การทำการตลาดด้วยอีเมล์หรือที่เราเรียกกันว่า Email Marketing นับเป็นหนึ่งในช่องทางการทำการตลาดที่สร้าง Conversion Rate ได้ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับการตลาดผ่านช่องทางอื่นๆ โดยสถิติจาก Smart Insights ระบุถึง Conversion Rate จากการส่งอีเมล์หาลูกค้าของธุรกิจทั้ง B2C และ B2B ที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ราว 2.5% ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของการทำการตลาดผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.1% โดย Conversion Rate ของ Email Marketing นั้นเป็นรองแค่เพียง Organic / Paid Search ที่เป็นการค้นหาข้อมูลบน Google / การทำ SEM รวมไปถึงการตลาดแบบ Referral จากแหล่งต่างๆ
Email Marketing จึงนับเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการตลาดที่ยังสำคัญมากสำหรับปัจจุบัน แม้ว่าจะมีกระแสที่พูดถึงอย่างหนักหน่วงว่าการส่งอีเมล์นั้นดูล้าสมัยไปนานแล้วก็ตาม แต่สถิตินั้นยังคงยืนยันให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอีเมล์ยังคงเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ขาดไม่ได้เลยจริงๆ หากคุณรู้ว่าจะใช้มันอย่างไรในเวลาไหนให้เหมาะสมมากที่สุดครับ โดยมันก็ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และประเภทของการทำ Email Marketing นั่นเอง ในบทความนี้เราจะมาเรียนรู้ถึงประเภทของการทำ Email Marketing ที่เรามักจะเห็นอยู่ในปัจจุบันครับ
1. อีเมล์ต้อนรับ (Welcome Email)
ประเภทแรกคืออีเมล์ต้อนรับหลังจากกระบวนการที่ลูกค้าซื้อสินค้า/ใช้บริการ หรือสมัครสมาชิกกับธุรกิจคุณไปเป็นที่เรียบร้อย โดยขั้นตอนถัดมาก็คือการส่งข้อความทักทายกลับไปยังกลุ่มลูกค้า จนมันกลายเป็นสิ่งที่ลูกค้าคาดหวังที่จะได้รับอีเมล์ในลักษณะนี้ไปแล้ว อีเมล์ต้อนรับ (Welcome Email) นั้นค่อนข้างจะสร้างโอกาสในการเปิดอ่านค่อนข้างสูง และยังสร้างอารมณ์ความรู้สึกแบบเป็นส่วนตัวได้อีกด้วย ข้อควรระวังก็คือไม่ควรจะเร่งในเรื่องของการนำเสนอสินค้าอื่นๆเพิ่มเติมเข้าไปในอีเมล์ครับ โดยเฉพาะหากลูกค้าเพิ่งซื้อสินค้าของคุณไปแบบหมาดๆ เพราะอาจทำให้เกิดสภาวะการยัดเยียดและแลดูอึดอัดที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า คุณกำลังกดดันที่จะขายสินค้าเพียงอย่างเดียวมากจนเกินไป
Source: airbnb
2. อีเมล์เปิดตัวหรือแนะนำอะไรใหม่ๆ (Announcement Email)
อีเมล์ที่จัดอยู่ในประเภทนี้ก็คือ การเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ การแนะนำบริการใหม่ๆ หรือมีโครงการอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นในธุรกิจของคุณ ที่ส่งผลต่อการสร้างประโยชน์หรือคุณค่าให้กับลูกค้า โดยเนื้อหานั้นก็ควรมีรายละเอียดที่ชัดเจนและต้องชี้ให้เห็นว่ามันมีประโยชน์กับลูกค้าอย่างไร ต้องการสร้างให้เกิดผลลัพธ์อะไรในทุกๆครั้งที่คุณส่งอีเมล์ออกไปหาลูกค้า และอย่าลืมใส่ Call-to-Actions (CTAs) ในทุกๆครั้งนะครับ เช่น ปุ่มกดซื้อสินค้า ปุ่มกดไปดูสินค้าหน้าเว็บไซต์ ปุ่มสมัครสมาชิก ปุ่มเข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติม เป็นต้น
Source: Nike.com
3. อีเมล์ Update คุณลักษณะของสินค้า (Product Update Email)
เรามักจะเห็นอีเมล์ประเภทนี้กับสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่มีการปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา เช่น iOS มีการปรับปรุงเวอร์ชั่นใหม่ ซอฟต์แวร์ที่มีการเพิ่ม Feature หรือลูกเล่นใหม่ๆเข้ามา โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับตัวสินค้าเดิมที่มีอยู่ ที่ไม่ใช่การเปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่หรือแบรนด์ใหม่ๆครับ วัตถุประสงค์ของอีเมล์ประเภทนี้ค่อนข้างชัดเจน คือ การให้ข้อมูลที่ส่งผลต่อการตัดสินใจในการอัพเดทสิ่งที่มีอยู่ให้ดีกว่าเดิม และในบางครั้งอาจมีการเสียเงินเพื่อให้ได้มาซึ่ง Feature ใหม่ๆที่ดีกว่าเดิมก็ได้
Source: https://www.dyspatch.io/blog/product-update-emails-7-expert-tips-and-examples/
4. จดหมายข่าว (Newsletter Email)
Newsletter ถือว่าเป็นประเภทการส่งอีเมล์ที่เรามักจะเห็นกันบ่อยมากที่สุดอย่างหนึ่งครับ ซึ่งเป็นการรวบรวมข้อมูลที่ธุรกิจอยากจะนำเสนอให้กับลูกค้าหรือผู้ที่สนใจสมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับข่าวสารของบริษัท โดย Newsletter นั้นส่วนใหญ่จะเป็นการให้ข่าวสารเป็นหลักมากกว่าการขายสินค้า เช่น ข่าวสารอุตสาหกรรม ข่าวความคืบหน้าโครงการ ข่าวกิจกรรม เป็นต้น คำถามต่อมาก็คือ Newsletter สามารถใส่ข้อมูลสินค้าได้หรือไม่ จริงๆมันก็ไม่ได้มีกฎตายตัวว่าทำไม่ได้ครับ ซึ่งขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การทำการตลาดของคุณ แต่ประเด็นสำคัญก็คือในการทำคอนเทนต์ในรูปแบบหรือประเภทใดก็ตาม ควรจะมี Key Message หรือวัตถุประสงค์หลักที่ชัดเจนเพียงอย่างเดียว เพื่อป้องกันความสับสนของผู้รับอีเมล์ฉบับนั้นๆครับ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็อย่างเช่น ในกรณีที่ลูกค้าสมัครสมาชิกรับเฉพาะข่าวสารอย่างเดียว เพราะอยากรู้ข้อมูลอุตสาหกรรมของคุณ แต่คุณดันส่ง Newsletter ที่ใส่เนื้อหาที่ขายแต่สินค้าหรืออาจผสมผสานทั้งข่าวสารและสินค้าเข้าไปพร้อมกัน ลูกค้าก็คงไม่ชอบใจแน่นอนครับและมันอาจกลายเป็น SPAM ไปได้ในทันที เผลอๆลูกค้ากดยกเลิกการรับข่าวสารจากคุณไปเลยก็เป็นไปได้
Source: https://venngage.com/blog/email-newsletter-templates/
5. อีเมล์นำเสนอโปรโมชั่น (Promotional Email)
หนึ่งในการทำ Email Marketing ที่ทำให้เราต้องเสียเงินซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง ก็คือ เราโดนยิงอีเมล์แบบ ลด แลก แจก แถม เข้ามากันรัวๆนี่แหละครับ ซึ่งมันส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อได้อย่างรวดเร็วประเภทหนึ่งได้เลย หากคุณแสดงความคุ้มค่าด้านราคาผสมผสานกับการตลาดแบบ Fear-of-Missing-Out (FOMO) เข้าไปด้วย เช่น ช้าหมดอดนะ! เหลือแค่ 10 ชิ้นเท่านั้น! ก็จะยิ่งเพิ่มพลังดึงดูดให้กดสั่งซื้อแบบแทบจะไม่ต้องคิดอะไรมากมายได้เลยครับ ข้อแนะนำหากคุณจะนำเสนอโปรโมชั่นก็คงเป็นเรื่องของการทำให้ภาพโฆษณานั้นออกมาดูดี ทำให้เข้ากับอัตลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Identity) และสื่อสารข้อมูลอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา ซึ่งควรมีการระบุเงื่อนไขต่างๆเอาไว้ด้วย อาทิ ระยะเวลา วิธีการสั่งซื้อ การส่งสินค้า และอื่นๆ จะได้ไม่สร้างความเข้าใจผิดให้กับลูกค้าครับ
Source: Konvy
6. อีเมล์เชิญชวนร่วมกิจกรรม (Event Invitation Email)
สำหรับอีเมล์ประเภทนี้เป็นการแนะนำกิจกรรมในรูปแบบ Event / Exhibition ที่จะจัดขึ้นไม่ว่าจะเป็นตามศูนย์แสดงสินค้า ห้างสรรพสินค้า สถานที่ต่างๆ หรืออาจเป็นรูปแบบ Virtual / Online ซึ่งเป็นการเชิญชวนผู้ที่สนใจให้เข้าร่วมกิจกรรมที่ธุรกิจกำลังจะจัดขึ้น โดยนอกจากเนื้อหารายละเอียดกิจกรรมที่ต้องอธิบายให้ครบถ้วนและไฮไลท์สำคัญๆแล้ว องค์ประกอบสำคัญก็คือภาพ (Visual) ที่น่าดึงดูด การออกแบบสื่อ และหากจะให้ดีก็อาจเพิ่มวีดิโอแนะนำงานที่จะเกิดขึ้น เพื่อสร้างความรู้สึกร่วมให้ผู้ที่ได้รับอีเมล์เพื่อกดลงทะเบียนเข้าร่วมงานนั่นเองครับ
Source: Studio 7
7. อีเมล์เฉพาะกลุ่ม (Dedicated Email)
อีเมล์ประเภทนี้มักจะถูกส่งให้กับคนที่ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานประชุม (Conference) งานสัมมนา (Seminar) งานมหกรรมแสดงสินค้า (Exhibition) โดยจะเป็นการส่งข้อมูลความคืบหน้าในมุมต่างๆก่อนที่จะถึงวันจัดงานจริง เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้รับรู้เป็นระยะๆ และย้ำเตือนไม่ให้พลาดการจัดงานนั้นๆครับ หากเป็นงานประชุมหรืองานที่มีการเสวนาต่างๆ ก็อาจส่งข้อมูลของคนที่เป็นผู้พูด (Guest Speaker) ในงาน ว่าแต่ละคนจะพูดหัวข้ออะไรหรือมีมุมมองอะไรที่จะนำมาแบ่งปันในงาน หากเป็นงานมหกรรมแสดงสินค้าก็อาจส่งข้อมูลอัพเดทรายชื่อธุรกิจที่มาร่วมแสดงในงาน มีสินค้าอะไรเด่นๆในงานบ้าง เป็นต้น
Source: https://th.kku.ac.th/event/legal-education-for-equality-creative-conference-2022/
8. อีเมล์มอบสิทธิเศษ (Loyalty & Rewards Email)
การมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าที่เป็นสมาชิกหรือลูกค้าที่มาซื้อสินค้าซ้ำๆกับคุณอยู่ตลอด ก็เป็นอีกหนึ่ง Email Marketing ที่ทำขึ้นมาเพื่อลูกค้าประเภท Loyalty Customer ด้วยการนำเสนอสิทธิพิเศษที่อาจเป็นการแลกแต้มเพื่อซื้อสินค้า สะสมแต้มเพิ่มเติม หรือหากคะแนนสะสมถึงเกณฑ์ก็อาจได้ตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวที่ใดที่หนึ่ง เราจะเห็นบ่อยๆกับธุรกิจที่เกี่ยวกับบัตรเครดิต ท่องเที่ยว โรงแรม ห้างสรรพสินค้า และสินค้าในระดับราคาที่ค่อนข้างสูงอย่าง คอมพิวเตอร์ มือถือ รถยนต์ เป็นต้น
Source: KBank
9. อีเมล์สำรวจความคิดเห็น (Survey Feedback Email)
อีกหนึ่งประเภทของการทำ Email Marketing ก็คือการสำรวจความคิดเห็นรวมถึงความพึงพอใจในการใช้สินค้าหรือบริการครับ โดยคุณจะได้ข้อมูลที่เป็น Insight บางอย่างที่สามารถนำไปพัฒนาปรับปรุงสินค้าหรือบริการให้ดีขึ้น อีกทั้งยังสามารถนำไปต่อยอดผลิตสินค้าอื่นๆที่อาจเป็นโอกาสในตลาดที่ยังไม่มีใครทำก็ได้
Source: airbnb
10. อีเมล์คอมเฟิร์ม (Confirmation Email)
ประเภทสุดท้ายที่เห็นกันอยู่บ่อยๆก็คือการส่งอีเมล์ตอบกลับหลังจากที่ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าหรือทำธุรกรรมอะไรสักอย่างสำเร็จเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งนั่นทำให้ลูกค้ามั่นใจครับว่าคำสั่งซื้อนั้นเสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแบบจริงๆ โดยคุณสามารถผสมผสานคำขอบคุณในลักษณะอีเมล์แบบขอบคุณเข้าไปด้วยก็ได้ หรือแยกเป็นอีเมล์ขอบคุณออกมาเป็นอีกฉบับก็ได้เช่นกันครับ
Email Marketing ทั้ง 10 ประเภทที่กล่าวมานับเป็นอีเมล์ที่เรามักจะพบเจอกันอยู่เป็นประจำ โดยหลักสำคัญของการวางแผนทำ Email Marketing ในแต่ละประเภทนั้นก็จำเป็นต้องเข้าใจและรู้จักกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งควรชัดเจนในวัตถุประสงค์ของการส่งอีเมล์แต่ละฉบับซึ่งไม่ควรจะรวมทุกประเภทเอาไว้ในอีเมล์ฉบับเดียว ไม่เช่นนั้นลูกค้าหรือผู้ที่รับอีเมล์จะสับสนและอาจทำให้เกิดการบล็อกหรือยกเลิกการเป็นสมาชิกเพื่อรับข้อมูลจากบริษัทคุณเลยก็ได้ครับ