
ในงานการออกแบบใดๆก็ตามจะประกอบไปด้วยพื้นฐานที่มาจากรูปทรงเรขาคณิตอยู่เสมอ และแต่ละรูปทรงนั้นก็มีผลในเชิงจิตวิทยาที่ใช้กับการออกแบบซึ่งมีความหมายอันลึกซึ้งซ่อนอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการออกแบบอัตลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Identity) เช่น โลโก้ของแบรนด์ การวางเลย์เอาท์ และองค์ประกอบอื่นๆที่ต้องนำรูปทรงต่างๆเข้ามาปรับใช้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่นักออกแบบจะใช้รูปทรง (Shapes) มาประกอบในการทำกรอบแนวความคิด การสร้างสัญลักษณ์ของบางสิ่ง การสื่อสารอารมณ์ งานออกแบบ การเชื่อมโยงคอนเทนต์กับรูปภาพ การออกแบบเส้นสายเพื่อนำสายตา หรือการทำให้เห็นความเคลื่อนไหวบางอย่าง
การเข้าใจในความหมายของรูปทรง (Shapes) จึงเป็นพื่นฐานสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับการออกแบบ ซึ่งไม่ใช่การออกแบบโลโก้แค่เพียงเท่านั้นครับแต่มันยังสามารถนำไปปรับใช้กับการออกแบบสำหรับหลายๆสิ่ง และในบทความนี้ผมจะพาผู้อ่านมารู้จักความหมายของรูปทรง (Shapes) สำหรับการออกแบบ ที่จะช่วยให้คุณเปิดไอเดียสร้างสรรค์และออกแบบสิ่งต่างๆให้มีความหมายมากยิ่งขึ้นครับ
การจัดกลุ่มรูปทรง (Shapes)
รูปทรงนั้นถูกจัดออกได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

กลุ่ม Geometric shapes
กลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่ใครๆก็ตามต้องนึกถึงเป็นอันดับแรก เพราะมันคือรูปทรงเรขาคณิตที่เราคุ้นเคยกันตั้งแต่เด็กๆนั่นเอง ที่ประกอบไปด้วยทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส (Square) ทรงสามเหลี่ยม (Triangle) ทรงกลม (Circle) ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า (Rectangle) ทรงไข่ (Oval) รวมไปถึงทรงเพชร (Diamond) โดยกลุ่มนี้จะเป็นการลากเส้นตรงมีการทำมุมองศาต่างๆ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการจัดโครงสร้าง การจัดระเบียบ หากรูปทรงไหนมีส่วนโค้งมากก็จะดูนุ่มนวลที่แสดงออกถึงความเชื่อมโยงและความเป็นกลุ่มชุมชน
กลุ่ม Natural / Organic shapes
กลุ่มที่เป็นรูปทรงอิสระตามธรรมชาติมีรูปทรงรูปร่างและความโค้งไม่สม่ำเสมอกัน เสมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ รูปร่างหรือรูปทรงเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะช่วยปลอบโยจยิตใจและดูเข้าถึงได้ง่าย เป็นตัวแทนของรูปร่างของหิน เมฆ ใบไม้ ดอกไม้ หรือการที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยองค์ประกอบต่างๆ เช่น หยดสีหรือการวาดภาพอิสระที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
กลุ่ม Abstract shapes
รูปร่างรูปทรงที่เป็นนามธรรมซึ่งเป็นรูปที่ถูกสร้างขึ้นมาไม่ได้ยึดโยงกับความเป็นจริง โดยจะเป็นการละทิ้งรูปทรงต่างๆด้วยการตัดทอนหรือลดรูปทรงนั้นๆจนหมดสิ้น หรืออาจจะเป็นการสร้างรูปทรงขึ้นมาใหม่ตามความรู้สึกของคนออกแบบเอง ด้วยการวางโครงสีใหม่และเรื่องราวใหม่ เช่น รูปร่างมนุษย์ ไอคอน รวมไปถึงสัญลักษณ์ต่างๆ
ทีนี้เรามาดูความหมายของแต่ะรูปทรงหลักๆกันครับ

ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส (Square) / ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า (Rectangle)

รูปทรงที่แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงโดยส่วนใหญ่จะถูกนำมาเป็นส่วนประกอบของการออกแบบโลโก้ ซึ่งค่อนข้างเป็นที่นิยมมากเพราะมันหมายถึงความเชื่อมั่น ความซื่อสัตย์ ความน่าเชื่อถือ ความแข็งแกร่ง เพราะด้วยความที่รูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส (Square) / ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า (Rectangle) นั้นมีเส้นตรงที่สามารถสร้างสมดุลได้อย่างพอดี สะท้อนความเป็นเหตุเป็นผล ใช้งานได้จริง มีความสอดคล้องกัน แต่อาจมองดูแล้วน่าเบื่อเพราะดูแข็งๆตามรูปทรง ส่วนใหญ่นักออกแบบจะนำมาปรับใช้ให้ดูน่าสนใจมากขึ้น เช่น การปรับให้โค้งมน หรือบิดเอียงองศาให้มีมิติมากขึ้น ตัวอย่างแบรนด์ที่มีรูปทรงโลโก้ในลักษณะนี้ เช่น Instagram, Microsoft, YouTube, Domino’s Pizza
ทรงสามเหลี่ยม (Triangle)

สามเหลี่ยมนับเป็นรูปทรงที่ค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียวครับ เพราะมันสะท้อนออกมาได้หลายมุมมองที่แตกต่างกัน โดยแต่ละด้านของสามเหลี่ยมนั้นสามารถปรับให้ด้านใดด้านหนึ่งยาวกว่าหรือสั้นกว่าได้ ความหมายของสามเหลี่ยมนั้นหมายถึงพลังที่เชื่อมโยงไปถึงการกำหนดทิศทาง ความก้าวหน้า เป้าหมาย หากเปรียบกับบุคลิกภาพของแบรนด์ (Brand Personality) จะมีลักษณะของความเป็นผู้นำ (Ruler) ฮีโร่ (Hero) นักสำรวจ (Explorer) ส่งผลถึงอารมณ์ของการกระทำบางอย่าง และอาจสะท้อนถึงความตึงเครียดได้ และยังอาจแสดงถึงความจริงจังหรือความดุดันก็ได้เช่นกัน เช่น สัญลักษณ์ป้ายคำเตือน นอกจากนั้นยังเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความแข็งแกร่งและความขัดแย้งได้อีกด้วย
เราจะเห็นรูปทรงสามเหลี่ยมที่มีความเชื่อมโยงกับศาสนา ความเชื่อ วิทยาศาสตร์ การทดลอง ความยุติธรรม และสัญลักษณ์ของสิ่งต่างๆ เช่น ปิรามิด ป้ายเตือน สัญลักษณ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และสำหรับโลโก้ของแบรนด์ที่มีการออกแบบด้วยรูปทรงสามเหลี่ยม ก็อย่างเช่น Adidas, Adobe, Google Deive, Qantas, CAT, Doritos
ทรงกลมและทรงไข่ (Circles and Ovals)

รูปทรงกลมสะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์เชิงบวก ความสามัคคี และการปกป้อง รูปทรงกลมส่วนใหญ่จะใช้กับโลโก้ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียว คำมั่นสัญญญา ความรัก หรือความเป็นชุมชน ความโค้งมนของรูปทรงเชื่อมโยงไปถึงความอ่อนโยนของเพศหญิงแลดูเป็นธรรมชาติ ส่วนเส้นในรูปทรงก็เปรียบเสมือนความแข็งแกร่งของเพศชาย
ด้วยรูปทรงกลมนั้นไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดจึงแสดงให้เห็นถึงความเป็นชีวิต (Life) และวงจรชีวิต (Lifecycle) ทั้งรูปทรงกลมและรูปไข่นั้นเปรียบเสมือนธรรมชาติอย่างพระอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก โดยจะไม่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับผลไม้หรือดอกไม้แต่อย่างใด ทรงกลมจึงเปรียบเสมือนการเคลื่อนที่อย่างอิสระ เช่น ลูกบอล ล้อรถ กงล้อ ที่เป็นการขับเคลื่อนแบบทรงพลังไปสู่จุดหมายให้สำเร็จ และยังเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์และความสมบูรณ์แบบได้อีกด้วย หากเปรียบกับบุคลิกภาพของแบรนด์ (Brand Personality) จะเปรียบได้กับความไร้เดียงสา (Innocent) ความห่วงใย (Caregiver) และการเข้ากันได้กับทุกคน (Everyman) นอกจากนี้ในบางวัฒนธรรมยังหมายถึงสัญลักษณ์ของการครองคู่หรือการแต่งงานอีกด้วย
ตัวอย่างแบรนด์ที่ใช้ทรงกลมในการออกแบบโลโก้ ได้แก่ ห้าง Target, Burger King, NASA, Mercedez Benz, Tide
ทรงเกลียวหรือก้นหอย (Spirals)

รูปทรงเกลียวหรือก้นหอยเป็นรูปทรงที่มักเกิดในธรรมชาติ ตั้งแต่เปลือกหอย หอยทาก ไปจนถึงดวงดาวในจักรวาล การระบายน้ำเสีย หรือสิ่งสกปรกที่ถูกลมพัดพามา เป็นตัวแทนของการเติบโตและการปฏิวัติบางสิ่ง ฤดูกาล และวิถีของชีวิต นอกจากนั้นรูปทรงเกลียวหรือก้นหอยยังแสดงออกถึงการเปลี่ยนแปลง ความอุดมสมบูรณ์ ชีวิตและความตาย ให้ความรู้สึกที่เป็นเพศหญิง โดยรูปทรงเกลียวหรือก้นหอยเป็นได้ทั้งลักษณะตามเข็มและทวนเข็มนาฬิกาที่พาคุณเดินทางไปยังจุดหมาย ไม่มีขอบเขตสิ้นสุด ลื่นไหล เป็นอิสระ หรืออาจเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นนิรันด์ หากมองถึงเรื่องของวัฒนธรรมก็เปรียบเสมือนกับความลึกลับ จิตวิญญาณ ก็ได้เช่นกัน ไม่ค่อยถูกนำมาออกแบบโลโก้โดยตรงแต่จะมีการนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับองค์ประกอบอื่นๆครับ
การทำความเข้าใจความหมายของรูปทรง (Shapes) จะช่วยให้คุณนำไปออกแบบงานต่างๆได้ ซึ่งมันจะช่วยให้สื่อที่คุณสร้างสรรค์นั้นมีความมหายที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น และยังสร้างประสบการณ์ดีๆให้กับลูกค้ารวมไปถึงแบรนด์ของคุณด้วยเช่นกันครับ