A_Woman_Holding_Shopping_Bags

คุณเคยรู้สึกมีพลังหลังจากฟังคำพูดที่สร้างแรงบันดาลใจ หรือจู่ๆก็ร้องไห้ขึ้นมาเมื่อเห็นเพื่อนร้องไห้ ทั้งๆที่ตอนแรกคุณไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษเลยบ้างไหม โดยสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่แค่ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) เพียงอย่างเดียว แต่เป็นสิ่งที่ทรงพลังมากกว่านั้นและเป็นสิ่งเกิดขึ้นในจิตใต้สำนึก ซึ่งนั่นก็คือ โรคติดต่อทางอารมณ์ (Emotional Contagion)

ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยานี้มีบทบาทสำคัญ ไม่ใช่แค่ในปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงวิธีที่แบรนด์ต่างๆเชื่อมต่อกับลูกค้าด้วย การทำความเข้าใจเรื่องนี้จะช่วยให้นักการตลาดและนักสื่อ สารสามารถสร้างประสบการณ์ที่ลึกซึ้ง และส่งผลกระทบได้มากขึ้น ซึ่งเราจะมาเรียนรู้กันในบทความนี้กันครับ

Emotional Contagion คืออะไร

Emotional Contagion อาจเรียกได้ว่า คือ สภาพทางอารมณ์ โรคระบาดทางอารมณ์ หรือโรคติดต่อทางอารมณ์ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ผู้คน “รับ” อารมณ์จากคนอื่นๆโดยมักจะเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เปรียบเสมือนกับการที่เชื้อไวรัสที่เกิดการแพร่กระจายผ่านการสัมผัสต่างๆ โดยอารมณ์ก็สามารถส่งผ่านจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้ ผ่านการแสดงออกทางสีหน้า น้ำเสียง ภาษากาย และแม้แต่ข้อความที่เป็นลายลักษณ์อักษร

ปรากฏการณ์นี้ถูกตั้งชื่อโดยนักจิตวิทยาชื่อ Elaine Hatfield ในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้คนมักจะเลียนแบบอารมณ์ของคนอื่นๆ โดยอารมณ์ที่ถูกเลียนแบบเหล่านี้ สามารถส่งผลต่ออารมณ์ พฤติกรรม และการตัดสินใจได้ (ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว)

จิตวิทยาเบื้องหลัง Emotional Contagion

ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเป็นส่วนใหญ่ และมีที่มาจากเซลล์ประสาทกระจก (Mirror Neurons) ในสมองของเรา โดยเซลล์ประสาทเหล่านี้จะทำงานทั้งในตอนที่เราลงมือทำบางอย่าง และในตอนที่เราเห็นคนอื่นทำสิ่งเดียวกัน นั่นคือเหตุผลที่ทำไมการหาวถึงติดต่อกันได้ และทำไมเสียงหัวเราะในกลุ่ม ถึงแพร่กระจายได้อย่างง่ายดาย โดยหลักการทางจิตวิทยาที่สำคัญ คือ

  • การเลียนแบบ (Mimicry) – ผู้คนจะเลียนแบบการแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียงของผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว
  • ความสอดคล้องกัน (Synchronization) – สภาวะทางอารมณ์จะเริ่มปรับให้สอดคล้องกัน เมื่อแต่ละบุคคลมีปฏิสัมพันธ์กัน
  • วงจรป้อนกลับ (Feedback Loop) – การเลียนแบบจะเสริมสร้างอารมณ์ที่แบ่งปันร่วมกัน ทำให้ผลกระทบของอารมณ์นั้นเพิ่มมากขึ้น

โดยอารมณ์ของคุณที่เปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมต่างๆ เช่น

  • ในงานเลี้ยงฉลองงานแต่งงานที่เต็มไปด้วยความสุข คุณจะยิ้มแย้มและรู้สึกเบิกบานใจ
  • เมื่ออยู่ในสถานที่ทำงานที่ตึงเครียด คุณจะรู้สึกเครียดแม้จะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งนั้น

ปรากฏการณ์นี้ยังสามารถเกิดขึ้นได้ในระดับสังคมด้วย ตัวอย่างเช่น Social Media ได้เร่งการแพร่กระจายของอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความกลัว หรือความสุข ในวงกว้างมากขึ้น

A_Team_Looking_at_Social_Media_from_Laptop

Emotional Contagion กับการตลาด

โรคติดต่อทางอารมณ์ (Emotional Contagion) เป็นกลไกทางจิตวิทยาที่ทรงพลังในการตลาด ซึ่งส่งผลโดยเฉพาะในด้านต่างๆ ดังนี้

1. การโฆษณาที่กระตุ้นอารมณ์

โฆษณาที่ประสบความสำเร็จมักจะกระตุ้นอารมณ์ที่รุนแรง เช่น เสียงหัวเราะ ความประทับใจ ความคิดถึง หรือแม้แต่น้ำตา อารมณ์เหล่านี้สามารถ “ติดต่อ” ผ่านหน้าจอและเสียงได้ ส่งผลให้ผู้ชมรู้สึกแบบเดียวกัน และตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่างตาม เช่น บริจาค แชร์ หรือซื้อสินค้า ตัวอย่างเช่น โฆษณาประกันชีวิตของไทยขึ้นชื่อเรื่องการกระตุ้นอารมณ์เป็นอย่างมาก และมักจะกลายเป็นไวรัลเพราะกระตุ้นให้ผู้ชมหลั่งน้ำตา และรู้สึกอบอุ่นใจจนอดไม่ได้ที่จะต้องแชร์ต่อ

2. ผลกระทบจาก Influencer และ Celebrity

เมื่อผู้คนเห็นบุคคลที่พวกเขาชื่นชอบ รู้สึกตื่นเต้น หรือมีความสุขกับสินค้า พวกเขามักจะเลียนแบบอารมณ์เหล่านั้น โดยทั้งแบบรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ตัวอย่างเช่น วิดีโอแกะกล่องสินค้า (Unboxing) ที่แสดงความสุข และความกระตือรือร้นของ Influencer ที่น่าเชื่อถือ ก็สามารถสร้างความสุข และความต้องการในตัวผู้ชมได้ในทันที

3. การบริการลูกค้าและประสบการณ์กับแบรนด์

พนักงานที่ทำงานในส่วนที่ต้องติดต่อกับลูกค้า ซึ่งแสดงออกถึงความอบอุ่น ความกระตือรือร้น และความเห็นอกเห็นใจ สามารถยกระดับอารมณ์ของลูกค้า และสร้างปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ที่น่าจดจำได้ ตัวอย่างเช่น บาริสต้าที่ร่าเริงสามารถสร้างอารมณ์เชิงบวกให้กับลูกค้าตลอดทั้งวัน ทำให้เกิดความผูกพันกับแบรนด์ ที่มากกว่าแค่การขายกาแฟ

4. เนื้อหาที่สร้างโดยผู้ใช้งานและชุมชน

เนื้อหาที่สร้างโดยผู้ใช้งานหรือลูกค้า ที่เราเรียกกันว่า User-Generated Content (UGC) Link โพสต์เชิงบวกรวมถึงโพสต์ที่กระตุ้นอารมณ์จากชุมชนของแบรนด์ (Brand Community) Link สามารถสร้างผลกระทบแบบลูกโซ่ ในการแบ่งปันอารมณ์และความน่าเชื่อถือทางสังคมได้ ตัวอย่างเช่น เรื่องราวที่น่าประทับใจจากลูกค้า เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เปลี่ยนชีวิตของพวกเขา สามารถสร้างแรงบันดาลใจทางอารมณ์ให้กับคนอื่นๆ ทำให้พวกเขาอยากมีส่วนร่วมหรือซื้อสินค้าตาม


อารมณ์ไม่ใช่แค่สิ่งที่รู้สึกได้เท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่สามารถแบ่งปันกันได้ ซึ่งปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์นั้นจะเป็นแรงขับเคลื่อนความสำเร็จของแบรนด์ โรคติดต่อทางอารมณ์ (Emotional Contagion) จึงไม่ใช่แค่ปรากฏการณ์แต่ถือเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ และเมื่อนำไปใช้อย่างถูกวิธี จะสามารถเปลี่ยนการสื่อสารธรรมดา ให้กลายเป็นประสบการณ์ที่เข้าถึงความเป็นมนุษย์ ได้อย่างลึกซึ้งและน่าจดจำนั่นเอง



หากข้อมูลและบทความต่างๆบนเว็บไซต์นี้ ทำให้คุณได้มุมมองใหม่ๆ หรือแรงบันดาลใจในการสร้างแบรนด์ การตลาด หรือการสื่อสารมากขึ้น และอยากต่อยอดความเข้าใจเหล่านี้ให้ลึกซึ้งขึ้นอีกขั้น ก็สามารถพูดคุยหรือขอคำปรึกษากับผมได้โดยตรงครับ ไม่ว่าจะเป็นการให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ การสอนแบบ Workshop หรือการบรรยายสำหรับทีมและองค์กร ผมยินดีแบ่งปันประสบการณ์จริงจากการทำงาน งานสอน และงานที่ปรึกษา เพื่อช่วยให้คุณหรือทีมของคุณเติบโตอย่างมีทิศทาง และเข้าใจ “หัวใจของแบรนด์และการตลาด” อย่างแท้จริง

📩 Email: thepopticles@gmail.com
📞 โทร / Line ID: 0829151594


Share to friends


Related Posts

จิตวิทยาและการตลาดด้วย Fluency Effect ยิ่งเข้าใจง่าย ยิ่งดูน่าเชื่อถือและขายได้ดี

คุณเคยอ่านสโลแกน ฟังเพลงโฆษณา หรือเห็นข้อความจากแบรนด์ แล้วทำการ “คลิก” ในทันทีหรือไม่ นั่นก็มีสาเหตุมาจากการที่คุณเข้าใจมัน คุณจดจำมันได้ และไม่ว่าคุณจะรู้ตัวหรือไม่ คุณก็เชื่อมั่นในสิ่งๆนั้นไปแล้ว และนี่อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือผลจากการคิดอย่างมีเหตุผลของคุณ แต่มันเป็นพลังของปรากฏการณ์ของ “ความคล่องแคล่ว” ที่กำลังทำงานอยู่นั่นเอง ในบทความนี้ผมจะพาผู้อ่านมารู้จัก ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่น่าสนใจนี้ ที่ชื่อ “Fluency Effect”


จิตวิทยาและการตลาดกับ Anxiety and Uncertainty เมื่อความกังวลใจส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า

คุณเคย “ลังเล” ก่อนที่จะกดปุ่ม “ซื้อเลย” บ้างไหม ทั้งๆที่คุณเองก็ต้องการสินค้านั้นเป็นอย่างมาก หรือบางครั้งก็ดันเปลี่ยนใจในช่วงตอนกำลังจะชำระเงิน ทั้งๆที่คุณเองก็ใช้เวลาเปรียบเทียบและดูรีวิวมานาน ซึ่งมันเป็นความรู้สึกตึงเครียดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง ที่ไม่ใช่ความตึงเครียดในเรื่องของราคาหรือคุณค่า แต่เป็นเรื่องของ “ความกังวล” (Anxiety) และ “ความไม่แน่นอน” (Uncertainty)


จิตวิทยาและการตลาดกับ The IKEA Effect เมื่อสิ่งที่เราลงมือทำเองดูมีค่ามากขึ้น

ทำไมบางครั้งเราถึงได้รักสิ่งที่เราทุ่มเทสร้างขึ้นมา แม้ว่ามันอาจจะไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม ความผูกพันทางอารมณ์นี้สามารถอธิบายได้ด้วย “ปรากฏการณ์อิเกีย” (The IKEA Effect) ซึ่งเป็นหนึ่งในอคติทางพฤติกรรม ที่ทำให้ผู้คนให้คุณค่ากับผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาสร้างขึ้นเองบางส่วนสูงกว่า ปรากฏการณ์นี้ตั้งชื่อตามบริษัทชื่อดังอย่าง IKEA ซึ่งจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ที่ประกอบเองได้ ที่แสดงให้เห็นแล้วว่าความพยายาม



triangle
copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์