
ยุคนี้ถือเป็นยุคของ AI ที่หลากหลายธุรกิจได้นำมาปรับใช้ เพื่อให้เข้ากับวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ให้มีความรวดเร็วและสร้างประโยชน์มากยิ่งขึ้น แต่ด้วยเครื่องมือและประเภทของ AI ที่มีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือที่ใช้สร้างสรรค์ การสนทนา การสร้างระบบ Agentic AI และรูปแบบอื่นๆอีกมากมาย คำถามที่ตามมาก็คือ “คุณจะเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณได้อย่างไร”
ในบทความนี้ผมจะมาช่วยวางกรอบการทำงาน สำหรับการเลือกใช้ AI อย่างมีกลยุทธ์ เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจประเภทต่างๆ ของ AI และแบ่งปันสถานการณ์การใช้งานจริง จากหลากหลายอุตสาหกรรม เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างรอบด้านที่สุด
แต่ก่อนอื่นหากใครที่ยังไม่ค่อยรู้จักเครื่องมือ AI ผมอยากให้ลองเข้าไปอ่านบทความเรื่อง “ประเภทและรูปแบบของ AI” ที่ผมเพิ่งจะเขียนสรุปไปก่อนหน้านี้กันก่อนครับ

The 5P Framework สำหรับการเลือกใช้ AI อย่างเหมาะสม

ในการเลือกใช้ AI ที่มีอยู่ในตลาดให้เหมาะสมกับธุรกิจนั้น ผมอยากให้ผู้อ่านได้ยึดกรอบแนวคิดเชิงกลยุทธ์ 5P Framework ซึ่งเป็นหนึ่งในกรอบแนวคิด ที่ช่วยให้เข้าใจวิธีการวางกลยุทธ์แบบเข้าใจง่ายวิธีหนึ่ง ดังนี้
5P Framework | รายละเอียด | คำถามนำ |
---|---|---|
Purpose (เป้าหมาย) | ปัจจุบันธุรกิจของคุณมีเป้าหมาย หรือปัญหาอะไรอยู่ | คุณต้องการบรรลุผลลัพธ์อะไร หรือต้องการแก้ไขปัญหาอะไร |
Process (กระบวนการ) | ในกระบวนการไหนที่อยากจะใช้ AI บ้าง | ใช่การสร้างคอนเทนต์ หรือการบริการลูกค้าหรือไม่ |
People (บุคลากร) | ใครเป็นคนบริหารจัดการและใช้ AI | ทีมของคุณพร้อมสำหรับเรื่องนี้มากขนาดไหน |
Platform (แพลตฟอร์ม) | AI ประเภทและรูปแบบไหน เหมาะกับธุรกิจมากที่สุด | ใช่กลุ่ม Generative AI, Conversational AI หรือ Agent-based. หรือไม่ |
Performance (ประสิทธิภาพ) | ใช้ KPIs อะไรเป็นตัวตัดสินความสำเร็จ | คุณจะตรวจสอบและวัดผลการใช้ AI อย่างไร |
เพื่อให้มั่นใจว่าการนำ AI ไปใช้งานสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจของคุณ การปฏิบัติตามกรอบการทำงานที่มีโครงสร้าง จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจและผู้มีอำนาจตัดสินใจสามารถระบุ (Identify) ประเมิน (Evaluate) และประยุกต์ (Apply) ใช้เครื่องมือ AI ในลักษณะที่สร้างมูลค่าและวัดผลได้ โดยใน 5P Framework สามารถอธิบายและขยายความรายอะเอียดได้ ดังนี้
- กำหนดเป้าหมายและจุดที่เจ็บปวด (Purpose and Pain Point)
เริ่มต้นด้วยการระบุปัญหาที่คุณต้องการแก้ไข หรือโอกาสที่คุณต้องการแสวงหาให้ชัดเจน เช่น คุณกำลังประสบปัญหาเรื่องความเร็วในการสร้างคอนเทนต์ ต้นทุนการบริการลูกค้าที่สูงขึ้น หรือการคาดการณ์ความต้องการหรือไม่ การระบุเป้าหมายให้ชัดเจนที่ไม่ใช่การนำ AI มาใช้เพียงเพื่อความแปลกใหม่ แต่เพื่อแก้ไขความท้าทายทางธุรกิจที่จับต้องได้ - กำหนดผลลัพธ์และ KPIs (Outcome and KPIs)
เมื่อเป้าหมายนั้นชัดเจนแล้ว ให้กำหนดว่าความสำเร็จจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร เช่น คุณต้องการลดเวลาการผลิตคอนเทนต์ลงครึ่งหนึ่งหรือไม่ ลดเวลาตอบสนองลูกค้าเป้าหมายให้ต่ำกว่า 2 นาทีหรือไม่ เพิ่มอัตราการเปลี่ยนลูกค้าเป้าหมาย 15% หรือไม่ KPIs ควรวัดผลได้และเชื่อมโยงโดยตรงกับผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ต้องการ - จับคู่กับประเภทและหมวดหมู่ (AI Type and Category)
เมื่อเป้าหมายและ KPIs ของคุณชัดเจนแล้ว คุณสามารถจับคู่ความต้องการของคุณกับประเภทของ AI ที่ถูกต้องได้ ไม่ว่าจะเป็น Generative AI, Conversational AI, Machine Learning, Agentic AI หรือ Text-to-Image สิ่งนี้จะช่วยให้คุณเลือกเครื่องมือที่มีขีดความสามารถหลักที่เหมาะสม เพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ของคุณ ตัวอย่างเช่น หากจุดที่เจ็บปวดของคุณ คือ การรายงานที่ล่าช้า Agentic AI เช่น AutoGPT สามารถทำงานที่ซับซ้อนหลายขั้นตอนได้โดยอัตโนมัติ - เลือกเครื่องมือหรือแพลตฟอร์มที่เหมาะสม (Right Tools or Platforms)
เมื่อเลือกหมวดหมู่ได้แล้ว ให้ก็ให้คุณเลือกเครื่องมือเฉพาะ ที่เหมาะสมกับงบประมาณ (Budget) ระดับทักษะ (Skill Level) และการเชื่อมต่อเข้ากับระบบของคุณ (System Integration) ซึ่งอาจมีตั้งแต่ ChatGPT หรือ Jasper AI สำหรับการเขียนคอนเทนต์ ไปจนถึง Midjourney หรือ Canva AI สำหรับการสร้างภาพ หรือ WatsonX และ Vertex AI สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล - นำไปใช้งานและตรวจสอบ (Implement and Monitor)
เริ่มต้นด้วยการนำร่องหรือทยอยนำไปใช้ทีละขั้นตอน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าทีมของคุณ ได้รับการฝึกอบรมและเข้าใจกระบวนการต่างๆ สำหรับการบูรณาการ AI เข้ามาใช้งาน ตรวจสอบความคืบหน้าโดยใช้ KPIs ที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ และสังเกตความคิดเห็นแบบเรียลไทม์ และต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้วัดแค่ผลลัพธ์ (Outcomes) แต่ยังรวมถึงผลกระทบด้วย (Impact) เช่น Productivity ของทีมที่เพิ่มขึ้น การประหยัดต้นทุน หรือรายได้ที่เพิ่มขึ้น - ขยายขนาดและปรับปรุงให้เหมาะสม (Scale and Optimize)
เมื่อผลลัพธ์ได้รับการยืนยันแล้ว ให้ขยายการใช้งานไปยังทีมหรือขั้นตอนการทำงานอื่นๆ โดยเครื่องมือ AI มักจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อมีการขยายขนาดและมีผลตอบรับที่ชัดเจน คุณสามารถปรับปรุงเพิ่มเติมได้โดยการรวม AI หลายประเภทเข้าด้วยกัน ตัวอย่างเช่น การใช้ Conversational AI สำหรับการรวบรวมข้อมูล และ Generative AI สำหรับการสร้างเนื้อหาจากข้อมูลเชิงลึกเหล่านั้น
ด้วยกรอบการทำงานนี้จะช่วยให้คุณเปลี่ยน AI จากสิ่งแปลกใหม่ ให้กลายเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจ ช่วยให้องค์กรสามารถตัดสินใจอย่างรอบด้าน เกี่ยวกับวิธีการและเหตุใดจึงต้องใช้ AI เพื่อให้เกิดผลลัพธ์สูงสุด


ตัวอย่าง KPIs ตามเป้าหมายของธุรกิจ
เป้าหมายของธุรกิจ | ตัวอย่าง KPIs ที่แนะนำ |
---|---|
การเพิ่มประสิทธิภาพการทำคอนเทนต์ | จำนวนการผลิตคอนเทนต์ / ชั่วโมง, อัตราการอนุมัติ |
การสร้าง Lead Generation | Conversion Rate, Cost Per Lead |
การเพิ่ม Customer Experience | เวลาในการแก้ไขปัญหา อัตราคะแนนความคิดเห็น |
การเพิ่มรายได้และยอดขาย | ROI ที่เกิดขึ้นจากการใช้ AI ในแคมเปญต่างๆ |
การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงาน | การประหยัดเวลา จำนวนงานที่เป็นอัตโนมัติมากขึ้น |
ตัวอย่างเช่น หากเป้าหมายของคุณ คือ การปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำคอนเทนต์ คุณควรวัดปริมาณคอนเทนต์ที่ผลิตได้ต่อชั่วโมงหรือต่อสัปดาห์ จำนวนฉบับร่างที่ผ่านการตรวจสอบ และเวลาที่ใช้ในการเผยแพร่ลดลงหรือไม่ ในการสร้างลูกค้าเป้าหมาย KPIs ที่สำคัญ ได้แก่ อัตราการเปลี่ยนลูกค้าเป้าหมาย จากแคมเปญที่ขับเคลื่อนด้วย AI ต้นทุนต่อลูกค้าเป้าหมาย และจำนวนลูกค้าเป้าหมายที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ที่สร้างขึ้นผ่านเครื่องมืออัตโนมัติหรือแชทบอท
สำหรับธุรกิจที่มุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ของลูกค้า คุณควรติดตามความรวดเร็วในการแก้ไขข้อสงสัย (เวลาตอบสนอง/แก้ไข) และตรวจสอบคะแนนความพึงพอใจของลูกค้า (Customer Satisfaction Score – CSAT) หรือคะแนนความคิดเห็นหลังการพูดคุย
หากคุณกำลังนำ AI ไปใช้ในการขายหรือการตลาด ก็เป็นการวัดผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) จากแคมเปญที่สร้างโดย AI เช่น รายได้ที่เพิ่มขึ้นซึ่งเชื่อมโยงกับการส่งเสริมการขายแบบส่วนบุคคล หรือเนื้อหาภาพที่ถูกสร้างและจัดการโดย AI

ตัวอย่างการเลือกประเภทของ AI สำหรับธุรกิจ
เรามาดูตัวอย่างที่เจาะให้เห็นถึงความต้องการ และประเภทของ AI ที่เหมาะสมในการทำไปใช้ เพื่อตอบสนองความต้องการ (ทั้ง Purpose และ Pain Points) ของธุรกิจกันครับ
ความต้องการ | ประเภทของ AI | เครื่องมือ |
---|---|---|
สร้างสรรค์คอนเทนต์ | Generative AI (Text / Image) | ChatGPT, Jasper, DALL·E, Midjourney |
เพิ่มการตอบสนองจากลูกค้า | Conversational AI | GPTs, Chatbots, Voice Assistants (Siri, Alexa) |
การวิเคราะห์ การคาดการณ์ และการทำงานแบบอัตนโมัติ | Machine Learning | Google Cloud AI, AWS SageMaker, IBM Watson |
การทำ Market Research หรือ Reports | Agentic AI + LLM | AutoGPT, Claude, LangChain agents |
เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ด้าน Branding และ Marketing | Text-to-Image / Image AI | Canva AI, Adobe Firefly, Stable Diffusion |
ในการนำ AI ไปใช้งาน ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง คือ การเลือกประเภทของ AI ที่เหมาะสมกับความต้องการทางธุรกิจแบบเฉพาะของคุณ เพราะ AI แต่ละประเภทมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน และการทราบว่าจะใช้ประเภทใด จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและ ROI ได้อย่างมากมาย
ตัวอย่างเช่น หากเป้าหมายของคุณคือการสร้างเนื้อหา (Content) ที่เป็นข้อความ (Text) ภาพ (Image) หรือแนวคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creative) คุณควรเน้นไปที่เครื่องมือ Generative AI เช่น ChatGPT สำหรับข้อความ (Text) และ DALL·E, Midjourney หรือ Adobe Firefly สำหรับการสร้างภาพ (Image) เครื่องมือเหล่านี้สามารถช่วยในการสร้างสรรค์ภาพและคำพูด เพื่อใข้สำหรับโพสต์บนโซเชียลมีเดีย บล็อก งานโฆษณา ภาพผลิตภัณฑ์ และอื่นๆได้
หากธุรกิจของคุณเกี่ยวข้องกับการบริการลูกค้า หรือการโต้ตอบด้านการขาย Conversational AI ก็อาจดูเหมาะสมมากกว่า เครื่องมือต่างๆ เช่น แชทบอทที่ใช้ GPT, Siri หรือผู้ช่วยเสียง (Voice Assistant) สามารถทำให้การตอบสนองเป็นอัตโนมัติ และปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ได้แบบเรียลไทม์
สำหรับธุรกิจที่มุ่งเป้าไปที่การคาดการณ์แนวโน้ม (Trends) การตัดสินใจแบบอัตโนมัติ หรือการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ แพลตฟอร์ม Machine Learning เช่น Google Cloud AI, AWS SageMaker หรือ IBM Watson ก็นำเสนอโซลูชันที่ถือว่าโดดเด่นสำหรับการคาดการณ์ (Forecasting) การแบ่งกลุ่ม (Segmentation) และการให้คำแนะนำแบบอัจฉริยะ (Intelligent Recommendations)

Image Source: https://www.softwebsolutions.com/resources/guide-to-amazon-sagemaker.html
บริษัทที่ต้องการสร้างขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อน เช่น การสร้างรายงาน (Reports) การเปรียบเทียบแหล่งข้อมูล (Data Compairison) หรือการจำลองผู้ช่วยวิจัยเสมือน (Virtual Research Assistant) ก็ควรพิจารณา Agentic AI (เช่น AutoGPT หรือ Claude) เพราะเครื่องมือเหล่านี้รวม LLMs เข้ากับการตัดสินใจด้วยตนเอง เพื่อทำงานหลายขั้นตอนให้สำเร็จ
หากคุณอยู่ในแวดวงการตลาด (Marketing) การออกแบบ (Design) หรือ E-Commerce การใช้ Text-to-Image AI หรือ การสั่งให้ AI สร้างภาพจากข้อความที่กำหนด ถือว่ามีคุณค่ามากสำหรับการสร้างภาพคุณภาพสูง ที่ตรงกับผลิตภัณฑ์หรือความเป็น Branding ของคุณได้ทันที เครื่องมือต่างๆ เช่น Canva AI หรือ Stable Diffusion ก็จะช่วยลดระยะเวลาในการสร้างสรรค์ได้

ตัวอย่างการใช้ AI จริงใน 3 ประเภทธุรกิจ
1. ธุรกิจที่ปรึกษาให้กับ SME
- ประเภทธุรกิจ – ที่ปรึกษาด้านการสร้างแบรนด์และการตลาดส่วนบุคคล (มีทีม 1–5 คน)
- วัตถุประสงค์ – ต้องการสร้างคอนเทนต์ให้เป็นอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มการสร้างลูกค้าเป้าหมาย และนำเสนอเครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI ให้กับลูกค้า
- กรอบการทำงาน (5P Framework)
- เป้าหมาย (Purpose) ประหยัดเวลาในการเขียนบล็อก การทำ Social Media Content สร้างเอกสารสำหรับลูกค้าได้เร็วขึ้น เพิ่มมูลค่าให้กับข้อเสนอต่างๆ
- กระบวนการ (Process) สร้างเนื้อหาแบบรายสัปดาห์ การทำ Presentation การนำเสนอ Proposal
- บุคลากร (People) เจ้าของธุรกิจและผู้ช่วยแบบฟรีแลนซ์
- แพลตฟอร์ม (Platform) Generative AI แบบ (Text-to-Text, Text-to-Image) รวมถึง Conversational AI
- ประสิทธิภาพ (Performance) เวลาที่ประหยัดได้ต่อชิ้นงาน เช่น
- เขียน Proposal ได้เร็วขึ้น 70%
- ปริมาณคอนเทนต์ที่ผลิตได้ต่อเดือน (เช่น จาก 4 โพสต์ เป็น 12 โพสต์)
- อัตราการมีส่วนร่วมของลูกค้าเพิ่มขึ้น
- เครื่องมือ (AI Tools)
- ChatGPT / Jasper สำหรับการสร้าง เขียนคอนเทนต์ และการเขียนอีเมล์
- Canva AI สำหรับการสร้างสรรค์ภาพ
- GPTs หรือ Claude เพื่อสร้างรายงานร่วมกับลูกค้า
- ผลลัพธ์ (Outcomes)
- เพิ่มการเผยแพร่คอนเทนต์ได้เป็น 3 เท่า
- ตอบอีเมล์และข้อสงสัยเบื้องต้นโดยอัตโนมัติ
- ปรับปรุงความพึงพอใจของลูกค้าผ่านเอกสาร ที่ส่งมอบได้อย่างรวดเร็วและชาญฉลาดมากขึ้น

2. ธุรกิจ FMCG (บริษัทขนาดกลาง – ใหญ่)
- ประเภทธุรกิจ – แบรนด์เครื่องดื่มออร์แกนิก
- วัตถุประสงค์ – ปรับปรุงแคมเปญการตลาดให้มีประสิทธิภาพสูงสุด วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า และลดอัตราการคืนสินค้า
- กรอบการทำงาน (5P Framework)
- เป้าหมาย (Purpose) ปรับโปรโมชั่นผลิตภัณฑ์ให้เป็นแบบเฉพาะบุคคล (Personalize) และเข้าใจความรู้สึกของลูกค้า
- กระบวนการ (Process) ออกแคมเปญผลิตภัณฑ์รายเดือน การมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดีย และการรวบรวมความคิดเห็น
- บุคลากร (People) ทีมการตลาด นักวิเคราะห์ดิจิทัล เอเจนซี
- แพลตฟอร์ม (Platform) Machine Learning + Generative AI + Text-to-Image
- ประสิทธิภาพ (Performance)
- อัตราการเปลี่ยนลูกค้าเป้าหมายจากแคมเปญต่างๆ (Conversion Rate)
- คะแนนความรู้สึกของลูกค้า (Customer Sentiment Score)
- การลดลงของอัตราการคืนสินค้าหรือข้อร้องเรียน
- เครื่องมือ (AI Tools)
- Google Vertex AI / Azure ML เพื่อใช้คาดการณ์พฤติกรรมการซื้อ
- Midjourney / Firefly เพื่อใช้สร้างภาพในการโปรโมทผลิตภัณฑ์
- ChatGPT + LangChain Agent เพื่อใช้วิเคราะห์รีวิวและข้อเสนอแนะต่างๆ
- ผลลัพธ์ (Outcomes)
- ลดต้นทุนในการสร้างสรรค์งานการตลาดลง 60%
- ปรับปรุงภาพบนหน้าผลิตภัณฑ์ด้วยเนื้อหาที่สร้างโดย AI
- เพิ่มจำนวนลูกค้าประจำจากข้อเสนอแบบส่วนบุคคล

3. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทธุรกิจ – ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย และทีมตัวแทนขายอสังหาฯ
- วัตถุประสงค์ – ปรับปรุงอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้าเป้าหมาย (Lead Conversion) และยกระดับประสบการณ์ลูกค้าในระหว่างการค้นหาอสังหาฯ
- กรอบการทำงาน (5P Framework)
- เป้าหมาย (Purpose) ปรับปรุงการจับคู่อสังหาฯให้คล่องตัว ตอบสนองเร็วขึ้น ทำการจองเพื่อเยี่ยมชมโดยอัตโนมัติ
- กระบวนการ (Process) ตั้งแต่ “รายการอสังหาฯออนไลน์” ไปสู่ “การถาม-ตอบผ่านแชทบอท” ไปสู่ “การจอง” ไปสู่ “การวิเคราะห์ข้อเสนอแนะ”
- บุคลากร (People) ทีมขาย ผู้จัดการรายการอสังหาฯ ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า
- แพลตฟอร์ม (Platform) Conversational AI + Agentic AI + Text-to-Image
- ประสิทธิภาพ (Performance)
- อัตราการจองต่อผู้เข้าชมเว็บไซต์
- เวลาที่ใช้ในการตอบสนองต่อข้อสงสัย
- การมีส่วนร่วมในการเยี่ยมชมอสังหาฯ แบบเสมือนจริงที่สร้างโดย AI
- เครื่องมือ (AI Tools)
- Custom GPT Chatbot เพื่อจัดการข้อสงสัยและคัดกรองลูกค้าเป้าหมาย
- Sora (OpenAI) เพื่อสร้างวิดีโอแบบทัวร์อสังหาฯเสมือนจริง
- AutoGPT เพื่อสร้างและส่งรายงานสรุปให้ตัวแทนขายอสังหาฯ
- DALL·E เพื่อสร้างภาพกราฟิกสำหรับใช้บนโซเชียลมีเดีย เพื่อนำเสนอจุดเด่นของรายการอสังหาริมทรัพย์
- ผลลัพธ์ (Outcomes)
- ลดเวลาตอบสนองจาก 6 ชั่วโมงเป็นแบบเรียลไทม์
- เพิ่มจำนวนการจองเพื่อเยี่ยมชมอสังหาฯ 45%
- ส่งเสริมการมีส่วนร่วมออนไลน์ผ่านการเล่าเรื่องด้วยภาพ

AI ไม่ใช่ไม้กายสิทธิ์ที่เสกได้ทุกอย่าง แต่เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ ที่จะช่วยให้ธุรกิจนำเอา AI มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และด้วยการทำความเข้าใจประเภทของ AI การใช้กรอบ 5P Framework รวมถึง การวิเคราะห์สถานการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริง ธุรกิจของคุณจะสามารถเลือก AI ที่เหมาะสมกับเป้าหมายที่ถูกต้องได้ ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจประเภทใดก็ตาม