
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักการตลาด ผู้จัดการ ผู้ประกอบการ หรือ Content Creator ความสามารถในการทำให้ผู้คนตั้งใจฟังอย่างแท้จริง อาจสร้างความแตกต่างระหว่างความสำเร็จและความล้มเหลวได้ และการที่จะทำให้สิ่งที่คุณสื่อสารนั้นติดตรึงอยู่ในใจของผู้คน และกระตุ้นให้เกิดการกระทำ ก็คือ การเข้าใจในจิตวิทยาของการสื่อสาร (Psychology of Communication) ซึ่งเป็นศาสตร์ว่าด้วยวิธีที่ผู้คนคิด (Think) รู้สึก (Feel) และแสดงพฤติกรรม (Behave) นั่นเอง ในบทความนี้ผมได้สรุปหลักการทางจิตวิทยาอันทรงพลัง 10 ประการ ที่มีอิทธิพลต่อวิธีที่เราได้รับและตอบสนองต่อการสื่อสาร พร้อมเคล็ดลับที่เป็นประโยชน์ ที่จะช่วยให้คุณสร้างข้อความที่เชื่อมโยงอย่างลึกซึ้ง สร้างความผูกพันทางอารมณ์ และสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการกระทำ

รู้จักจิตวิทยาการสื่อสาร 10 ประการ
1. พลังของความประทับใจแรก (The Power of First Impressions)
สมองถูกสร้างมาเพื่อสงวนพลังงานเอาไว้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้คนถึงตัดสินอย่างรวดเร็ว “ภายในเวลาเพียง 7 วินาที” โดยผู้ฟังของคุณจะตัดสินใจว่า “คุณคุ้มค่าที่จะรับฟังหรือไม่” นั่นคือ เหตุผลว่าทำไมคำพูดแรก น้ำเสียง หรือแม้แต่ภาษากายของคุณจึงมีความสำคัญ หลักการนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญอย่างยิ่ง ของการสร้างความประทับใจแรกที่ดีในการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นการพูด การนำเสนอ หรือแม้แต่การเขียน ข้อความแรกที่คุณสื่อออกไปนับว่ามีพลังอย่างมาก ในการกำหนดว่าผู้รับสารจะให้ความสนใจกับสิ่งที่คุณจะพูดต่อไปหรือไม่ เรื่องนี้จึงเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ที่ชื่อ “Primacy Effect” ซึ่งหมายความว่าสิ่งที่ผู้คนได้ยินเป็นสิ่งแรก จะมีอิทธิพลต่อความทรงจำและการรับรู้มากที่สุด
ตัวอย่างเช่น สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) ถือว่าเป็นปรมาจารย์ในเรื่องนี้ เขามักจะกล่าวสุนทรพจน์ด้วยคำกล่าวที่กล้าหาญและคาดไม่ถึง ซึ่งดึงดูดความสนใจได้ในทันที เช่น “วันนี้ แอปเปิลจะปฏิวัติโทรศัพท์” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการใช้หลักการนี้อย่างมีประสิทธิภาพ กับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่น่าตื่นเต้นและคาดไม่ถึง ทำให้ผู้คนสนใจและตั้งใจฟังสิ่งที่เขาจะพูดต่อไป การเริ่มต้นที่แข็งแกร่งมีพลังเพียงพอที่จะสร้างความคาดหวัง (Expectation) และดึงดูดความสนใจ (Attention)
เคล็ดลับเพื่อการนำไปใช้
- ความคิดเห็นที่หนักแน่น – การแสดงความคิดเห็นที่ชัดเจนและมั่นใจ เกี่ยวกับหัวข้อที่เกี่ยวข้องสามารถดึงดูดผู้ที่เห็นด้วย หรือกระตุ้นให้เกิดการถกเถียง
- เปิดด้วยเรื่องราว – การใช้เรื่องราวสามารถดึงดูดอารมณ์ และความสนใจของผู้ฟังได้ทันที
- ข้อมูลที่น่าตกใจ – การใช้ข้อมูลที่ขัดแย้งกับความเชื่อทั่วไป หรือมีผลกระทบต่อบางสิ่ง สามารถกระตุ้นความอยากรู้
- สถิติที่น่าทึ่ง – นำเสนอตัวเลขที่น่าสนใจ หรือแสดงให้เห็นถึงขนาดของปัญหาหรือโอกาส เพื่อสร้างความประทับใจ

Image Source: https://wwd.com/business-news/technology/steve-jobs-2007-original-iphone-promises-came-true-10916132/
2. พูดภาษาของพวกเขา (Speak Their Language)
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความเห็นอกเห็นใจ เมื่อเราได้ยินเรื่องราวหรือข้อความที่เชื่อมโยงกัน ทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังพบเจอเรื่องเดียวกับสิ่งที่ถูกบรรยาย หลักการนี้เน้นถึงบทบาทสำคัญของความเห็นอกเห็นใจ และการเชื่อมโยงทางอารมณ์ในการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การเข้าใจและสะท้อนโลกทัศน์ของผู้รับสาร จะช่วยสร้างความรู้สึกร่วมและความไว้วางใจ ทำให้ข้อความของคุณมีความหมายและน่าสนใจยิ่งขึ้น โดยเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเซลล์ประสาทกระจก (Mirror Neurons) ซึ่งเป็นเซลล์ประสาทพิเศษในสมองของเรา ที่ทำงานเมื่อเรากระทำบางสิ่งบางอย่าง และยังทำงานเมื่อเราเห็นหรือได้ยินคนอื่นกระทำสิ่งเดียวกัน ราวกับว่าสมองของเรากำลัง “เลียนแบบ” การกระทำหรือประสบการณ์ของผู้อื่น กลไกนี้เป็นพื้นฐานของความเห็นอกเห็นใจ ช่วยให้เราเข้าใจและรู้สึกถึงสิ่งที่ผู้อื่นกำลังประสบอยู่
ตัวอย่างเช่น แคมเปญการกุศลต่างๆแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เรื่องราวของแต่ละบุคคล (Personal Story) มีพลังในการดึงดูดความเห็นอกเห็นใจ มากกว่าข้อมูลทางสถิติ (Statistic Data) เพียงอย่างเดียว เมื่อผู้คนได้ยินเรื่องราวของบุคคลที่พวกเขาสามารถเชื่อมโยงด้วยได้ พวกเขาจะรู้สึกถึงอารมณ์และความต้องการของบุคคลนั้นอย่างแท้จริง ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความปรารถนาที่จะช่วยเหลือ มากกว่าการเห็นเพียงตัวเลขที่ไม่สื่อถึงความเป็นมนุษย์
เคล็ดลับเพื่อการนำไปใช้
- ใช้คำและวลีที่กลุ่มเป้าหมายของคุณใช้ – ด้วยการสังเกตและนำคำศัพท์เฉพาะ วลีที่ใช้บ่อย หรือแม้แต่สำเนียง ที่กลุ่มเป้าหมายของคุณคุ้นเคยมาใช้ในการสื่อสาร เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน
- แบ่งปันประสบการณ์ที่คล้ายคลึง – หากคุณมีประสบการณ์ส่วนตัว ที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกหรือสถานการณ์ของกลุ่มเป้าหมาย ให้แบ่งปันอย่างจริงใจ เพื่อแสดงว่าคุณเข้าใจพวกเขาอย่างแท้จริง
- แสดงความเข้าใจผ่านภาษากายและน้ำเสียง – นอกเหนือจากคำพูดแล้ว ภาษากายที่เปิดเผย การสบตาที่เหมาะสม และน้ำเสียงที่แสดงความเห็นอกเห็นใจ จะช่วยเสริมสร้างความรู้สึกเชื่อมโยง
- เน้นย้ำค่านิยมและความเชื่อร่วมกัน – เชื่อมโยงข้อความของคุณกับค่านิยม หลักการ หรือความเชื่อ ที่กลุ่มเป้าหมายของคุณให้ความสำคัญ เพื่อสร้างความรู้สึกเห็นพ้องต้องกัน
- แสดงความเคารพต่อความรู้สึกและมุมมองของพวกเขา – แม้ว่าคุณจะไม่เห็นด้วยกับทุกสิ่งที่พวกเขาพูด การแสดงความเคารพต่อความรู้สึก และมุมมองของพวกเขาก็เป็นสิ่งสำคัญ ในการสร้างความไว้วางใจและความเห็นอกเห็นใจ

Image Source: https://www.johnsonbanks.co.uk/work/save-the-children-campaigns
3. บทบาทของอคติทางปัญญา (Cognitive Bias) โดยรู้ว่าอะไร คือ “ตัวกรอง” ในการฟัง
ผู้ฟังทุกคนมักจะนำตัวกรองทางจิตเข้ามาในการสนทนาด้วย ซึ่งเรียกว่า “อคติทางปัญญา” หรือ Cognitive Bias โดยอคติเหล่านี้ มีอิทธิพลต่อวิธีที่เราตีความสิ่งที่เราได้ยิน หลักการนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้ฟังไม่ได้เป็นเหมือนกระดาษเปล่า ที่พร้อมจะรับข้อมูลทุกอย่างที่เราป้อนให้ พวกเขามีความเชื่อ (Believe) ทัศนคติ (Attitude) และประสบการณ์เดิม (Existing Expereince) ที่เปรียบเสมือน “ตัวกรอง” ที่จะส่งผลต่อการรับรู้ (Perception) และการตีความ (Interpretation) ในสิ่งที่เราพูด การตระหนักถึงอคติทางปัญญาเหล่านี้ จะช่วยให้เราปรับวิธีการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น เมื่อสื่อสารแนวคิดที่ขัดแย้งกัน นักการตลาดมักจะเริ่มต้นด้วย “จุดร่วม” เพื่อสร้างความเข้าใจก่อน จากนั้นจึงค่อยนำเสนอแนวคิดใหม่หรือมุมมองที่แตกต่าง โดยเคล็ดลับคือ หลีกเลี่ยงการเข้าสู่การขายตรงหรือการโต้แย้งในทันที ใช้ประโยคเชื่อมโยง เช่น “คุณอาจทราบอยู่แล้วว่า…” หรือ “เช่นเดียวกับหลายๆคน ที่คุณอาจรู้สึกว่า…”
เคล็ดลับเพื่อการนำไปใช้
- เริ่มต้นด้วยจุดร่วม – พยายามหาจุดที่ผู้ฟังเห็นด้วยหรือมีพื้นฐานความเชื่อเดียวกัน ก่อนที่จะนำเสนอแนวคิดใหม่หรือสิ่งที่อาจขัดแย้ง เพื่อลดแรงต่อต้านจากอคติจากการยืนยัน (Confirmation Bias)
- เชื่อมโยงกับสิ่งที่พวกเขาสนใจ – ดึงความสนใจของผู้ฟัง ด้วยการเริ่มต้นด้วยสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความต้องการ ความสนใจ หรือสิ่งที่พวกเขากำลังให้ความสำคัญ เพื่อเอาชนะการเลือกสนใจเฉพาะอย่าง (Selective Attention)
- เน้นย้ำประเด็นสำคัญซ้ำในช่วงท้าย – ใช้ประโยชน์จากอคติจากความใหม่ (Recency Bias) โดยการสรุป และเน้นย้ำข้อความหลักของคุณในช่วงท้ายของการสื่อสาร เพื่อให้พวกเขายังคงจดจำได้ดี
- นำเสนอข้อมูลอย่างรอบด้าน – ตระหนักว่าผู้คนมีแนวโน้มที่จะมองหาข้อมูล ที่ยืนยันความเชื่อของตนเอง ดังนั้นการนำเสนอข้อมูลจากหลายมุมมองอย่างเป็นกลาง อาจช่วยให้พวกเขาเปิดใจรับฟังมากขึ้น
- ใช้คำพูดที่สร้างความคุ้นเคย – เชื่อมโยงแนวคิดใหม่ กับสิ่งที่ผู้ฟังคุ้นเคยหรือเข้าใจอยู่แล้ว เพื่อลดความรู้สึกต่อต้านหรือไม่แน่นอนต่อสิ่งใหม่
4. ความเรียบง่ายชนะทุกสิ่ง (Simplicity Wins)
สมองของมนุษย์ชอบสิ่งที่เข้าใจง่าย ที่เรียกว่า “Fluency Effect” หรือ “ผลกระทบจากความง่ายในการประมวลผล” โดยข้อความที่เรียบง่ายให้ความรู้สึกเป็นจริง (Truthful) น่าเชื่อถือ (Credible) และน่าชื่นชอบ (Likable) มากกว่า หลักการนี้เน้นย้ำว่าการสื่อสารที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย มีแนวโน้มที่จะได้รับการตอบรับที่ดีกว่า การที่สมองสามารถประมวลผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย จนนำไปสู่ความรู้สึกเชิงบวกต่อข้อความและผู้ส่งสาร
ตัวอย่างเช่น สโลแกนอันอมตะของ M&M’s “Melts in your mouth, not in your hand.” หรือ “ละลายในปากแต่ไม่ละลายในมือ” ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่คำโฆษณาที่ติดหูเท่านั้น แต่ยังเป็นการ “อธิบายถึงคุณสมบัติ” ที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นประโยชน์หลักของช็อกโกแลต M&M’s ได้อย่าง “ชัดเจน ตรงไปตรงมา และน่าจดจำ”
เคล็ดลับเพื่อการนำไปใช้
- ตัดคำศัพท์เฉพาะทางออกไป – หลีกเลี่ยงการใช้คำศัพท์เทคนิค ศัพท์เฉพาะกลุ่ม หรือคำที่เข้าใจยาก หากจำเป็นต้องใช้ ให้นิยามหรืออธิบายให้ชัดเจน
- ใช้ประโยคสั้นและกระชับ – สื่อสารด้วยประโยคที่ตรงประเด็น ไม่ซับซ้อน และมีใจความเดียว เพื่อให้สมองประมวลผลได้ง่าย
- เน้นแนวคิดหลักทีละอย่าง – หลีกเลี่ยงการนำเสนอข้อมูลหลายอย่างพร้อมกัน ทำให้ผู้ฟังโฟกัสและเข้าใจแนวคิดหลักทีละขั้นตอน
- เลือกใช้ภาษาที่คุ้นเคย – ใช้คำศัพท์และสำนวนที่ผู้ฟังส่วนใหญ่คุ้นเคย และเข้าใจได้ง่ายในชีวิตประจำวัน
- จัดระเบียบข้อมูลให้ชัดเจน – ใช้หัวข้อ ย่อหน้า Bullet Point หรือภาพประกอบ เพื่อแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนๆ ที่ง่ายต่อการติดตามและทำความเข้าใจ

Image Source: M&M
5. ทำให้พวกเขารู้สึกบางอย่าง (Make Them Feel Something)
หลักการนี้เน้นถึงพลังของการเชื่อมโยงทางอารมณ์ในการสื่อสาร โดยการทำให้ผู้ฟังรู้สึกบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความเศร้า ความหวัง หรือความประทับใจ จะช่วยสร้างความผูกพันที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อทำให้ข้อความของคุณมีความหมายและน่าจดจำ โดยหากคุณพูดด้วยความรู้สึกที่แรงกล้า ผู้ฟังของคุณก็มีแนวโน้มที่จะรู้สึกแบบนั้นเช่นกัน ทำให้เกิดการแพร่กระจายทางอารมณ์ หรือที่เรียกว่าปรากฏการณ์ “Emotional Contagion Effect” โดยอารมณ์สามารถแพร่กระจายระหว่างบุคคลได้ ผ่านการแสดงออกทางสีหน้า น้ำเสียง ภาษากาย และพฤติกรรม เมื่อเราสังเกตเห็นผู้อื่นแสดงอารมณ์บางอย่าง สมองของเราจะเริ่มเลียนแบบการแสดงออกเหล่านั้น ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกคล้ายคลึงกันภายในตัวเรา กลไกนี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเห็นอกเห็นใจและความเข้าใจร่วมกันในกลุ่ม
ตัวอย่างเช่น แบรนด์ Dove และไทยประกันชีวิต ที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการใช้เรื่องราว ที่กระตุ้นอารมณ์ในการสร้างการรับรู้ (Awareness) และความผูกพันกับแบรนด์ (Brand Engagement) โฆษณาเหล่านี้มักจะเน้นไปที่ประสบการณ์ของมนุษย์ ความสัมพันธ์ และความรู้สึก ซึ่งสามารถสร้างความสะเทือนใจ และทำให้ผู้คนจดจำแบรนด์ได้ในระยะยาว
เคล็ดลับเพื่อการนำไปใช้
- แบ่งปันเรื่องราวส่วนตัวที่แท้จริง – การเปิดเผยประสบการณ์และความรู้สึกของคุณอย่างตรงไปตรงมา สามารถสร้างการเชื่อมโยงทางอารมณ์ที่ลึกซึ้งกับผู้ฟัง
- ใช้น้ำเสียงที่สื่ออารมณ์ – ปรับระดับเสียง ความเร็ว และโทนในการพูดของคุณ ให้สอดคล้องกับอารมณ์ที่คุณต้องการถ่ายทอด
- ใช้ภาพและสื่อที่กระตุ้นความรู้สึก – เลือกใช้ภาพ วิดีโอ หรือดนตรี ที่สามารถดึงดูดอารมณ์และสร้างบรรยากาศที่ต้องการ
- แสดงความกระตือรือร้นและความเชื่อมั่น – หากคุณรู้สึกถึงสิ่งที่กำลังพูด ผู้ฟังก็จะรับรู้ได้ถึงพลังและความจริงใจนั้น
- สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการแสดงอารมณ์ – เนื่องจากสภาพแวดล้อมและบริบทของการสื่อสาร ก็มีผลต่ออารมณ์ของผู้ฟังเช่นกัน
Video Source: https://youtu.be/rymT28Z6KQY
6. ความน่าเชื่อถือและอำนาจ (Trust and Authority) กับปัจจัยด้านจริยธรรม (Ethos)
เรามีแนวโน้มที่จะรับฟังผู้ที่เรามองว่ามีความน่าเชื่อถือ (Credible) จริงใจ (Sincere) หรือมีอำนาจ (Power) โดยหลักการนี้เน้นย้ำว่า ผู้ฟังไม่ได้เพียงแค่รับฟังเนื้อหาของสิ่งที่คุณพูดเท่านั้น พวกเขายังประเมินตัวคุณในฐานะผู้พูดด้วย ความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจที่คุณสร้างขึ้น มีผลอย่างมากต่อการที่ผู้คนจะเปิดใจรับฟังและเชื่อในสิ่งที่คุณสื่อสาร ที่สนับสนุนด้วยหลักของ Ethos, Logos และ Pathos ของอริสโตเติล (นักปรัชญาชาวกรีกโบราณ) ที่ได้ระบุองค์ประกอบ 3 ประการของการโน้มน้าวใจไว้ ดังนี้
- Pathos (อารมณ์) หมายถึง การกระตุ้นอารมณ์ของผู้ฟังเพื่อให้พวกเขาคล้อยตาม
- Ethos (จริยธรรม / ความน่าเชื่อถือ) หมายถึง ลักษณะของผู้พูดที่ทำให้ผู้ฟังเชื่อมั่นในความรู้ ความเชี่ยวชาญ คุณธรรม และความจริงใจของผู้พูด
- Logos (ตรรกะ / เหตุผล) หมายถึง การใช้เหตุผล หลักฐาน และข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือเพื่อสนับสนุนข้อโต้แย้ง
คำว่า “Ethos” ในทฤษฎีของอริสโตเติล หมายถึง “คุณธรรม” และความน่าเชื่อถือของผู้พูด เมื่อรวมกับ Logos (ตรรกะ) และ Pathos (อารมณ์) ทั้ง 3 สิ่งนี้มีอิทธิพลต่อการสื่อสารเพื่อโน้มน้าวใจ
ตัวอย่างเช่น การที่ผู้บรรยายใน TED Talk สามารถผสมผสานความรู้เชิงลึก และงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ (Logos) ให้เข้ากับเรื่องราวส่วนตัวที่แสดงถึงความมุ่งมั่นและความเข้าใจ (Pathos) และในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึง ความเชี่ยวชาญและความจริงใจ (Ethos) ทำให้การนำเสนอของพวกเขามีพลังและโน้มน้าวใจได้เป็นอย่างมาก
เคล็ดลับเพื่อการนำไปใช้
- แสดงความเชี่ยวชาญและความรู้ที่แท้จริง – อ้างอิงแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ แบ่งปันประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง และแสดงให้เห็นว่าคุณเข้าใจในสิ่งที่คุณกำลังพูด
- มีความโปร่งใสและเปิดเผย – บอกเล่าถึงกระบวนการ เหตุผล หรือแม้แต่ข้อจำกัด อย่างตรงไปตรงมา
- สร้างความสม่ำเสมอในคำพูดและการกระทำ – สิ่งที่คุณพูดและสิ่งที่คุณทำควรสอดคล้องกัน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในระยะยาว
- แสดงความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจผู้อื่น – การแสดงให้เห็นว่าคุณใส่ใจและเข้าใจมุมมองของผู้อื่น จะช่วยสร้างความไว้วางใจได้
- แบ่งปันเส้นทางการเติบโตและความท้าทายที่มี – การเล่าเรื่องราวความพยายามและการเรียนรู้ของคุณ จะทำให้คุณดูเป็นมนุษย์ที่มีทั้งสมหวังและผิดหวัง ที่สร้างความเชื่อมโยงได้ดีขึ้น

Image Source: https://blog.ted.com/an-exciting-new-chapter-for-ted/
7. พลังของการทำซ้ำและการยึดเหนี่ยว (The Power of Repetition and Anchoring)
หลักการนี้เน้นถึงความสำคัญ ของการทำซ้ำข้อความหลัก (Key Message) ของคุณอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อให้ผู้ฟังจดจำและซึมซับสิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณต้องการสื่อสาร นอกจากนี้ การ “ยึดเหนี่ยว” (Anchoring)
ข้อความนั้นกับองค์ประกอบที่น่าจดจำอื่นๆ จะช่วยเสริมสร้างผลกระทบและความคงทนของข้อความ โดยเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Mere Exposure Effect (ผลกระทบจากการสัมผัสซ้ำ) ที่อธิบายไว้ว่า การสัมผัสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งซ้ำๆจะเพิ่มความคุ้นเคย และความคุ้นเคยจะสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้น
ตัวอย่างเช่น สโลแกนของ Nike ที่ชื่อ “Just Do It” เป็นหนึ่งในตัวอย่างของการทำซ้ำและการยึดเหนี่ยว คำพูดที่สั้นและกระตุ้นนี้ถูกใช้มาอย่างต่อเนื่องในแคมเปญโฆษณาต่างๆ ควบคู่ไปกับโลโก้ Swoosh ที่โดดเด่น ทำให้ผู้คนจดจำและเชื่อมโยงคำๆนี้กับแบรนด์ Nike ได้ในทันที
เคล็ดลับเพื่อการนำไปใช้
- ระบุ Key Message
– กำหนดให้ชัดเจนว่ามีอะไรบ้างที่คุณต้องการให้ผู้ฟังจดจำมากที่สุด
- ย้ำ Key Message
ซ้ำๆในรูปแบบต่างๆ – กล่าวถึงประเด็นสำคัญของคุณหลายครั้ง โดยใช้คำพูดหรือมุมมองที่แตกต่างกันเล็กน้อย
- สร้างสัญลักษณ์หรือวลีที่ติดหู – พัฒนาคำหรือวลีที่กระชับและน่าจดจำ เพื่อเป็นตัวแทนของ Key Message
ของคุณ
- เชื่อมโยงข้อความกับภาพ หรือความรู้สึกที่แข็งแกร่ง – ใช้ภาพที่โดดเด่นหรือกระตุ้นอารมณ์ เพื่อช่วยยึดเหนี่ยวข้อความในความทรงจำ
- ความสม่ำเสมอ – ย้ำ Key Message
ของคุณอย่างสม่ำเสมอในทุกช่องทางการสื่อสาร

Image Source: https://krows-digital.com/nikes-just-do-it-campaign-a-masterclass-in-marketing-excellence/
8. บริบทคือทุกสิ่ง (Context is Everything)
แม้แต่ข้อความที่ดีที่สุดก็อาจล้มเหลวได้ หากส่งมอบในเวลาที่ไม่เหมาะสมหรือวางกรอบไม่ดี หลักการนี้ชี้ให้เห็นว่าเนื้อหาของข้อความไม่ใช่ปัจจัยเดียว ที่กำหนดความสำเร็จของการสื่อสาร แต่บริบทโดยรอบทั้งจังหวะเวลาในการนำเสนอ และวิธีการวางกรอบข้อความ (Framing) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรับรู้และการตอบสนองของผู้ฟัง สนับสนุนด้วย Framing Effect หรือ “ผลกระทบจากการวางกรอบ” ที่แสดงให้เห็นว่า การเน้นไปที่แง่มุมที่แตกต่างกันของข้อมูลเดียวกัน สามารถนำไปสู่การตัดสินใจหรือความรู้สึกที่แตกต่างกันได้อย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างของการเน้น “อัตราการรอดชีวิต” แทนคำว่า “อัตราการเสียชีวิต” ทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัยและมีความหวังมากขึ้น แม้ว่าความเสี่ยงที่แท้จริงจะเท่ากันก็ตาม
ตัวอย่างเช่น การสื่อสารในภาวะวิกฤต ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความกังวล ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารจะให้ความสำคัญกับการวางกรอบข้อความ (Framing) ในลักษณะที่ลดความตื่นตระหนก และสร้างความรู้สึกของการควบคุมด้วยการใช้ภาษาที่สงบ ชัดเจน และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ควบคู่ไปกับการเลือกจังหวะเวลาในการสื่อสารที่เหมาะสม ที่จะช่วยให้ผู้คนรับมือกับสถานการณ์ได้ดีขึ้น
เคล็ดลับเพื่อการนำไปใช้
- ทำความเข้าใจจังหวะเวลาที่เหมาะสม – พิจารณาว่าเมื่อใดที่ผู้ฟังของคุณ มีแนวโน้มที่จะเปิดรับและสนใจข้อความของคุณมากที่สุด
- เน้นด้านบวกและเรื่องของโอกาส – วางกรอบข้อความของคุณ ในลักษณะที่เน้นผลลัพธ์ที่ดีหรือความเป็นไปได้
- หลีกเลี่ยงการใช้ภาษาที่ก่อให้เกิดความกลัวโดยไม่จำเป็น – เลือกใช้คำพูดที่สร้างความมั่นใจ และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์
- ปรับกรอบการนำเสนอให้เข้ากับความเชื่อและค่านิยมของผู้ฟัง – พิจารณาว่าอะไรคือสิ่งที่พวกเขามองว่าสำคัญ และนำเสนอข้อความของคุณในบริบทนั้น
- เตรียมพร้อมสำหรับการสื่อสารในสถานการณ์ต่างๆ – มีแผนสำหรับการสื่อสารทั้งในสถานการณ์ปกติ และสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบในด้านต่างๆ

9. การฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening) และการสื่อสารแบบสองทาง (Two-Way Communication)
หลักการนี้เน้นว่าการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่การพูด แต่ยังรวมถึงการฟังอย่างตั้งใจและการสร้างปฏิสัมพันธ์แบบสองทาง เมื่อผู้คนรู้สึกว่าความคิดเห็นและความรู้สึกของพวกเขา ได้รับการรับฟังและให้ความสำคัญ พวกเขามีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมในการสนทนาและรับฟังสิ่งที่คุณพูดมากขึ้น โดยจิตวิทยาที่สนับสนุนเรื่องนี้ คือ Reciprocity Principle หรือ “หลักการตอบแทน” ที่หมายความว่า เมื่อคุณให้ความสนใจผู้อื่นคนๆนั้นก็จะรู้สึกถูกบังคับให้ตอบแทน เพราะเมื่อเราทำดีต่อผู้อื่นหรือให้ความสนใจพวกเขา พวกเขามักจะรู้สึกอยากตอบแทนในลักษณะเดียวกัน และในบริบทของการสื่อสารนั้น การแสดงความตั้งใจที่จะรับฟังผู้อื่น จะกระตุ้นให้พวกเขาเปิดใจรับฟังคุณมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น ในการเจรจาต่อรองผู้สื่อสารที่ดีที่สุด คือ ผู้ที่ถามคำถามที่น่าคิดและตั้งใจฟังอย่างแท้จริง ก่อนที่จะนำเสนอเหตุผลของตนเอง
เคล็ดลับเพื่อการนำไปใช้
- ให้ความสนใจอย่างเต็มที่และไม่ขัดจังหวะ – แสดงให้เห็นว่าคุณกำลังฟังโดยการสบตา พยักหน้า และใช้ภาษากายที่แสดงความสนใจ
- ถามคำถามที่เปิดกว้างเพื่อกระตุ้นการสนทนา – เชิญชวนให้ผู้ฟังแบ่งปันความคิดเห็น และให้รายละเอียดเพิ่มเติม
- สรุปและทวนสิ่งที่ได้ยิน – แสดงให้เห็นว่าคุณเข้าใจสิ่งที่ผู้พูดกำลังสื่อสาร และเปิดโอกาสให้พวกเขาแก้ไขหากคุณเข้าใจผิด
- แสดงความเห็นอกเห็นใจ และยอมรับในสิ่งที่พวกเขาพูด – แม้ว่าคุณจะไม่เห็นด้วย แต่การแสดงความเคารพต่อความคิด และความรู้สึกของพวกเขาก็สำคัญ
- ตอบสนองอย่างเหมาะสมและแสดงให้เห็นว่าคุณได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด – การตอบกลับของคุณควรสะท้อนให้เห็นว่า คุณได้ฟังและเข้าใจสิ่งที่พวกเขาแบ่งปันอยู่เสมอ

10. ความขาดแคลน (Scarcity) และความเร่งด่วน (Urgency) ทำให้รู้สึกมีคุณค่า
สิ่งที่หายากเป็นที่ต้องการมากกว่า นั่นคือเหตุผลที่ความเร่งด่วนมักจะได้ผลอยู่เสมอ หากถูกนำไปใช้อย่างมีจริยธรรม หลักการนี้อธิบายว่า ความรู้สึกของการสูญเสียโอกาสหรือการพลาดสิ่งที่หายาก สามารถเป็นแรงจูงใจที่ทรงพลัง ในการกระตุ้นให้ผู้คนดำเนินการบางอย่าง การสร้างความรู้สึกของความขาดแคลน (Scarcity) และความเร่งด่วนอย่างเหมาะสม สามารถเพิ่มมูลค่าที่รับรู้ได้ของข้อความหรือข้อเสนอของคุณ และกระตุ้นให้ผู้ฟังตัดสินใจได้เร็วขึ้น
ตัวอย่างเช่น “เหลือเพียง 2 ที่นั่งสุดท้าย” หรือ “ข้อเสนอจำกัดเวลา” กระตุ้นความสนใจ และเร่งให้เกิดการตัดสินใจที่รวดเร็วขึ้น
เคล็ดลับเพื่อการนำไปใช้
- ใช้ความขาดแคลนและความเร่งด่วนอย่างแท้จริง – สร้างความรู้สึกว่ามีโอกาส หรือจำนวนจำกัดเฉพาะเมื่อเป็นความจริงเท่านั้น
- สื่อสารคุณค่าที่พวกเขาจะได้รับ – เน้นย้ำถึงประโยชน์หรือผลลัพธ์ที่ดีที่พวกเขาจะได้รับ จากการดำเนินการอย่างรวดเร็ว
- กำหนดเส้นตายที่ชัดเจนและสมเหตุสมผล – กำหนดเวลาสิ้นสุดสำหรับข้อเสนอหรือโอกาสนั้นๆ
- อธิบายเหตุผลของความขาดแคลนหรือความเร่งด่วน – ให้เหตุผลที่ชัดเจนว่าทำไมถึงมีข้อจำกัด
- ใช้ด้วยความระมัดระวังเพื่อรักษาความไว้วางใจ – หลีกเลี่ยงการใช้กลยุทธ์นี้บ่อยเกินไป จนทำให้ผู้ฟังรู้สึกถูกกดดันหรือถูกหลอกลวง
ด้วยความเข้าใจถึงพลังทางจิตวิทยาที่ขับเคลื่อนความสนใจ อารมณ์ และความไว้วางใจ คุณจะสามารถสร้างข้อความที่เข้าถึงจิตใจในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ไม่ว่าคุณจะนำเสนอแนวคิดใหม่ นำทีมงาน หรือสร้างแบรนด์นั่นเอง