกระแส (Trending Designs) ได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งช่วยผลักดันให้เข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้น
  • การขยายช่องทางดิจิทัล (Digital Amplification)
    บรรดา Influencer และผู้ใช้งานทั่วๆไป ทำให้สินค้าเลียนแบบกลายเป็นเรื่องปกติ โดยมักจะนำเสนอว่าเป็น “การใช้เงินอย่างฉลาด” แทนที่จะเป็น “ของก๊อปราคาถูก”
  • ความอ่อนไหวต่อราคา (Price Sensitivity)
    โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซาหรือมีภาวะเงินเฟ้อ ผู้บริโภคจะหันไปหาสินค้าทดแทนที่ราคาไม่แพง โดยที่ยังคงต้องการรักษาสไตล์ต่างๆเอาไว้ได้
  • การซื้อขายผ่านอัลกอริทึม (Algorithmic Shopping)
    แพลตฟอร์มต่างๆแนะนำสินค้าเวอร์ชันที่ถูกกว่า ให้กับผู้บริโภคที่กำลังมองหาสินค้าหรูหรา ซึ่งเป็นการตอกย้ำการค้นพบสินค้าเลียนแบบให้บ่อยขึ้น โดยระบบจะเรียนรู้ความสนใจของคุณว่า “ผู้ใช้รายนี้น่าจะสนใจกระเป๋าดีไซเนอร์” และเนื่องจากอัลกอริทึมมีเป้าหมาย ที่จะนำเสนอสิ่งที่เกี่ยวข้องและมีแนวโน้มที่คุณจะซื้อ อัลกอริทึมจึงอาจเริ่มแนะนำสินค้า Dupe ที่มีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกันแต่ราคาถูกกว่ามาก มาแสดงให้คุณเห็นควบคู่ไปด้วย

กลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจาก Dupe Culture

Dupe Culture ส่งผลกระทบต่อกลุ่มเป้าหมายและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายกลุ่ม ดังนี้

1. ผู้บริโภค (ส่วนใหญ่เป็น Gen Z และ Millennials)

ด้วยต้องการความคุ้มค่า พวกเขามองหาสินค้าที่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป แต่ยังคงต้องการรูปลักษณ์และความรู้สึกเหมือนกับสินค้าหรูหรา และการค้นพบสินค้าเลียนแบบ (Dupe) ก็ถือเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งในกลุ่มเพื่อนฝูง เพราะพวกเขาสามารถแบ่งปัน “เคล็ดลับ” การประหยัดเงินได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ หรือสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย สินค้า Dupe ทำให้สไตล์ที่เคยจำกัดอยู่เฉพาะคนรวย สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับทุกๆคน

A_Girl_in_Pink_Sweater_Taking_Selfie

2. แบรนด์หรูและแบรนด์ดั้งเดิม

เมื่อสินค้า Dupe กลายเป็นเรื่องปกติมากเกินไป ความพิเศษและความรู้สึกหายากของแบรนด์หรูก็จะลดลง แบรนด์อาจสูญเสียพลังในการดึงดูดผู้คนให้ใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของสินค้า เนื่องจากมีทางเลือกที่ดูคล้ายกันในราคาที่ถูกกว่า

3. ผู้ค้าปลีกและแบรนด์ทั่วไป

กลุ่มนี้ก็ยังได้ประโยชน์จากการปรับตัวเข้ากับกระแสอย่างรวดเร็ว ด้วยการนำเสนอสินค้าทางเลือกที่เข้าถึงได้ง่าย แต่ด้วยความเสี่ยงต่อการถูกมองว่าเป็น “นักก๊อปปี้” หากการเลียนแบบกลบความโดดเด่นของสินค้าต้นฉบับไป พวกเขาก็อาจถูกตราหน้าว่าเป็นเพียง “นักก๊อปปี้” ที่ขาดความคิดสร้างสรรค์ได้

Dupe Culture เติบโตได้ดีเพราะอยู่ตรงกลาง ระหว่างความต้องการสินค้าหรูหรา “ที่ใฝ่ฝันอยากได้” กับ “ความสามารถในการเข้าถึง” สินค้าเหล่านั้นในราคาที่จับต้องได้ และมีเหตุผลการเติบโตที่อยู่เบื้องหลัง ดังนี้

  • การเปลี่ยนแปลงทางจริยธรรม
    ผู้บริโภคบางคนมองว่าสินค้า Dupe เป็นจุดยืนในการต่อต้านชนชั้นสูง โดยเป็นการปฏิเสธราคาที่สูงเกินจริงของแบรนด์
  • มีสถานะทางสังคมโดยไม่ต้องจ่ายแพง
    ผู้คนยังคงต้องการส่งสัญญาณของความหรูหรา แต่เลือกที่จะไม่จ่ายในราคาระดับพรีเมียม
  • การยอมรับจากสังคมออนไลน์
    ชุมชนออนไลน์ชื่นชมและยกย่องการค้นหาสินค้า Dupe โดยการโพสต์รูปกระเป๋าถือราคา 20 ดอลลาร์ ที่ดูเหมือนราคา 2,000 ดอลลาร์ ก็จะได้รับยอดไลค์ ยอดแชร์ และความนับถือมากขึ้น
  • ความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ
    จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้การซื้อสินค้าหรูหราฟุ่มเฟือย ถูกแทนที่ด้วยทางเลือกที่ชาญฉลาดกว่า
Woman_with_handbag_against_window

ตารางเปรียบเทียบระหว่าง “สินค้าเลียนแบบ” (Dupes) กับ “แบรนด์ต้นฉบับ” (Original Brands)

ประเด็น

สินค้าเลียนแบบ

(Dupes)

แบรนด์ต้นฉบับ

(Original Brands)

ราคา (Price)

ราคาไม่แพง ส่วนใหญ่เป็นเพียงเศษเสี้ยวของราคาต้นฉบับ

ราคาระดับพรีเมียม เนื่องจากมูลค่าของแบรนด์

ดีไซน์และความสวยงาม

(Design & Aesthetic)

เลียนแบบรูปลักษณ์ สไตล์ หรือความรู้สึกของต้นฉบับ

มีความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และเป็นผู้นำเทรนด์

คุณภาพ (Quality)

คุณภาพหลากหลาย มักใช้วัสดุที่ราคาถูกกว่า

คุณภาพสูงสม่ำเสมอ มีความประณีต และทนทาน

การใช้งาน (Functionality)

ทำงานคล้ายคลึงกันในบางกรณี แต่ส่วนใหญ่ขาดประสิทธิภาพในระยะยาว

ออกแบบมาเพื่อประสิทธิภาพที่เหนือกว่า และใช้งานได้ยาวนาน

เรื่องราวและมรดกของแบรนด์

(Brand Story & Heritage)

มักจะไม่มีเรื่องราว โดยเน้นที่ราคาที่เข้าถึงได้ง่าย

มีเรื่องราวที่แข็งแกร่ง มีความผูกพันทางวัฒนธรรมหรืออารมณ์

ความพิเศษ (Exclusivity)

เข้าถึงได้ทุกคน เน้นตลาดทั่วๆไป

มีความพิเศษ สร้างแรงบันดาลใจ และมักมีจำนวนจำกัด

การรับรู้ของผู้บริโภค

(Consumer Perception)

ถูกมองว่าฉลาด ประหยัด และทันสมัย โดยเฉพาะคน Gen Z และ Millennials

ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของสถานะทางสังคม ความน่าเชื่อถือ และไลฟ์สไตล์

คุณค่าทางอารมณ์

(Emotional Value)

ได้รับความพึงพอใจในทางปฏิบัติ

และการยอมรับจากเพื่อนๆ

มีความผูกพันทางอารมณ์อย่างลึกซึ้ง และความภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าของ

การเข้าถึงตลาด

(Marketing Approach)

พึ่งพิงกระแสไวรัลบนโซเชียลมีเดีย การบอกต่อของ Influencer

และแบบปากต่อปาก

การสร้างแบรนด์เชิงกลยุทธ์ แคมเปญที่อิงมรดกทางวัฒนธรรม และการร่วมงานกับแบรนด์หรู

ความยั่งยืนและอายุการใช้งาน

(Sustainability & Longevity)

อาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ทำให้อายุการใช้งานสั้นกว่า

ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น โดยสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งานได้ยาวนาน

ในการเปรียบเทียบระหว่างสินค้าเลียนแบบ (Dupes) กับแบรนด์ต้นฉบับ (Original Brands) สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน คือ การรับรู้คุณค่า (Value Perception) และประสบการณ์ของผู้บริโภค (Consumer Experience) สินค้าเลียนแบบเติบโตได้ด้วยราคาที่เข้าถึงได้และหาซื้อได้ง่าย ทำให้ผู้บริโภคสามารถเพลิดเพลินกับรูปลักษณ์ และกระแสของสินค้าหรูหราโดยไม่ต้องจ่ายในราคาที่สูงเกินจริง พวกเขาพึ่งพาการตลาดแบบไวรัลบนโซเชียลมีเดียอย่างมาก การแนะนำจากเพื่อน และวัฒนธรรม “การช้อปปิ้งอย่างฉลาด” ซึ่งได้รับความนิยมเป็นพิเศษในหมู่คน Gen Z และ Millennials แต่อย่างไรก็ตาม สินค้าเลียนแบบมักจะแลกมาด้วยคุณภาพ ความทนทาน และความยั่งยืนที่ลดลง โดยให้ความพึงพอใจในระยะสั้นแต่มีคุณค่าในระยะยาวที่จำกัด

ในทางกลับกัน แบรนด์ต้นฉบับ (Original Brands) ให้ความสำคัญกับมรดกทางวัฒนธรรม (Heritage) ฝีมือช่าง (Craftsmanship) และการเล่าเรื่อง (Storytelling) ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สร้างมูลค่าทางอารมณ์ ที่สินค้าเลียนแบบไม่สามารถทำซ้ำได้ การเป็นเจ้าของสินค้าแบรนด์ต้นฉบับ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของฟังก์ชันการใช้งานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ที่ใฝ่ฝัน เป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะ (Status Symbols) ที่สะท้อนถึงเกียรติยศ (Prestige) และความพิเศษเฉพาะตัว (Exclusivity) ในขณะที่สินค้าเลียนแบบ (Dupes) ทำให้สไตล์ดูเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แบรนด์ต้นฉบับยังคงรักษาความเกี่ยวข้องของตนไว้ ด้วยการปกป้องภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Image) Link และออร่าของแบรนด์ (Brand Aura) Link ผ่านความพิเศษ (Exclusivity) จำนวนจำกัด (Limited) และคุณภาพที่สม่ำเสมอ (Quality)

Close-Up_Shot_of_Perfume_Bottle

ท้ายที่สุดแล้ว สินค้าเลียนแบบ (Dupes) จะมอบชัยชนะที่รวดเร็วให้กับผู้บริโภค ที่มองหาสไตล์หรูหราในราคาประหยัด ขณะที่แบรนด์ต้นฉบับ (Original Brands) มอบมูลค่าแบรนด์ในระยะยาว และความผูกพันทางอารมณ์ ความขัดแย้งระหว่างทั้ง 2 สิ่งนี้เอง จึงกลายเป็นตัวขับเคลื่อนปรากฏการณ์ Dupe Culture อย่างต่อเนื่อง

หลักการของสินค้าเลียนแบบ (Dupes) ที่ควรจะเป็น

1. ไม่มีการละเมิดเครื่องหมายการค้า

สินค้าเลียนแบบไม่สามารถลอกเลียนแบบหรือใช้โลโก้ (Logo) ชื่อแบรนด์ (Name) หรือสัญลักษณ์ (Symbol) ที่จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของแบรนด์ต้นฉบับได้ ตัวอย่างเช่น กระเป๋าถือที่ “ได้รับแรงบันดาลใจจาก Dior” นั้น “ไม่สามารถใช้โลโก้ Dior” หรือ “ลวดลายโมโนแกรมที่เหมือนกันได้”

2. ได้รับแรงบันดาลใจจาก Design ที่ไม่ใช่การลอกเลียนแบบ

สินค้าเลียนแบบมักจะเลียนแบบสไตล์ โทนสี หรือสุนทรียภาพโดยรวม แต่จะหลีกเลี่ยงการทำซ้ำที่เหมือนเป๊ะๆ โดยมุ่งเน้นที่จะให้ “ความรู้สึกที่คล้ายกัน” มากกว่าการผลิตซ้ำที่เหมือนกันทุกประการ

3. การวางตำแหน่งอย่างโปร่งใส

แบรนด์สินค้าเลียนแบบหลายแบรนด์ จะทำการตลาดอย่างเปิดเผยว่า “ได้รับแรงบันดาลใจจาก” แทนที่จะแสร้งทำเป็นว่าเป็นสินค้าต้นฉบับ ตัวอย่างเช่น แบรนด์น้ำหอมเลียนแบบอย่าง Dossier ที่ระบุชัดเจนว่าได้รับแรงบันดาลใจจาก Tom Ford หรือ Chanel โดยไม่ได้อ้างว่าเป็นแบรนด์เหล่านั้น

4. ความสามารถในการซื้อเป็นคุณค่าหลัก

วัตถุประสงค์ของสินค้าเลียนแบบ คือ การเข้าถึงได้ง่าย เพื่อเสนอทางเลือกที่ราคาไม่แพงให้กับผู้บริโภค ไม่ใช่เพื่อหลอกลวงให้พวกเขาคิดว่า ได้เป็นเจ้าของสินค้าหรูหราของแท้

5. ถูกกฎหมายแต่มีประเด็นด้านจริยธรรมที่ถกเถียงกันได้

สินค้าเลียนแบบสามารถดำเนินการได้อย่างถูกกฎหมาย เมื่อหลีกเลี่ยงเครื่องหมายการค้าและสิทธิบัตร แต่อย่างไรก็ตาม ประเด็นด้านจริยธรรมก็ยังจะเกิดขึ้น เกี่ยวกับการขโมยความคิดสร้างสรรค์และการทำให้คุณค่าของแบรนด์ลดลง

6. ผู้บริโภคตระหนักดีว่าเป็นของเลียนแบบ

ในวัฒนธรรมสินค้าเลียนแบบ (Dupe Culture) ผู้บริโภคมักจะรู้ว่ามันไม่ใช่ของแท้ โดยพวกเขามักจะภาคภูมิใจที่ได้พบ “ของที่ราคาถูกกว่า” และแบ่งปันอย่างภาคภูมิใจ

Woman_Choosing_A_Shoes_in_Shop

แบรนด์ต้นฉบับควรรับมือกับ Dupe Culture อย่างไร

ยิ่งนับวัน Dupe Culture ก็ยิ่งเติบโตและกำลังพัฒนาไปข้างหน้า แบรนด์ต้นฉบับ (Original Brands) จึงควรตอบสนองอย่างมีกลยุทธ์แทนที่จะเพิกเฉย ดังนี้

1. เน้นย้ำการเล่าเรื่องของแบรนด์

คุณค่าทางอารมณ์ (Emotional Value) นั้นลอกเลียนแบบได้ยากกว่าการออกแบบผลิตภัณฑ์ แบรนด์ต้องเน้นย้ำถึงมรดกทางวัฒนธรรม (Heritage) ฝีมือช่าง (Craftsmanshio) และความเกี่ยวข้องทางวัฒนธรรม (Cultural) เพื่อสร้างความผูกพันที่แข็งแกร่งกับลูกค้า

2. สร้างแบรนด์ย่อย / แบรนด์ลูกที่เข้าถึงได้ง่าย

แบรนด์หรูสามารถเปิดตัวแบรนด์ลูก หรือไลน์สินค้าที่มีราคาต่ำลง เช่น Armani Exchange หรือ Marc by Marc Jacobs หรือสินค้าขนาดเล็กที่ราคาจับต้องได้ เพื่อดึงดูดผู้บริโภคที่ใฝ่ฝันก่อนที่พวกเขาจะหันไปหาสินค้าเลียนแบบ

3. ใช้ประโยชน์จากความพิเศษเฉพาะตัว

การจำกัดจำนวนสินค้า (Limited) การออกคอลเลกชันพิเศษ (Limited Edition) และการร่วมมือกับแบรนด์อื่นๆ (Co-Branding) จะช่วยรักษาความน่าปรารถนาของสินค้าไว้ และทำให้แบรนด์มีความเสี่ยงต่อการถูกเลียนแบบน้อยลง

4. เน้นคุณภาพที่เหนือกว่า

แบรนด์ควรแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างด้านคุณภาพ เช่น วัสดุ ความทนทาน การบริการ และความยั่งยืน ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สินค้าเลียนแบบ ไม่สามารถทำซ้ำได้อย่างแท้จริง

5. ติดตามและปรับตัว

ท้ายที่สุด คือ การรับฟังเสียงในสังคมออนไลน์บนแพลตฟอร์มต่างๆอย่าง TikTok ก็สามารถช่วยให้แบรนด์เข้าใจว่า สินค้าใดที่ถูกเลียนแบบมากที่สุด ซึ่งจะทำให้แบรนด์สามารถสื่อสารเชิงรุก หรือปรับตัวเพื่อการแข่งขันได้

ตัวอย่างของแบรนด์กับ Dupe Culture

Walmart Birgin

ที่โด่งดังและเป็นกระแสที่สุด คือ “Wirgin” หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่า “Walmart Birkin” ซึ่งก็คือ กระเป๋าถือที่ขายในร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ของสหรัฐฯอย่าง Walmart รูปลักษณ์ที่เลียนแบบสไตล์ของ Birkin ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า หูหิ้วสองข้าง สายรัด และตัวล็อก แต่ใช้วัสดุที่ราคาถูกกว่า เช่น หนังเทียม (Faux Leather) และผลิตจำนวนมาก กระเป๋า “Wirgin” กลายเป็นไวรัลบน TikTok โดยผู้บริโภคหลายคนภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของ “Birkin สำหรับชนชั้นแรงงาน” (Birkin for the working class) ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถเข้าถึงรูปลักษณ์ที่ดูหรูหราได้ โดยไม่ต้องจ่ายเงินจำนวนมหาศาล

Walmarts_Wirkin_vs_Hermes_Birkin

Image Source: https://theenterpriseworld.com/walmarts-wirkin-bag/


Pillow Talk

แบรนด์ลิปสติกที่ชื่อ Pillow Talk ของ Charlotte Tilbury มีสินค้าเลียนแบบนับสิบชิ้น จากแบรนด์อย่าง Maybelline หรือ ELF ที่กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์

Pillow_Talk_by_Charlotte_Tilbury

Image Source: https://www.charlottetilbury.com/


Pouch Bag

แบรนด์กระเป๋า Pouch Bag ของ Bottega Veneta เป็นแรงบันดาลใจ ให้เกิดสินค้าเลียนแบบในวงการ Fast Fashion แบบนับไม่ถ้วนที่วางขายในร้าน Zara, Mango และ Shein

Pouch_Bag_by_Bottega_Veneta

Image Source: https://www.bottegaveneta.com/en-us/women/women-wallets/pouches


Dossier

แบรนด์น้ำหอมอย่าง Dossier เปิดตัวอย่างเปิดเผยว่าเป็นสินค้า “เลียนแบบ” สำหรับน้ำหอมของ Tom Ford, Dior และ Chanel

Dossier_Landing_Page

Image Source: https://dossier.eu/

  • Apple AirPods เป็นต้นแบบให้เกิดหูฟังราคาถูกมากมายที่เลียนแบบดีไซน์ แต่คุณภาพและประสิทธิภาพกลับห่างไกลจากต้นฉบับ
  • เฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์ อย่างเช่น เก้าอี้ Eames มีสินค้าทางเลือกในตลาดทั่วๆไป ที่ขายแบบเกลื่อนตามแพลตฟอร์ม E-Commerce ต่างๆ
  • กางเกงยีนส์ขาตรงสไตล์วินเทจของแบรนด์ดังอย่าง Levi’s หรือ Mother Denim มักถูกลอกเลียนแบบโดยแบรนด์ฟาสต์แฟชั่น เพื่อให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงสไตล์ยอดนิยมนี้ได้ในราคาถูกลง
  • รองเท้าแตะ Birkenstock ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ถูกทำเลียนแบบโดยหลายแบรนด์ เช่น Target หรือ Walmart โดยใช้วัสดุที่คล้ายกันแต่ราคาถูกกว่ามาก
  • แก้วน้ำเก็บอุณหภูมิของ Stanley ที่เป็นที่นิยมอย่างมากในสหรัฐฯ และก็มีสินค้าเลียนแบบจากหลายแบรนด์ ในแพลตฟอร์ม E-Commerce อย่าง Amazon หรือ Shein
  • ไฮไลท์เตอร์ของ Becca Cosmetics ที่เคยโด่งดังอย่างรุ่น Shimmering Skin Perfector มีสินค้าเลียนแบบมากมาย ที่ผลิตโดยแบรนด์ราคาประหยัด เช่น ColourPop ซึ่งให้ความแวววาวคล้ายกัน

โดยสรุปแล้ว Dupe Culture นั้นเป็นมากกว่าแค่การเลียนแบบราคาถูก แต่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคม (Social Phenomenon) ที่ได้รับการยกย่องเป็นอย่างมาก ซึ่งกำลังปรับเปลี่ยนคุณค่าของการสร้างแบรนด์ ความพิเศษเฉพาะตัว และการเข้าถึงของผู้บริโภค โดยสำหรับผู้บริโภคแล้ว สิ่งนี้ คือ การสร้างพลังอำนาจ ความสามารถในการซื้อ และการแบ่งปันเคล็ดลับ แต่สำหรับแบรนด์นั้น สิ่งนี้ คือ การปกป้องมรดกทางวัฒนธรรม การสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เข้าถึงได้ง่าย และการตอกย้ำความผูกพันทางอารมณ์ให้มากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง


Share to friends


Related Posts

อวสานของ Brand Loyalty? เมื่อความภักดีของลูกค้า ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) ถือเป็นเคล็ดลับแห่งความสำเร็จทางการตลาด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความไว้วางใจ ความผูกพันทางอารมณ์ และความสัมพันธ์อันยั่งยืนกับลูกค้า แบรนด์ต่างๆ เช่น Coca-Cola, Nike, Apple และ Toyota ได้สร้างอาณาจักรบนรากฐานของแฟนๆที่ภักดี


ปรากฎการณ์ Fake Rich ภาพลวงตาแห่งความมั่งคั่งกับ “ความรวยแบบปลอมๆ”

ในโลกที่ภาพลักษณ์ (Image) ครอบงำความเป็นจริง (Reality) มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “รวยแบบปลอมๆ” (Fake Rich) ที่ได้รับความนิยมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยคำๆนี้จะใช้อธิบายถึงบุคคลที่สร้างภาพลักษณ์ของความร่ำรวยมหาศาล ผ่านการใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนม การขับรถหรู การพักผ่อนในประเทศต่างๆ และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่หรูหรา แต่ในความเป็นจริงสถานะทางการเงินที่แท้จริงของพวกเขากลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ที่บ่อยครั้งชีวิตก็ขับเคลื่อนด้วยการสร้างเครดิต มีหนี้สิน หรือยืมของคนอื่นมา


ปรากฏการณ์ Overpricing กับ FOMO เมื่อผู้คนเห็นกระแสสำคัญกว่าราคา

ในยุคเศรษฐกิจปัจจุบันที่เกิดภาวะเงินเฟ้อและความไม่แน่นอน จนส่งผลกระทบเกือบทุกครัวเรือนไม่ว่าจะระดับใดก็ตาม ทำให้การซื้อขายสินค้านั้นอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องคิดให้รอบคอบมากกว่าเดิม แต่มันก็ยังมีสถานการณ์ที่ผู้บริโภคยอมจ่ายเงินแพงกว่าราคาจริงถึง 2, 3, 4 หรือแม้กระทั่งอาจถึง 10 เท่าเพื่อซื้อสินค้าบางอย่าง ซึ่งอาจดูเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย ที่เราเรียกว่า “ปรากฏการณ์การตั้งราคาสูงเกินไป” (Overpricing Phenomenon) ซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยแรงผลักดันทางจิตวิทยาของ “ความกลัวที่จะพลาดสิ่งดีๆ” หรือ Fear of Missing Out (FOMO)



triangle
copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์