
คำค้นหาหลักหรือ Keywords คือ รากฐานของการทำ Search Engine Optimization (SEO) ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยให้เนื้อหาของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมในเวลาที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม คำค้นหาไม่ได้มีบทบาทเหมือนกันทั้งหมด บางคำดึงดูดกลุ่มเป้าหมายขนาดใหญ่ ในขณะที่บางคำมุ่งเป้าหมายไปยังกลุ่มเฉพาะหรือกระตุ้นการซื้อทันที การจะประสบความสำเร็จใน SEO คุณจำเป็นต้องเข้าใจประเภทของคำค้นหา ความสำคัญ และวิธีการใช้อย่างถูกต้อง เรามาเรียนรู้ประเภทของ Keywords และข้อดีข้อเสียในบทความนี้กันครับ

1. คีย์เวิร์ดแบบสั้น (Short-Tail Keywords)
Keywords แบบสั้นหรือที่เรียกว่า Short-Tail Keywords เป็นคำค้นหาที่กว้างและเป็นคำทั่วไป โดยมักมีเพียง 1-2 คำ ตัวอย่างเช่น “แล็ปท็อป” “รองเท้า” “การตลาดดิจิทัล” “กาแฟ” “รถยนต์” โดยลักษณะสำคัญของ Short-Tail Keywords คือ ปริมาณการค้นหาสูง (High Search Volume) เนื่องจากเป็นคำที่มีความหมายกว้าง และถูกใช้งานโดยผู้คนจำนวนมาก ที่มีความสนใจในหัวข้อนั้นๆในระดับเบื้องต้น แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ความหมายกว้างนี้เอง ทำให้ความตั้งใจในการค้นหา (Search Intent) ของผู้ที่ใช้ Short-Tail Keywords มีความหลากหลายและไม่เจาะจง ผู้ค้นหาอาจต้องการข้อมูลพื้นฐาน ต้องการซื้อสินค้า ต้องการหาบริการ หรือเพียงแค่ต้องการทราบความหมายของคำนั้นๆ ก็เป็นได้
ข้อดีของ Short-Tail Keywords
- มีปริมาณการค้นหาสูงสามารถดึงดูด Traffic จำนวนมาก
- เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้าง สร้างการรับรู้ในตัวแบรนด์ได้ดี
- เหมาะสำหรับการสร้างความน่าเชื่อถือของแบรนด์
ข้อเสียของ Short-Tail Keywords
- มีการแข่งขันสูงจึงทำให้การไต่อันดับยากขึ้น
- เป็น Keywords ที่ไม่เฉพาะเจาะจง อาจทำให้เกิด Conversion Rate ต่ำ
- มีต้นทุนต่อคลิกหรือ Cost-Per-Click (CPC) ค่อนข้างสูง

2. คีย์เวิร์ดแบบยาว (Long-Tail Keywords)
Keywords แบบยาว (Long-Tail Keywords) คือ คำค้นหาที่ยาวและมีความเฉพาะเจาะจงมากกว่า โดยทั่วไปมักประกอบด้วย 3 คำขึ้นไป ที่แสดงถึงความต้องการหรือบริบทที่เฉพาะเจาะจงของผู้ค้นหาอย่างชัดเจน ผู้ใช้งานมักใช้ Keywords เหล่านี้เมื่ออยู่ในช่วงปลายของการค้นหาและมีเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น เช่น “รองเท้าวิ่งผู้ชายสำหรับคนเท้าแบน” “รองเท้าวิ่งสำหรับวิ่งบนถนน” “ซื้อรองเท้าวิ่งลดราคาไซส์ 42”
ข้อดีของ Long-Tail Keywords
- มีการแข่งขันต่ำกว่าทำให้ติดอันดับง่ายขึ้น
- มี Conversion Rate ค่อนข้างสูง เพราะตรงกับความต้องการของผู้ค้นหา
- มีต้นทุนต่อคลิกหรือ Cost-Per-Click (CPC) ค่อนข้างต่ำกว่า Keywords แบบสั้น
ข้อเสียของ Long-Tail Keywords
- มีปริมาณการค้นหาน้อยกว่า Keywords แบบสั้น
- ต้องสร้างเนื้อหาที่ละเอียดมากขึ้นเพื่อรองรับ Keywords หลายแบบ
- การค้นหาและระบุ Long-Tail Keywords ที่เกี่ยวข้องอาจต้องใช้เวลา และความเข้าใจในกลุ่มเป้าหมาย

3. คีย์เวิร์ดที่มีชื่อแบรนด์ (Branded Keywords)
Keywords ที่มีชื่อแบรนด์ (Branded Keywords) คือ คำค้นหาที่ผู้ใช้งานป้อนเข้าไปโดยมีชื่อแบรนด์ ชื่อผลิตภัณฑ์ หรือชื่อของธุรกิจนั้นๆรวมอยู่ด้วยอย่างชัดเจน Keywords เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ผู้ค้นหามีความคุ้นเคยหรือรู้จักกับแบรนด์นั้นๆอยู่แล้ว และกำลังมองหาข้อมูล ผลิตภัณฑ์ หรือบริการ ที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์นั้นโดยเฉพาะ โดยผู้ค้นหา “มีความตั้งใจที่ชัดเจนในการติดต่อหรือค้นหาข้อมูล เกี่ยวกับธุรกิจของคุณโดยตรง” พวกเขาอาจเป็นลูกค้าปัจจุบัน ลูกค้าเก่าที่ต้องการกลับมาซื้อซ้ำ หรือผู้ที่เคยได้ยินชื่อแบรนด์ของคุณมาบ้าง และต้องการข้อมูลเพิ่มเติม เช่น “iPhone 15”, “Samsung Galaxy S24 Ultra” “Agoda จองโรงแรม” “Lazada โปรโมชั่นวันนี้”
ข้อดีของ Branded Keywords
- ความตั้งใจในการค้นหาสูงมาก เพราะมีความต้องการที่ชัดเจนในการหาข้อมูล หรือทำธุรกรรมกับแบรนด์นั้นๆโดยตรง
- มีแนวโน้มสูงที่ผู้เข้าชมที่มาจาก Keywords เหล่านี้จะกลายเป็นลูกค้า
- ปริมาณการค้นหา Branded Keywords สามารถบ่งบอกถึงความนิยมและการจดจำในตัวแบรนด์
- มีต้นทุนต่อคลิกหรือ Cost-Per-Click (CPC) ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากการแข่งขันสำหรับ Branded Keywords มักต่ำกว่า Keywords ทั่วไป
- ช่วยป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามาปรากฏตัวในผลการค้นหา เมื่อมีคนค้นหาชื่อแบรนด์ของคุณโดยตรง
ข้อเสียของ Branded Keywords
- จำกัดกลุ่มเป้าหมายเฉพาะคนที่รู้จักแบรนด์เท่านั้น
- Keywords เหล่านี้ไม่ช่วยในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ที่ไม่เคยรู้จักแบรนด์ของคุณมาก่อน
- หากเว็บไซต์ของคุณไม่อยู่ในอันดับต้นๆ อาจทำให้ลูกค้าเกิดความสงสัย หรือไปหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆแทน

4. คีย์เวิร์ดเชิงบริบท (LSI Keywords – Latent Semantic Indexing)
Keywords เชิงบริบท (LSI Keywords) หรือคำหลักแฝงเชิงความหมาย คือ คำและวลีที่มีความเกี่ยวข้องทางความหมายกับหัวข้อหลักหรือ Keywords หลักของคุณ แม้ว่าคำเหล่านี้อาจจะไม่ใช่คำเดียวกันกับ Keywords หลักโดยตรง แต่มีความเชื่อมโยงทางความหมายที่ใกล้เคียง สนับสนุน หรือขยายความเข้าใจในหัวข้อนั้นๆ สมมติว่า Keywords หลักของคุณคือคำว่า “กาแฟสด” LSI Keywords ที่เกี่ยวข้องอาจเป็น “กาแฟคั่ว” “เมล็ดกาแฟอาราบิก้า” “เครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซ่” “ร้านกาแฟบรรยากาศดี”
ข้อดีของ LSI Keywords
- ช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจว่าเนื้อหาของคุณ มีความเกี่ยวข้องกับหัวข้อหลักอย่างแท้จริง และครอบคลุมในหลายแง่มุม ไม่ใช่แค่การใช้ Keywords หลักซ้ำๆเพียงอย่างเดียว
- ทำให้เนื้อหาดูเป็นธรรมชาติ น่าอ่าน และหลีกเลี่ยงการใช้คำเดิมๆซ้ำซาก ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็น “Keyword Stuffing”
- เนื้อหาที่เกี่ยวข้องและครอบคลุมมักจะได้รับการจัดอันดับที่ดี เนื่องจากเครื่องมือค้นหาจะมองว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่สมบูรณ์สำหรับผู้ใช้งาน
- ช่วยให้เข้าถึงผู้ที่ค้นหาด้วยคำศัพท์ที่แตกต่างกัน แต่มีความสนใจในหัวข้อเดียวกัน ทำให้มีโอกาสได้ผู้เข้าชมที่กว้างมากขึ้น
- ทำให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเจตนาและความหมายของเนื้อหาได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และช่วยให้จับคู่เนื้อหากับคำค้นหาของผู้ใช้งานได้อย่างแม่นยำ
- นอกเหนือจาก Keywords หลักแล้วยังมีโอกาสที่เนื้อหาของคุณ จะติดอันดับสำหรับคำที่เกี่ยวข้องอื่นๆที่คุณใช้อีกด้วย
- การพิจารณาและใช้ LSI Keywords มักนำไปสู่การสร้างเนื้อหาที่ละเอียดรอบด้าน และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากขึ้นแก่ผู้อ่าน
ข้อเสียของ LSI Keywords
- การระบุ LSI Keywords ที่เกี่ยวข้องและเหมาะสม อาจต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์มากขึ้น
- การยัดเยียดใช้ LSI Keywords โดยไม่เป็นธรรมชาติ หรือไม่สอดคล้องกับบริบทของเนื้อหา อาจไม่ได้ช่วยปรับปรุง SEO และอาจทำให้เนื้อหาอ่านยากขึ้น
- บางครั้งมีการเข้าใจผิดว่า LSI Keywords คือ คำที่มีความหมายเหมือนกัน (Synonyms) ทั้งหมด ซึ่งไม่ถูกต้องเพราะ LSI เน้นที่ความเกี่ยวข้องทางความหมายในบริบทนั้นๆ
- เครื่องมือที่ช่วยค้นหา LSI Keywords อาจให้คำแนะนำ ที่ไม่ตรงกับบริบทของเนื้อหาของคุณเสมอไป ดังนั้นคุณต้องมีการพิจารณาและคัดเลือกด้วยตนเอง
- การเพิ่มคำที่เกี่ยวข้องอาจทำให้เนื้อหามีความยาวมากขึ้น ซึ่งอาจไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใช้งานทุกคนต้องการ
- การใช้ LSI Keywords เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในการทำ SEO และไม่มีการรับประกันว่าจะส่งผลให้อันดับดีขึ้นเสมอไป

5. คีย์เวิร์ดตามพื้นที่ (Geo-Targeted Keywords)
Keywords ตามพื้นที่ (Geo-Targeted Keywords) หรือคำหลักระบุพื้นที่ คือ คำค้นหาที่ผู้ใช้งานป้อนเข้าไปในเครื่องมือค้นหา โดยมีการระบุชื่อสถานที่ทางภูมิศาสตร์ (Location) รวมอยู่ด้วยอย่างชัดเจน จุดประสงค์หลักของการใช้ Keywords เหล่านี้ คือ การค้นหาข้อมูลสินค้าหรือบริการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งโดยเฉพาะ ผู้ใช้งานมักจะใช้ Keywords ตามพื้นที่เมื่อพวกเขามีความต้องการที่เกี่ยวข้องกับสถานที่นั้นๆในทันที เช่น “ร้านอาหารใกล้บ้าน” “โรงแรม สุขุมวิท ราคาถูก” “อสังหาริมทรัพย์ในพัทยาติดทะเล” “ร้านกาแฟบรรยากาศดี แถวทองหล่อ”
ข้อดีของ Geo-Targeted Keywords
- ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงผู้ที่กำลังมองหาสินค้าหรือบริการ ในพื้นที่ที่ธุรกิจให้บริการได้อย่างแม่นยำ ทำให้มีโอกาสในการดึงดูดลูกค้าที่มีศักยภาพสูงขึ้น
- ผู้ที่ค้นหาด้วย Geo-Targeted Keywords มีความตั้งใจที่จะใช้บริการหรือซื้อสินค้าในบริเวณนั้น ทำให้มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นลูกค้าจริงมากขึ้น
- ช่วยให้ธุรกิจท้องถิ่นสามารถแข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่ หรือธุรกิจออนไลน์ที่ไม่เจาะจงพื้นที่ได้ง่ายขึ้น
- เป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้ธุรกิจของคุณ ปรากฏในการค้นหาบน Google Maps และ Google Local Pack
- หากใช้ในการทำโฆษณาออนไลน์ การระบุพื้นที่ช่วยให้โฆษณาแสดงผลต่อผู้ที่อยู่ในบริเวณที่เกี่ยวข้อง ทำให้งบประมาณโฆษณามีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ช่วยให้สามารถติดตามประสิทธิภาพของการตลาดในแต่ละพื้นที่ได้อย่างชัดเจน และปรับปรุงกลยุทธ์ให้เหมาะสม
- การเน้นพื้นที่ช่วยให้ธุรกิจสร้างความเชื่อมโยง และความน่าเชื่อถือกับผู้คนในชุมชนได้ง่ายขึ้น
ข้อเสียของ Geo-Targeted Keywords
- Geo-Targeted Keyword มักจะมีปริมาณการค้นหาน้อยกว่า Keywords ทั่วไปที่ไม่ระบุพื้นที่
- การเลือกพื้นที่เป้าหมายที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้พลาดโอกาสทางธุรกิจได้
- เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี อาจจำเป็นต้องสร้างเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงสำหรับแต่ละพื้นที่เป้าหมาย ซึ่งอาจต้องใช้เวลาและความพยายามมากขึ้น
- หากธุรกิจให้บริการในหลายพื้นที่ การจัดการ Keywords และเนื้อหาสำหรับแต่ละพื้นที่ อาจมีความซับซ้อนและต้องใช้ทรัพยากรมากขึ้น
- สำหรับ Keywords อย่างคำว่า “ใกล้ฉัน” ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับความแม่นยำของการระบุตำแหน่งของผู้ใช้ ซึ่งอาจไม่ถูกต้องเสมอไป
- แม้ว่าจะลดการแข่งขันกับธุรกิจทั่วประเทศ แต่การแข่งขันกับธุรกิจอื่นๆในพื้นที่เดียวกันอาจยังคงสูงอยู่
- ผู้ที่กำลังมองหาข้อมูลหรือบริการในพื้นที่ของคุณ แต่อาจไม่ได้ระบุชื่อสถานที่ในคำค้นหา ก็อาจไม่พบธุรกิจของคุณจนพลาดโอกาสได้

6. คีย์เวิร์ดตามฤดูกาล (Seasonal Keywords)
Keywords ตามฤดูกาล (Seasonal Keywords) คือ คำค้นหาที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของปี โดยความนิยมนี้มักจะสัมพันธ์กับเทศกาล วันหยุด ฤดูกาลทางสภาพอากาศ หรือเหตุการณ์ประจำปี และเมื่อช่วงเวลานั้นๆผ่านไป ความนิยมของ Keywords เหล่านี้ก็จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น “ของขวัญปีใหม่” “ชุดตรุษจีน” “โปรโมชั่นวันวาเลนไทน์” “เสื้อกันหนาวผู้หญิง” “ที่เที่ยวสงกรานต์”
ข้อดีของ Seasonal Keywords
- ช่วยให้เว็บไซต์ได้ Traffic ผู้เข้าชมจำนวนมากในช่วงที่ Keywords นั้นๆกำลังเป็นที่นิยม
- หากธุรกิจของคุณเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการตามฤดูกาล การใช้ Keywords เหล่านี้จะช่วยดึงดูดลูกค้าที่มีความต้องการซื้อสูง
- การนำเสนอคอนเทนต์และโปรโมชั่นที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลหรือฤดูกาล สามารถสร้างความน่าสนใจให้กับผู้เข้าชมได้
- เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี ธุรกิจสามารถวางแผนการสร้างคอนเทนต์ และแคมเปญการตลาดล่วงหน้าได้
- ผู้ที่ค้นหาด้วย Seasonal Keywords มักจะมีความต้องการที่เฉพาะเจาะจงในช่วงเวลานั้นๆ
ข้อเสียของ Seasonal Keywords
- ปริมาณการค้นหาจะสูงในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น และจะลดลงอย่างมากเมื่อหมดฤดูกาลนั้นๆ
- หากไม่เตรียมคอนเทนต์หรือแคมเปญให้พร้อม ก่อนถึงช่วงเวลาที่ Keywords ได้รับความนิยม ก็อาจพลาดโอกาสดีๆไปได้
- ในช่วงที่ Keywords ได้รับความนิยมสูงสุด การแข่งขันเพื่อให้ติดอันดับในผลการค้นหาก็อาจสูงขึ้นตามไปด้วย
- คอนเทนต์ที่สร้างขึ้นสำหรับฤดูกาลหนึ่ง ก็อาจจะไม่เกี่ยวข้องหรือจำเป็นได้ ซึ่งต้องปรับปรุงเมื่อถึงฤดูกาลถัดไป
- ความนิยมของ Seasonal Keywords อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปี ดังนั้นจึงต้องมีการติดตามและปรับปรุงกลยุทธ์อยู่เสมอ
- หากธุรกิจของคุณขายสินค้าตามฤดูกาล คุณต้องวางแผนการจัดเก็บสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการ

7. คีย์เวิร์ดเชิงธุรกรรม (Transactional Keywords)
Keywords เชิงธุรกรรม (Transactional Keywords) คือ คำค้นหาที่ผู้ใช้งานป้อนเข้าไปในเครื่องมือค้นหา โดยมีเจตนาหลัก คือ การดำเนินการบางอย่างให้เสร็จสิ้น ซึ่งส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับการซื้อสินค้าหรือบริการ ผู้ที่ใช้ Keywords เหล่านี้มักจะอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการตัดสินใจ และมีความตั้งใจที่จะทำธุรกรรมนั้นให้สำเร็จ เช่น “ซื้อ” “สมัคร” “จอง” “ดาวน์โหลด” “ซื้อ iPhone 15 Pro Max ราคาถูก” “สมัครเน็ตบ้าน AIS ไฟเบอร์” “ส่วนลดโรงแรม 5 ดาว ในกรุงเทพฯ”
ข้อดีของ Transactional Keywords
- ช่วยให้เข้าใจความต้องการของลูกค้าในเชิงลึก โดยเผยให้เห็นถึงสิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญ เช่น ราคา ส่วนลด รุ่นเฉพาะ หรือบริการเสริม ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีค่าสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์การตลาด
- ดึงดูดผู้ที่มีความตั้งใจซื้อสูงและพร้อมที่จะทำธุรกรรมต่างๆ ทำให้มีโอกาสในการเพิ่มยอดขายและรายได้โดยตรง
- ผู้เข้าชมที่มาจาก Keywords เหล่านี้มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นลูกค้า สมัครสมาชิก หรือดำเนินการตามเป้าหมายทางธุรกิจมากกว่า Keywords ประเภทอื่น
- เนื่องจาก Keywords เหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การทำธุรกรรม ทำให้ง่ายต่อการติดตามและวัดผลลัพธ์แคมเปญการตลาดและการคำนวณ ROI
- การใช้ Transactional Keywords ในการทำโฆษณาแบบ Pay-Per-Click (PPC) จะช่วยให้โฆษณาแสดงผลต่อกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสเป็นลูกค้าสูง ทำให้งบประมาณโฆษณามีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดต้นทุนต่อการได้มาซึ่งลูกค้า หรือ Cost-Per-Aquisition (CPA)
- ช่วยให้เข้าใจว่าผู้ที่มีความตั้งใจจะซื้อสินค้า ต้องการข้อมูลอะไรบนหน้า Landing Page และสามารถปรับปรุงเนื้อหาหรือคำพูดที่ใช้ เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจ (Call-to-Action)
ข้อเสียของ Transactional Keywords
- เนื่องจากมีความเฉพาะเจาะจงสูง Transactional Keywords มักจะมีปริมาณการค้นหาน้อยกว่า Keywords แบบกว้างๆหรือ Keywords เชิงให้ข้อมูล
- การค้นหาและระบุ Transactional Keywords ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าและธุรกิจ อาจต้องมีการค้นคว้าและวิเคราะห์อย่างละเอียด
- เพื่อตอบสนองความตั้งใจของผู้ค้นหา อาจต้องสร้างหน้าผลิตภัณฑ์ หน้าโปรโมชั่น หรือเนื้อหาเปรียบเทียบสินค้าขึ้นมาโดยเฉพาะ
- เนื่องจากมุ่งเน้นไปที่ผู้ที่มีความตั้งใจซื้อแล้ว ก็อาจไม่ช่วยในการดึงดูดผู้ที่ยังไม่รู้จักแบรนด์ของคุณ
- เนื่องจากเป็น Keywords ที่มีมูลค่าสูงและนำไปสู่ Conversion ได้ดี Cost-Per-Click (CPC) ในการทำโฆษณาสำหรับ Keywords เหล่านี้อาจสูงกว่า Keywords ประเภทอื่นๆ

8. คีย์เวิร์ดเชิงให้ข้อมูล (Informational Keywords)
Keywords เชิงให้ข้อมูล (Informational Keywords) คือ คำค้นหาที่มีเจตนาหลักคือการเรียนรู้ ทำความเข้าใจ หรือค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง ผู้ที่ใช้ Keywords เหล่านี้มักจะอยู่ในขั้นตอนแรกๆของกระบวนการตัดสินใจ หรือเพียงแค่ต้องการหาคำตอบ วิธีการ ความหมาย หรือข้อเท็จจริง เกี่ยวกับเรื่องที่พวกเขาสนใจ Informational Keywords บ่งบอกถึงความต้องการที่จะได้รับความรู้ แก้ปัญหาเบื้องต้นด้วยตนเอง หรือทำความเข้าใจในภาพรวมของหัวข้อนั้นๆ โดยที่ผู้ค้นหาอาจจะยังไม่มีความตั้งใจที่จะซื้อสินค้าหรือบริการในทันที เช่น “อะไรคือปัญญาประดิษฐ์” “ความหมายของคำว่า Blockchain” “ข้อดีข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้า” “คู่มือการใช้งานโปรแกรม Photoshop เบื้องต้น”
ข้อดีของ Informational Keywords
- เนื่องจากผู้คนมักจะเริ่มต้นการค้นหาด้วยคำถามหรือหัวข้อทั่วไป Informational Keywords จึงมีปริมาณการค้นหาสูง ที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมี Traffic มากขึ้น
- การให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และมีคุณภาพสูง ช่วยสร้างความไว้วางใจและความเชี่ยวชาญในสายตาของผู้เข้าชม ทำให้แบรนด์ของคุณเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือในหัวข้อนั้นๆได้
- ถึงแม้ว่าผู้เข้าชมจะยังไม่พร้อมซื้อในทันที แต่การนำเสนอเนื้อที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการเชิญชวนให้สมัครรับข่าวสารหรือดาวน์โหลดเอกสารต่างๆ ก็สามารถช่วยในการเก็บข้อมูล และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในอนาคต กลายเป็นโอกาสในการสร้าง Lead Generation
ในระยะยาวได้
- คำค้นหาด้วยเสียงส่วนใหญ่มักจะเป็นประโยคคำถาม ซึ่งตรงกับลักษณะของ Transactional Keywords ทำให้คุณสามารถเข้าถึงผู้ใช้งานที่ค้นหาด้วยวิธีนี้ได้
- การสร้างคอนเทนต์ลักษณะการตอบคำถามและให้ข้อมูลที่ผู้คนต้องการ จะช่วยเพิ่มความเกี่ยวข้องของเว็บไซต์กับหัวข้อต่างๆ และส่งผลดีต่ออันดับ SEO ในระยะยาว
- เป็นรากฐานสำคัญของการทำ Content Marketing ที่มีคุณค่าและดึงดูดใจ
- การวิเคราะห์ Transactional Keywords ช่วยให้เข้าใจว่าผู้คนสนใจอะไร กำลังมองหาข้อมูลอะไร และมีปัญหาอะไร ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีค่าสำหรับการวางแผนคอนเทนต์และผลิตภัณฑ์ในอนาคต
ข้อเสียของ Informational Keywords
- ผู้ที่ค้นหาด้วย Keywords เหล่านี้มักจะยังอยู่ในขั้นตอนการหาข้อมูล และอาจยังไม่พร้อมที่จะซื้อสินค้าหรือบริการในทันที
- การสร้างความน่าเชื่อถือและนำผู้เข้าชมเหล่านี้ไปสู่การเป็นลูกค้า ต้องอาศัยการสร้างความสัมพันธ์และการนำเสนอคุณค่าอย่างต่อเนื่อง
- หัวข้อที่เป็นที่นิยมและมีผู้สนใจจำนวนมาก มักจะมีการแข่งขันสูงในการสร้างคอนเทนต์เชิงให้ข้อมูล
- เพื่อให้ได้รับการจัดอันดับที่ดีและสร้างความน่าเชื่อถือ คอนเทนต์เชิงให้ข้อมูลต้องมีความถูกต้อง แม่นยำ ครอบคลุม และนำเสนอในรูปแบบของคอนเทนต์ที่น่าสนใจ
- ข้อมูลและความรู้ต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบ และปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัยอยู่เสมอ
- การวัดผลกระทบของ Informational Keywords ต่อยอดขายโดยตรง อาจทำได้ยากกว่า Transactional Keywords


สรุปการนำไปประยุกต์ใช้ของ Keywords แต่ละประเภท
1. คีย์เวิร์ดแบบสั้น (Short-Tail Keywords)
- เป้าหมาย – สร้างการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง ดึงดูดผู้เข้าชมจำนวนมากในหัวข้อหลัก
- การนำไปใช้ – ใช้เป็นต้นแบบในการระบุหัวข้อหลักของเนื้อหา เหมาะสำหรับหน้าแรกหรือหน้าภาพรวมของเว็บไซต์ สามารถใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มตลาด และความสนใจของผู้คนในภาพรวม และอาจใช้ในการทำโฆษณาเพื่อสร้างการรับรู้ (แต่อาจมี Conversion ต่ำ)
2. คีย์เวิร์ดแบบยาว (Long-Tail Keywords)
- เป้าหมาย – ดึงดูดผู้เข้าชมที่มีความตั้งใจโดยเฉพาะเจาะจง เพิ่ม Conversion Rate และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแบบ Niche
- การนำไปใช้ – ใช้สร้างคอนเทนต์ประเภทบทความ (Blogs) บล็อกโพสต์ (Blog Posts) หน้า FAQ หรือหน้าผลิตภัณฑ์/บริการที่มีรายละเอียดเฉพาะเจาะจง ใช้ในการทำโฆษณาที่เน้นกลุ่มเป้าหมายแบะเฉพาะ และมี Conversion สูง
3. คีย์เวิร์ดที่มีชื่อแบรนด์ (Branded Keywords)
- เป้าหมาย – อำนวยความสะดวกให้ผู้ที่รู้จักแบรนด์เข้าถึงเว็บไซต์ ควบคุมผลการค้นหาสำหรับชื่อแบรนด์ และวัดความแข็งแกร่งของแบรนด์
- การนำไปใช้ – ตรวจสอบและปรับปรุงอันดับเว็บไซต์ ใช้ในการทำโฆษณาเพื่อป้องกันคู่แข่งและนำผู้ที่สนใจแบรนด์ไปยังเว็บไซต์โดยตรง รวมถึงติดตามปริมาณการค้นหาเพื่อวัดความนิยมของแบรนด์
4. คีย์เวิร์ดเชิงบริบท (LSI Keywords – Latent Semantic Indexing)
- เป้าหมาย – เสริมความเกี่ยวข้องและความครอบคลุมของเนื้อหา เพิ่มความหลากหลายของคำศัพท์ ช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจบริบทและปรับปรุงอันดับ SEO โดยรวม
- การนำไปใช้ – ใช้ร่วมกับ Keywords หลักในการสร้างคอนเทนต์ประเภทบทความ (Blogs) บล็อกโพสต์ (Blog Posts) และหน้าเว็บไซต์ต่างๆอย่างเป็นธรรมชาติ และช่วยในการวางแผนโครงสร้างคอนเทนต์ให้ครอบคลุมหัวข้อหลักในหลายแง่มุม
5. คีย์เวิร์ดตามพื้นที่ (Geo-Targeted Keywords)
- เป้าหมาย – เข้าถึงลูกค้าในพื้นที่ให้บริการ เพิ่มโอกาสในการเกิด Conversion สำหรับธุรกิจท้องถิ่น และปรับปรุง Local SEO
- การนำไปใช้ – ใช้ในเนื้อหาเว็บไซต์ (เช่น หน้าติดต่อเรา) บล็อกโพสต์ (Blog Posts) การปรับแต่ง Google Business Profile และใช้ในการทำโฆษณาที่กำหนดเป้าหมายตามพื้นที่
6. คีย์เวิร์ดตามฤดูกาล (Seasonal Keywords)
- เป้าหมาย – ดึงดูดผู้เข้าชมในช่วงเวลาที่กำหนด เพิ่มยอดขายสินค้า/บริการตามเทศกาล และสร้างความสนใจในช่วงเวลาพิเศษ
- การนำไปใช้ – วางแผนและสร้างคอนเทนต์ล่วงหน้าสำหรับเทศกาลและฤดูกาลต่างๆ ปรับปรุงโปรโมชั่นและแคมเปญการตลาดให้สอดคล้องกับช่วงเวลา ตรวจสอบแนวโน้มความนิยมของ Keywords ในแต่ละปี
7. คีย์เวิร์ดเชิงธุรกรรม (Transactional Keywords)
- เป้าหมาย – ดึงดูดผู้ที่มีความตั้งใจซื้อสูง เพิ่ม Conversion Rate วัดผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้ชัดเจน
- การนำไปใช้ – ใช้ในหน้าผลิตภัณฑ์/บริการ หน้าสั่งซื้อ หน้าโปรโมชั่น ใช้ในการทำโฆษณาที่เน้นการขายโดยตรง รวมถึงปรับปรุงหน้า Landing Page ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ซื้อ
8. คีย์เวิร์ดเชิงให้ข้อมูล (Informational Keywords)
- เป้าหมาย – ดึงดูดผู้เข้าชมจำนวนมากในช่วงเริ่มต้นของ Customer Journey สร้างความน่าเชื่อถือและความเชี่ยวชาญ และสร้าง Lead Generation ในระยะยาว
- การนำไปใช้ – บล็อกโพสต์ (Blog Posts) บทความให้ความรู้ (Knowledge Content) หน้า FAQ คู่มือ (Manual) คอนเทนต์ประเภท How-to และใช้เพื่อตอบคำถาม รวมถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้งาน
การใช้ Keywords ที่เหมาะสมในการทำ SEO เป็นสิ่งสำคัญต่อการดึงดูดให้เกิด Traffic การติดอันดับการค้นหา และช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมจากผู้ชมได้ เว็บไซต์ที่ประสบความสำเร็จควรใช้ Keywords หลายประเภทร่วมกัน ที่ต้องศึกษาพฤติกรรมการค้นหาและวางกลยุทธ์ SEO อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างความได้เปรียบบนโลกดิจิทัลนั่นเอง