A Man Pray

การตลาดบนความเชื่อและความศรัทธา (Faith-Based Marketing) ถือเป็นกลยุทธ์การตลาดแบบเฉพาะกลุ่มที่ใช้ประโยชน์จากความเชื่อ (Beliefs) ค่านิยม (Values) และหลักการ (Principles) ทางศาสนา เพื่อเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมาย การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ บริการ หรือแบรนด์ (Positioning) ให้สอดคล้องกับความเชื่อเหล่านั้น ซึ่งถูกนำมาใช้ค่อนข้างมากในยุคสมัยนี้ แต่ผมเชื่อว่าหลายๆคนยังมีความสงสัยว่า Faith-Based Marketing ที่แท้จริงนั้นคืออะไร ในบทความนี้ผมจะพาผู้อ่านมาเจาะลึกและทำความรู้จักกับความหมายที่แท้จริงของการตลาดโดยความเชื่อและความศรัทธา รวมถึงแง่มุมต่างๆที่น่าสนใจให้กับแบรนด์และธุรกิจที่กำลังวางแผนกลยุทธ์ด้วย Faith-Based Marketing

What's next?

อะไรคือการตลาดบนความเชื่อความศรัทธา (Faith-Based Marketing)

การตลาดที่อิงในเรื่องของความเชื่อและความศรัทธา หรือที่เราเรียกว่า Faith Marketing / Faith-Based Marketing ก็คือ การปรับแต่งแนวทางการสื่อสารและการสร้างแบรนด์ให้สอดคล้องกับคุณค่า และหลักปฏิบัติทางศาสนาแบบเฉพาะกลุ่ม ที่เป็นมากกว่าแค่การโฆษณาผลิตภัณฑ์ แต่กลับฝังความเป็นคุณค่า (Values) ความเชื่อ (Beliefs) และนำความเชื่อเหล่านั้นมาใส่ลงในแคมเปญการตลาด ซึ่งอาจหมายถึงการใช้ภาพ ภาษา และเรื่องเล่าที่ผู้บริโภคคุ้นเคย โดยอาจเป็นการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ (Product Positioning) ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตทางศาสนาของพวกเขาก็ได้เช่นกัน สำหรับการตลาดบนความเชื่อและความศรัทธานั้น โดยส่วนใหญ่แล้วก็มักจะเกิดขึ้นบนพื้นฐานความเชื่อทางศาสนาเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นศาสนาคริสต์ อิสลาม ฮินดู พุทธ หรือศาสนายิว

กลยุทธ์นี้มุ่งเป้าไปที่การสร้างแรงดึงดูดของบุคคล ที่ผสมผสานศรัทธาเข้ากับชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดอิทธิพลต่อการตัดสินใจในด้านต่างๆ เช่น อาหาร แฟชั่น การเงิน ไลฟ์สไตล์ และทางเลือกในการดำเนินชีวิต แบรนด์ที่มีส่วนร่วมในการตลาดลักษณะนี้จะวางแนวทางการสื่อสาร การออกแบบผลิตภัณฑ์ และบริการของตน ให้สอดคล้องกับหลักการทางศีลธรรมและจริยธรรมของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง และเรามักจะเห็นแคมเปญหรือการสื่อสารที่มุ่งเน้นไปในเรื่องของวันหยุดทางศาสนา ข้อจำกัดด้านอาหาร (เช่น อาหาร Halal อาหาร Vegan) เพื่อให้แน่ใจว่าแบรนด์จะเติมเต็มความเชื่อและความศรัทธาเหล่านั้น ให้กับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเหมาะสม


องค์ประกอบของ Faith-Based Marketing

การตลาดที่อิงในเรื่องของความเชื่อและความศรัทธา เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบสำคัญหลายประการ โดยองค์ประกอบเหล่านี้จะเป็นสิ่งสนับสนุนเพื่อให้แน่ใจว่า สิ่งที่แบรนด์กำลังทำอยู่และการสื่อสารของแบรนด์นั้น สอดคล้องกับค่านิยมและความเชื่อ ของกลุ่มเป้าหมายที่มีศรัทธาเหมือนกัน โดยมีองค์ประกอบหลักๆอยู่ด้วยกัน 6 ประการ

  1. สัญลักษณ์ทางศาสนาและจินตภาพ
    การใช้สัญลักษณ์ทางศาสนา ความหมายของสี หรือจินตภาพ ที่สามารถเชื่อมโยงภาพของบางสิ่งกับแบรนด์ด้วยความศรัทธา ตัวอย่างเช่น แบรนด์ที่มีผู้ก่อตั้งที่เป็นคริสเตียนอาจใช้ไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ ในขณะที่แบรนด์ที่มีผู้ก่อตั้งที่นับถือศาสนาอิสลาม อาจมีรูปพระจันทร์เสี้ยวหรือภาพมัสยิดเป็นส่วนประกอบ
  2. แสดงให้เห็นคุณค่า
    ต้องปรับค่านิยมของแบรนด์ให้สอดคล้องกับคำสอนด้านจริยธรรมและศีลธรรมทางศาสนา ซึ่งอาจรวมถึงการส่งเสริมค่านิยมต่างๆ เช่น การทำเพื่อการกุศล ความสำคัญกับครอบครัว ความซื่อสัตย์ ความอ่อนน้อมถ่อมตน และการรับใช้ชุมชน
  3. ใช้ภาษาและการสื่อสารที่สะท้อนถึงความเชื่อทางศาสนา
    การใช้วลีหรือคำพูดบางคำทางศาสนา หรือภาษาที่สะท้อนถึงความเชื่อที่เฉพาะเจาะจงลงไป ตัวอย่างเช่น ธุรกิจอาจอ้างอิงข้อพระคัมภีร์ของศาสนาคริสต์ ธุรกิจอาจใช้คำที่แสดงถึงหลักของศีล 5 ในศาสนาพุทธ หรือการใช้ภาษาอัลกุรอานเมื่อสื่อสารกับผู้ฟังชาวมุสลิม เช่น “เราเชื่อมั่นในการทำความดี มาร่วมชำระล้างร่างกายและจิตใจ ด้วยอาหารมังสวิรัติสุดพิเศษในช่วงเทศกาลกินเจ”
  4. ความเคารพในศาสนา
    ให้ความเคารพในการแนวทางปฏิบัติทางศาสนาและประเพณีเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งรวมถึงการยอมรับวันหยุดทางศาสนาที่สำคัญๆ (เช่น วันอาสาฬหบูชา วันอีสเตอร์ เดือนรอมฎอน) การผลิตสินค้าหรือการบริการที่ไม่ขัดต่อบัญญัติของศาสนา (เช่น ฮาลาล) และการคำนึงถึงข้อห้ามทางศาสนาต่างๆ
  5. ความเข้าใจในกลุ่มเป้าหมาย
    จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของความเชื่อและศาสนา ซึ่งรวมถึงการรับรู้ถึงพิธีกรรม วิถีชีวิต และความต้องการทางจิตวิญญาณ เพื่อทำให้แบรนด์สามารถผลิตสินค้า รวมทั้งปรับแต่งการสื่อสารให้ตรงกับความคาดหวังเหล่านั้นได้
  6. จรรยาบรรณและจริยธรรม
    แบรนด์ที่ทำการตลาดโดยอาศัยเรื่องของความศรัทธา จะต้องรักษาจุดยืนทางจริยธรรมที่สอดคล้องกับคำสอนทางศีลธรรมของศาสนาอย่างเคร่งครัด โดยอาจเกี่ยวข้องกับการบริจาคเพื่อการกุศล แนวการปฏิบัติที่ยั่งยืน หรือกิจกรรมสร้างชุมชน ที่สะท้อนถึงความศรัทธาในเรื่องความดีทางสังคม
Couple holding Sparklers

กลุ่มคนประเภทไหนเหมาะกับการทำ Faith-Based Marketing มากที่สุด

การทำ Faith-Based marketing จะมีประสิทธิภาพมากที่สุด กับบุคคลที่มีความเชื่อทางศาสนา ซึ่งมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิต การตัดสินใจ และนิสัยในการบริโภค กลุ่มคนเหล่านี้มักจะแสวงหาผลิตภัณฑ์ บริการ และแบรนด์ที่มีแนวคิดที่สอดคล้องกับคำสอนทางศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม และจิตวิญญาณที่ตรงตามศรัทธาของตน ดังนี้

1. บุคคลผู้มีศรัทธาในศาสนา

กลุ่มผู้ที่มีศรัทธาของตนอย่างแรงกล้าโดยนำคำสอนมาใช้ในชีวิตประจำวัน ความเชื่อทางศาสนาของพวกเขาจึงเป็นแนวทางในการตัดสินใจซื้อ เช่น การเลือกอาหารฮาลาล (Halal) หรือโคเชอร์ (Kosher) การเลือกเสื้อที่สวมใส่แล้วดูสุภาพเรียบร้อย หรือการใช้บริการทางการเงินที่มีจริยธรรม ตัวอย่างเช่น ครอบครัวชาวมุสลิมที่ซื้อเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองฮาลาล หรือชาวคริสต์ที่ชอบช้อปปิ้งกับแบรนด์ที่มี หรือสนับสนุนค่านิยมและความเชื่อแบบคริสเตียนร่วมกัน

2. บุคคลที่เคารพในวัฒนธรรม เทศกาลทางศาสนา หรือเหตุการณ์สำคัญๆในชีวิต

บุคคลเหล่านี้อาจไม่ได้นับถือศาสนาของตนอย่างเคร่งครัด แต่ยังคงให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมและความเชื่อด้วยความศรัทธา โดยภูมิหลังทางศาสนาถือว่ามีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของพวกเขา โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลทางศาสนา วันหยุด และเหตุการณ์สำคัญๆในชีวิต และพวกเขามีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมกับ Faith-Based marketing ในช่วงเวลาเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น ชาวพุทธที่ร่วมทำบุญในช่วงวันหยุด เช่น วันวิสาขบูชา แม้ว่าจะไม่ได้เข้าวัดเป็นประจำก็ตาม หรือชาวฮินดูที่ซื้อของขวัญสำหรับเทศกาลดิวาลี

มาฆบูชา

Source: https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/1766843

3. ผู้บริโภคที่มีจริยธรรมที่ถูกขับเคลื่อนโดยความศรัทธา

ผู้ที่ตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการของแบรนด์ ที่สอดคล้องกับหลักคำสอนด้านจริยธรรมของศาสนาที่ตนนับถือ เช่น การสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน ผลิตภัณฑ์ไม่ทำการทดลองกับสัตว์ หรือการค้าขายที่เป็นธรรม พฤติกรรมผู้บริโภคจึงกลายเป็นวิธีที่สะท้อนถึงความเชื่อทางศีลธรรมและจิตวิญญาณของพวกเขา ตัวอย่างเช่น ชาวคริสเตียนที่ชอบช้อปปิ้งกับแบรนด์ที่บริจาคส่วนหนึ่งของกำไรให้กับองค์กรการกุศล หรือชาวพุทธที่เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ Vegan เพราะไม่ทำร้ายสัตว์

4. บุคคลที่ปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมอาหารทางศาสนา

Faith-Based marketing โดยเฉพาะกับผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มนับมีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านอาหารทางศาสนาอย่างเคร่งครัด เช่น ฮาลาลสำหรับชาวมุสลิม โคเชอร์สำหรับชาวยิว หรือการทานมังสวิรัติสำหรับชาวพุทธและฮินดู ตัวอย่างเช่น ครอบครัวชาวยิวที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองโคเชอร์ (Kosher) สำหรับเทศกาลปัสกา หรือผู้บริโภคชาวมุสลิมที่ซื้อเฉพาะอาหารที่ผ่านการรับรองฮาลาล (Halal) เพียงเท่านั้น

5. ครอบครัวที่เลี้ยงดูลูกตามประเพณีทางศาสนา

กลุ่มผู้ปกครองที่ต้องการปลูกฝังค่านิยมทางศาสนา (Religious Values) ให้กับบุตรหลาน มักจะมองหาแบรนด์ที่สนับสนุนศรัทธาของพวกเขาในด้านต่างๆ เช่น การศึกษา ความบันเทิง และผลิตภัณฑ์สำหรับครอบครัว ตัวอย่างเช่น ครอบครัวชาวคริสเตียนที่ชอบสื่อการเรียนการสอนเกี่ยวกับความศรัทธา หรือพ่อแม่ชาวมุสลิมซื้อเสื้อผ้าที่ดูเรียบๆให้บุตรหลาน ซึ่งปฏิบัติตามแนวปฏิบัติของศาสนาอิสลาม

6. ผู้นำทางความคิดและผู้มีอิทธิพลทางศาสนา

กลุ่มผู้นำชุมชนทางศาสนา (เช่น บาทหลวง อิหม่าม พระภิกษุ) และผู้ที่มีอิทธิพลด้านความศรัทธา ที่มักจะชี้แนะให้เกิดการตัดสินใจซื้อจากผู้ติดตาม แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในการดึงดูดผู้นำเหล่านี้ ก็สามารถใช้อิทธิพลของคนเหล่านี้เพื่อเข้าถึงกลุ่มและชุมชนที่ยึดหลักศรัทธาในวงกว้างได้

priest

7. นักแสวงบุญหรือสายท่องเที่ยวเพื่อศึกษาศาสนา

ผู้ที่เดินทางด้วยเหตุผลทางศาสนา เช่น เยี่ยมชมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หรือเข้าร่วมการแสวงบุญ ที่มักจะเปิดรับ Faith-Based Marketing สำหรับบริการด้านเดินทางต่างๆ ตัวอย่างเช่น ผู้แสวงบุญชาวมุสลิมไปเมกกะเพื่อประกอบพิธีฮัจญ์ นักท่องเที่ยวชาวคริสเตียนที่มาเยือนกรุงเยรูซาเล็ม หรือชาวพุทธที่เดินทางไปพุทธคยาเพื่อปฏิบัติธรรม

Jerusalem

Source: https://www.history.com/topics/ancient-middle-east/history-of-jerusalem

8. ผู้ที่เชื่อในการบริจาคเพื่อการกุศล

ผู้ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยคำสอนทางศาสนาให้ตอบแทนชุมชนและสนับสนุนงานการกุศล โดยพวกเขามักจะตอบสนองอย่างดีต่อแบรนด์ที่เน้นเรื่องการทำบุญ ความรับผิดชอบต่อสังคม และให้ความสำคัญกับผลกระทบทางสังคม


ประเภทของ Faith-Based Marketing

หากเราจะแบ่งออกเป็นประเภท Faith-Based marketing นั้นก็มีอยู่หลากหลายอย่าง ซึ่งแต่ละประเภทนั้นก็ออกแบบมาเพื่อเป้าหมายและกลุ่มความศรัทธาที่แตกต่างกัน การตลาดในลักษณะนี้สามารถแบ่งกว้างๆตามแนวทางที่ใช้ และกลุ่มประชากรทางศาสนาได้ 5 ประเภท ดังนี้

1. การตลาดบนความศรัทธากับผลิตภัณฑ์ (Product-Based Faith Marketing)

การตลาดประเภทนี้เน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะ หรือได้รับการรับรองสำหรับกลุ่มผู้ที่ศรัทธาโดยเฉพาะ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อาหารที่ได้รับการรับรองฮาลาล (Halal) สำหรับชาวมุสลิม ผลิตภัณฑ์โคเชอร์ (Kosher) สำหรับผู้บริโภคชาวยิว และผลิตภัณฑ์มังสวิรัติ (Vegetarian) สำหรับชาวพุทธ ซึ่งเป็นเกณฑ์ตามกฎที่ว่าด้วยการบริโภคอาหารหรือวิถีชีวิตทางศาสนา ตัวอย่างเช่น บริษัทอย่าง Nestlé, Unilever และแบรนด์อื่นๆ กับการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองฮาลาล (Halal) และโคเชอร์ (Kosher) โดยเน้นการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ด้านอาหารของอิสลามและยิว

Kosher and Halal Certification

Source: https://www.diffen.com/difference/Halal_vs_Kosher

2. การตลาดบนความศรัทธากับการขับเคลื่อนคุณค่า (Value-Driven Faith Marketing)

ในแนวทางนี้แบรนด์ต่างๆจะสื่อสารเนื้อหาของตน ให้สอดคล้องกับคุณค่าและความเชื่อทางศาสนา เช่น กิจกรรมการกุศล ครอบครัว ความอ่อนน้อมถ่อมตน และความเห็นอกเห็นใจ โดยผลิตภัณฑ์หรือบริการอาจไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับศาสนาโดยตรง แต่เป็นการตลาดในแบบที่ดึงดูดหรือนำเสนอคุณค่าทางจริยธรรม หรือจิตวิญญาณที่กลุ่มเป้าหมายยึดถืออยู่ ตัวอย่างเช่น แบรนด์ที่ส่งเสริมความมุ่งมั่นต่อการทำธุรกิจที่เป็นธรรม การจัดหาวัตถุดิบอย่างมีจริยธรรม หรือความยุติธรรมทางสังคม

3. การตลาดบนความศรัทธากับกิจกรรมหรือเหตุการณ์ (Event-Based Faith Marketing)

กลยุทธ์นี้เกี่ยวข้องกับการทำการตลาดในช่วงวันหยุดทางศาสนา หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อที่สำคัญๆ ด้วยการสร้างแคมเปญที่เกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ เช่น คริสต์มาส รอมฎอน ปัสกา หรือดิวาลี โดยนำธีมที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อความศรัทธามาใช้ในการทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย ตัวอย่างเช่น ในหลายๆธุรกิจค้าปลีกที่มักจะทำสื่อโฆษณาและผลิตภัณฑ์พิเศษสำหรับช่วงคริสต์มาส หรือแบรนด์อาหารที่ออกชุดผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะ ในช่วงเดือนรอมฎอนหรือในช่วงเทศกาลกินเจ

Starbucks Christmas Cup

4. การตลาดจากเหตุแห่งศรัทธา (Faith-Led Cause Marketing)

การตลาดประเภทนี้เป็นการผสมผสานค่านิยมด้วยศรัทธาให้เข้ากับสาเหตุทางสังคม โดยมุ่งเน้นที่การสร้างชื่อเสียงของแบรนด์ผ่านการบริจาค การบริการชุมชน หรือการร่วมมือกับองค์กรทางศาสนา ดังนั้นการที่แบรนด์มีความคิดริเริ่มในการเข้าไปเกี่ยวของกับการทำเพื่อการกุศล จะสามารถสร้างความผูกพันกับผู้บริโภคที่นับถือในเรื่องความเชื่อและศาสนาได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น ตัวอย่างเช่น แบรนด์เสื้อผ้าที่บริจาคกำไรส่วนหนึ่งเพื่อสร้างบ้านให้กับผู้ที่ยากไร้ หรือแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคที่เป็นพันธมิตรกับองค์กรทางศาสนา เพื่อสนับสนุนความพยายามในการบรรเทาภัยพิบัติ ที่สามารถดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสาเหตุที่เกิดขึ้นจากศรัทธา

5. การตลาดบนความศรัทธาผ่านสื่อ และการทำคอนเทนต์ (Faith-Based Media and Content Marketing)

แบรนด์อาจผลิตหรือสนับสนุนการทำคอนเทนต์ผ่านสื่อในรูปแบบต่างๆ เช่น หนังสือ ภาพยนตร์ โพสต์บนโซเชียลมีเดีย ที่รวมเอาประเด็นทางศาสนาหรือกำหนดเป้าหมายไปที่กลุ่มคนที่ศรัทธา ซึ่งอาจรวมถึงการเผยแพร่บทสวดมนต์ วันสำคัญๆทางศาสนา การทำรายการที่เกี่ยวกับศาสนา หรือการผลิตภาพยนตร์ที่เน้นเรื่องความศรัทธา ตัวอย่างเช่น แบรนด์ที่ให้บริการ Online Streaming มุ่งเน้นไปที่การสร้างภาพยนตร์และรายการทีวีที่เกี่ยวข้องกับศาสนาโดยตรง บางแบรนด์ก็สร้างภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับวันคริสต์มาส ที่มักจะรวมเอาคุณค่าของความเป็นชาวคริสเตียนเข้าไว้ด้วยกัน


Faith-Based Marketing สามารถนำมาใช้กับอุตสาหกรรมไหนได้บ้าง

Faith-Based marketing ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญกับค่านิยม ประเพณี และด้านจริยธรรม ที่มีอิทธิพลในการตัดสินใจของผู้บริโภค ซึ่งโดยส่วนใหญ่เราจะเห็นได้จากหลากหลายอุตสาหกรรม ดังนี้

1. ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม

เนื่องด้วยกฎหมายการควบคุมอาหารทางศาสนา เข้ามามีบทบาทสำคัญกับพฤติกรรมผู้บริโภค ในหลายๆศาสนาก็มีแนวทางปฏิบัติโดยเฉพาะเกี่ยวกับการบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม เช่น ฮาลาล (Halal) โคเชอร์ (Kosher) มังสวิรัติ (Vegetarian) วีแกน (Vegan) ดังนั้นแบรนด์ต่างๆจึงสนองต่อความต้องการและความจำเป็นเหล่านี้ ผ่านการผลิตสินค้าที่รับรองกลุ่มผลิตภัณฑ์ตามข้อกำหนดดังกล่าว ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองฮาลาล (Halal) สำหรับชาวมุสลิม ผลิตภัณฑ์โคเชอร์ (Kosher) สำหรับผู้บริโภคชาวยิว และอาหารมังสวิรัติ (Vegetarian) ในช่วงเทศกาลสำคัญๆทางพุทธศาสนา

2. แฟชั่น เครื่องประดับ และเครื่องแต่งกาย

การแต่งกายทางศาสนาหรือหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับความสุภาพเรียบร้อย ทำให้เกิดความต้องการเสื้อผ้าที่ต้องออกแบบมาโดยยึดหลักความเชื่อดังกล่าว เช่น แฟชั่นที่สุภาพเรียบร้อยสำหรับผู้หญิงชาวมุสลิม หรือเครื่องแต่งกายแบบอนุรักษ์นิยมสำหรับชุมชนคริสเตียนหรือชาวยิว ตัวอย่างเช่น แบรนด์แฟชั่นที่ออกแบบอย่างเรียบง่าย แบรนด์ที่ขายเครื่องสำอางฮาลาล ที่ไม่มีส่วนประกอบจากหมู แอลกอฮอล์ ไขมันสัตว์ และส่วนประกอบอื่นๆที่ต้องห้ามตามหลักการอิสลาม และเราจะเห็นการออกแบบเสื้อผ้า แฟชั่น และเครื่องประดับ ที่หลายๆแบรนด์ได้นำเอาไม้กางเขนมาเป็นองค์ประกอบ ที่เห็นได้เด่นชัดก็คือแบรนด์ที่ชื่อ Chrome Hearts ที่มักนำเอาไม้กางเขนมาผสมผสานกับการออกแบบเครื่องประดับและเสื้อผ้า ซึ่งไม้กางเขนถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ทางแฟชั่นและถูกตีความว่าเป็นสัญลักษณ์ของอิสรภาพและความเป็นอิสระ

Chrome-Hearts-Collection

Source: https://shengliroadmarket.com/collections/chrome-hearts

3. บริการด้านการเงิน

สถาบันการเงินได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับบทบัญญัติทางศาสนา เช่น ธนาคารที่สอดคล้องกับหลักอิสลามสำหรับชาวมุสลิม และผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนที่สอดคล้องกับหลักจริยธรรมของชาวคริสเตียนหรือชาวยิว ตัวอย่างเช่น ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย Islamic Bank of Thailand หรือที่เรียกกันว่า ไอแบงก์ เป็นธนาคารที่ดำเนินธุรกรรมโดยปราศจากดอกเบี้ย เพื่อให้ต้องสอดคล้องบทบัญญัติศาสนาอิสลาม กองทุนรวมของคริสเตียนที่เน้นการลงทุนอย่างมีจริยธรรม และผลิตภัณฑ์ประกันภัยทางศาสนาอย่าง CharityFirst ที่เป็นแหล่งข้อมูลสำหรับภาคส่วนที่ไม่แสวงหาผลกำไรและด้านศาสนา โดยให้บริการนายหน้าทั่วประเทศด้วยการรับประกันภัยที่ดีที่สุด

4. การดูแลสุขภาพ

หลายศาสนาเน้นความเป็นอยู่ที่ดีทั้งทางร่างกายและจิตใจ นำไปสู่ความต้องการสินค้าและบริการที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่ยึดหลักความศรัทธา กลุ่มศาสนาบางกลุ่มยังชอบวิธีการรักษาแบบทางเลือก หรือแบบดั้งเดิมที่สอดคล้องกับความเชื่อทางจิตวิญญาณของพวกเขา ตัวอย่างเช่น อาหารเสริมเพื่อสุขภาพที่ปฏิบัติตามข้อจำกัดด้านอาหารทางศาสนา โปรแกรมการออกกำลังกายที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีทางจิตวิญญาณ และการฝึกสมาธิที่มีรากฐานมาจากปรัชญาทางศาสนา เช่น แบรนด์ e.l.f. Cosmetics, Inc. จากประเทศอเมริกาที่ทำผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ที่เป็นวีแกน 100% ไม่มีการทดลองกับสัตว์ และไม่มีสารที่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ โดยแบรนด์ได้ออกผลิตภัณฑ์ที่ชื่อ Holy Hydration! ที่มีสโลแกนว่า Your skin salvation ด้วยแนวคิดที่เสมือนเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์อันเป็นทางรอดของผิวของคุณ และมีการสื่อสารในแนวความเชื่อความศรัทธาที่ถ่ายทอดสู่ผลิตภัณฑ์ ด้วยการอย่าทำบาปทางผิวหนัง…ให้ความชุ่มชื้นอันศักดิ์สิทธิ์!…เป็นผู้กอบกู้และดูแลผิวของคุณ

Holy Hydration

Source: https://www.elfcosmetics.com/holy-hydration-collection

5. สื่อและความบันเทิง

ธุรกิจที่เกี่ยวกับสื่อ ภาพยนตร์ รายการวิทยุ หนังสือ และเพลงที่เน้นเรื่องความศรัทธา โดยให้บริการแก่ผู้บริโภคที่กำลังมองหาเนื้อหาที่สะท้อนถึงคุณค่าทางจิตวิญญาณของพวกเขา ผู้บริโภคที่นับถือศาสนามักมองหาความบันเทิงที่สอดคล้องกับคำสอนของศาสนา โดยหลีกเลี่ยงเนื้อหาที่อาจขัดแย้งกับความเชื่อของพวกเขา ตัวอย่างเช่น ภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับศาสนาหลากหลายเรื่อง เช่น The Passion of the Christ, War Room, Soul Surfer ส่วนของไทยก็เป็นเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และองค์บาก หรือหนังสือเกี่ยวกับคำสอนทางจิตวิญญาณ เช่น Mere Christianity และ The Purpose Driven Life

6. ค้าปลีกและ E-Commerce

วันหยุดและเทศกาลทางศาสนากระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายจำนวนมาก ทำให้ผู้ที่ทำธุรกิจค้าปลีกต่างๆนั้นออกแบบคอลเลกชันพิเศษ โปรโมชั่นใหม่ๆ และแคมเปญการตลาดที่เกี่ยวข้อง แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างก็โปรโมทสินค้าที่เกี่ยวข้องกับศาสนากันอย่างมากมาย ตัวอย่างเช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทำมาเฉพาะช่วงวันคริสต์มาส รูปปั้นทางพุทธศาสนา หรือไม้กางเขน

Dinnerware Christmas Collection_Amazon

Source: Amazon.com

7. การท่องเที่ยวและธุรกิจโรงแรม

ในหลายๆศาสนาก็สนับสนุนและมีแนวทางเรื่องของการแสวงบุญ แบรนด์ที่ให้บริการในเรื่องธุรกิจการท่องเที่ยว ก็ตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้ด้วยบริการแบบเฉพาะสำหรับนักเดินทาง ซึ่งอาจรวมทุกอย่างตั้งแต่อาหารฮาลาล (Halal) หรือโคเชอร์ (Kosher) ไปจนถึงห้องละหมาดในโรงแรม มีการจัดทัวร์ตามสถานที่ทางศาสนาต่างๆ ตัวอย่างเช่น โรงแรมนำเสนอแพ็กเกจแสวงบุญสำหรับชาวมุสลิม ทัวร์แสวงบุญของชาวคริสเตียน สายการบินที่ออกแพ๊กเกจโดยเน้นท่องเที่ยวสายศาสนาและวัฒนธรรมตามประเทศต่างๆ

8. องค์กรการกุศลและธุรกิจที่ไม่แสวงหากำไร

องค์กรการกุศลและองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่เน้นศรัทธาในศาสนาและความเชื่อ ที่มักจะดึงดูดให้ผู้คนมาบริจาคและสนับสนุนกิจกรรมเพื่อการกุศลต่างๆ ทำให้ภาคส่วนนี้นับว่ามีความสำคัญต่อความเป็น Faith-Based marketing เป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย โครงการด้านมนุษยธรรม และโครงการบรรเทาทุกข์ต่างๆ


หลุมพรางของ Faith-Based Marketing หากไม่เข้าใจอย่างแท้จริง

  1. ทำแบบขอไปที
    หลุมพรางที่สำคัญประการหนึ่ง คือ ลัทธิโทเค็น (Tokenism) ที่แบรนด์อาจผสมผสานองค์ประกอบทางศาสนาอย่างผิวเผิน โดยไม่เข้าใจหรือเคารพคุณค่าที่ลึกซึ้งของความศรัทธาอย่างถ่องแท้ สิ่งนี้อาจดูเหมือนเป็นการทำแบบไม่จริงใจหรือทำแบบขอไปทีคล้ายกับการเกาะกระแสเพื่อให้ดูมีภาพลักษณ์ที่ดี ซึ่งอาจนำไปสู่การหลอกลวงและเกิดการตอบโต้จากผู้บริโภคและกลุ่มผู้ศรัทธาที่แท้จริง

  1. นำศรัทธามาเป็นเครื่องมือหากินมากจนเกินไป
    หากแบรนด์ถูกมองว่าสิ่งที่ทำเป็นการนำเอาศาสนามาใช้ เพื่อผลประโยชน์ทางการเงินเพียงอย่างเดียว ก็อาจเสี่ยงต่อการทำให้กลุ่มเป้าหมายปฏิเสธแบรนด์นั้นๆได้ โดยมองว่าเป็นการไม่เคารพความเชื่อของตน

  1. ขาดซึ่งข้อมูลที่เพียงพอ
    การทำการตลาดในลักษณะนี้ต้องมีการศึกษาหาข้อมูลอย่างรอบคอบ และต้องเข้าใจประเด็นความอ่อนไหวทางวัฒนธรรม ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดพลาดในการใช้สัญลักษณ์ทางศาสนา ภาษา หรือข้อความในการสื่อสาร จนอาจนำไปสู่หายนะและเกิดความขัดแย้งในด้านต่างๆได้

  1. การต่อต้านจากกลุ่มผู้เชื่อมั่นในศาสนา
    โดยทั่วไปแล้วกลุ่มที่ยึดมั่นในศรัทธามักจะมีความผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น และหากเกิดความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวก็อาจส่งผลให้เกิดการคว่ำบาตรอย่างรุนแรงได้ ตัวอย่างเช่น ในปี 2558 Starbucks ได้เผชิญหน้ากับคำวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มชาวคริสเตียนเกี่ยวกับถ้วย Holiday Cup ซึ่งบางคนมองว่าเป็นการลบสัญลักษณ์ของเทศกาลคริสต์มาสออกไป เนื่องจากแก้วนั้นไม่มีสัญลักษณ์ของวันหยุดแบบดั้งเดิมเลย โดยเปิดตัวถ้วยสีแดงแบบเรียบง่ายไม่มีลายใดๆที่สะท้อนความเป็นคริสต์มาส ซึ่งก่อให้เกิดการถกเถียงกันว่าแบรนด์กำลังลบภาพของช่วงเทศกาลคริสต์มาส เพื่อหลีกเลี่ยงการมีประเด็นกับผู้คนที่นับถือศาสนาอื่นๆหรือไม่
starbucksredcups

Source: https://www.eater.com/2015/11/10/9705570/starbucks-holiday-red-cups-controversy-history

  1. ชื่อเสียงเชิงลบบนสื่อต่างๆ
    เป็นเรื่องปกติที่สื่อต่างๆจะหันมาสนใจกับแคมเปญการตลาด ที่เป็นประเด็นหรือทำให้เกิดข้อขัดแย้งอย่างรวดเร็ว โดยหากการสื่อสารหรือการโฆษณาที่อิงตามศรัทธา ไม่ได้ผ่านกระบวนการคิดที่ละเอียดรอบคอบ ก็จะทำให้เกิดการรายงานข่าวเชิงลบได้อย่างรวดเร็ว ที่ไม่ใช่แค่เพียงแต่สร้างความเสียหายให้กับชื่อเสียงของแบรนด์เท่านั้น แต่ยังส่งผลทำให้ยอดขายลดลงในระยะยาวอีกด้วย
  1. สูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า
    หากผู้บริโภครู้สึกว่าแบรนด์กำลังบิดเบือนศรัทธาเพื่อผลกำไร ก็อาจสูญเสียความไว้วางใจในตัวแบรนด์ ส่งผลให้ความภักดีต่อแบรนด์นั้นหายไป

ข้อดีของ Faith-Based Marketing

  1. ช่วยเชื่อมโยงความผู้พันทางอารมณ์ให้แข็งแกร่งขึ้น
    Faith-Based marketing ใช้ประโยชน์จากความเชื่อส่วนบุคคลของผู้บริโภค ที่ช่วยสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แบรนด์ใดที่ทำธุรกิจที่มีความสอดคล้องกับค่านิยมทางศาสนา (Religious Values) จะสามารถสร้างฐานลูกค้าที่ภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) ซึ่งบ่งบอกถึงความเป็นแบบแบรนด์ที่เข้าถึงระดับจิตวิญญาณ (Souls) ได้เป็นอย่างดี
  2. บันไดไปสู่ความเป็น Brand Loyalty
    เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้บริโภครู้สึกว่าค่านิยมทางศาสนา (Religious Values) ที่พวกเขานับถือนั้น ได้รับความเคารพหรือให้ความสำคัญโดยแบรนด์ ก็จะก้าวไปสู่ความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) เพราะแบรนด์ได้สะท้อนอัตลักษณ์และำาพลักษณ์ที่ใกล้เคียงกับผู้บริโภคกลุ่มนั้นๆ
  3. เจาะกลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง
    การตลาดบนความเชื่อและความศรัทธาช่วยให้แบรนด์ต่างๆ กำหนดเป้าหมายได้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ที่อาจเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และคอนเทนต์ที่ตรงใจ ทำให้ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
happy_couple_in_supermarket

ข้อเสียของ Faith-Based Marketing

  1. กลุ่มเป้าหมายที่แคบเกินไป
    ข้อเสียที่สำคัญ ก็คือ อาจเกิดความรู้สึกแปลกๆกับกลุ่มคนที่ไม่มีความเชื่อทางศาสนาในแนวทางแบบเดียวกัน หากแคมเปญของแบรนด์ถูกมองว่าเป็นการสื่อสารที่เน้นเรื่องความเชื่อและความศรัทธรมากจนเกินไป ซึ่งอาจส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายนั้นแคบและอาจลดน้อยลงไปได้อีก
  2. เป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหว
    เรื่องของศาสนา ความเชื่อ ความศรัทธา เป็นหัวข้อที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน โดยหากเกิดความผิดพลาดก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากแบรนด์ได้ใช้ประโยชน์จากความเชื่อทางศาสนาเพื่อแสวงหาซึ่งกำไร
  3. ข้อจำกัดด้านภูมิภาค
    แม้ว่าการตลาดที่อิงจากความศรัทธา อาจใช้ได้ผลดีกับกลุ่มคนที่มีความเชื่อและนับถือศาสนาเดียวกัน แต่ก็อาจไม้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเท่าที่ควร หากอยากที่จะกระจายไปสู่ภูมิภาคอื่นๆ

Faith-Based Marketing VS Muketing เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

Faith-Based Marketing และ Muketing (คำศัพท์ของไทย) นั้นมีความคล้ายคลึงกันแต่ก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียว ทั้งสองอย่างเกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์จากความเชื่อและค่านิยมเพื่อเชื่อมต่อกับผู้บริโภค แต่จุดที่มุ่งเน้นและขอบเขตการใช้จะมีความแตกต่างกัน เรามาดูความแตกต่างระหว่าง 2 คำนี้กันครับ

Faith-Based Marketing

  • จุดเน้น
    Faith-Based Marketing มีศูนย์กลางอยู่ที่การอิงเรื่องความศรัทธา เน้นการดึงดูด ความเชื่อ และแนวปฏิบัติทางศาสนา โดยกำหนดเป้าหมายที่เป็นผู้บริโภคตามการนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง เช่น คริสต์ อิสลาม พุทธ ฮินดู หรือศาสนายิว แบรนด์ต่างๆจะสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ บริการ และการสื่อสารของตนให้สอดคล้องกับคุณค่าทางศีลธรรม จริยธรรม และจิตวิญญาณของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง
  • ขอบเขต
    แนวทางนี้เชื่อมโยงโดยตรงกับประเพณีทางศาสนา เทศกาล แนวปฏิบัติด้านจริยธรรม และการเลือกวิถีชีวิตที่อยู่ภายใต้ความศรัทธา

Muketing

คำว่า Muketing (มูเก็ตติ้ง) ในภาษาไทย มาจากคำว่า Mu (มู) ซึ่งหมายถึง ความเชื่อเรื่องโชคลาง การปฏิบัติทางจิตวิญญาณ และพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับโชคลาภ โดยเป็นการผสมผสานองค์ประกอบทางไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ และจิตวิญญาณ ให้เข้ากับกลยุทธ์การตลาดเพื่อดึงดูดความเชื่อของผู้บริโภค โดยเป็นเรื่องของโชคลาภ กรรม และพลังเหนือธรรมชาติ ซึ่งอาจรวมถึงฮวงจุ้ย เครื่องรางนำโชค สีมงคล และการปรึกษาหารือทางจิตวิญญาณ

  • จุดเน้น
    จะแตกต่างจากการตลาดแบบ Faith-Based Marketing โดย Muketing มุ่งเน้นไปที่การทำนายดวงชะตา และความเชื่อเหนือธรรมชาติมากกว่าการปฏิบัติทางศาสนาแบบมีโครงสร้าง และมุ่งเป้าไปที่ผู้บริโภคที่เชื่อในพิธีกรรมทางจิตวิญญาณ เพื่อความโชคดี เสริมพลัง และเสริมมงคลแบบส่วนบุคคล
  • ขอบเขต
    เน้นการดึงดูดกลุ่มความเชื่อทางจิตวิญญาณและไสยศาสตร์ที่หลากหลายมากขึ้น โดยมักจะผสมผสานองค์ประกอบจากประเพณี โหราศาสตร์ หรือนิทานพื้นบ้านต่างๆเข้าด้วยกัน ที่ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ศาสนาเพียงเท่านั้น แต่ยังใช้ประโยชน์จากความเชื่อในชีวิตประจำวันเกี่ยวกับโชคชะตา เช่น การนำเสนอสินค้าหรือสิ่งของที่ตรงกับวัน สี หรือราศี เพื่อดึงดูดลูกค้าที่แสวงหาในเรื่องของโชคลาภ
MUketing

Source: https://fortunetown.co.th/reviews/fortunetown-mutelu-bracelet/


ความแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน

Aspect

Faith-Based Marketing

Muketing

การมุ่งเน้น

ความเชื่อและการปฏิบัติทางศาสนา

ไสยศาสตร์ โชคลาง โหราศาสตร์ ความเชื่อทางจิตวิญญาณ

กลุ่มเป้าหมาย

ผู้นับถือศาสนาที่เคร่งครัด (คริสต์ อิสลาม พุทธ ฯลฯ)

ผู้ที่เชื่อในเรื่องโชคลาภ การทำนายดวงชะตา และเรื่องลี้ลับ

การสื่อสาร

เรื่องราวทางศาสนา จริยธรรม หรือเทศกาลต่างๆ

เรื่องราวเกี่ยวกับสัญลักษณ์ ความลึกลับ โหราศาสตร์ และสิ่งของมงคล

ตัวอย่าง

ผลิตภัณฑ์ฮาลาล วันหยุดทางศาสนา การสร้างแบรนด์อย่างมีจริยธรรมบนพื้นฐานความศรัทธา

สินค้าผูกราศี สีนำโชค หรือสิ่งของมงคล

ความสอดคล้องกับวัฒนธรรม

เชื่อมโยงกับประเพณีทางศาสนาระดับโลกและท้องถิ่น

เชื่อมโยงอย่างมากกับความเชื่อในท้องถิ่นของไทย ในเรื่องโชคลาภ


การตลาดบนความเชื่อและความศรัทธา (Faith-Based Marketing) ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่มีความหลากหลายและมีความซับซ้อน ที่สามารถแบ่งแยกย่อยออกเป็นองค์ประกอบและประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการตลาดกับตัวผลิตภัณฑ์ ความคิดในการขับเคลื่อนด้วยมูลค่า หรือความพยายามในการสร้างชุมชนที่มีแนวคิดในเรื่องเดียวกัน หัวใจหลักของ Faith-Based Marketing อยู่ที่ความเข้าใจและการเคารพในความเชื่อ ประเพณี และค่านิยม แบรนด์ต่างๆจึงจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์นี้ด้วยความละเอียดอ่อนและสร้างให้เกิดความน่าเชื่อถือ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและมีความหมายกับผู้บริโภคที่ขับเคลื่อนด้วยแรงศรัทธานั่นเอง


Source
Source

Share to friends


Related Posts

ความเชื่อมโยงกับแบรนด์ (Brand Association) มีกี่รูปแบบ

การที่ลูกค้าสามารถจดจำหรือนึกถึงแบรนด์ต่างๆได้ภายในจิตใจ และสามารถเชื่อมโยงตัวแบรนด์ไปถึงบางสิ่ง เช่น แบรนด์ A เป็นแบรนด์เกี่ยวกับรองเท้ากีฬา แบรนด์ B เป็นแบรนด์ที่ใช้วัสดุจากธรรมชาติ เวลาเห็นพรีเซ็นเตอร์คนนี้จะนึกถึงแบรนด์ C ในทันที สิ่งเหล่านี้เราเรียกว่าความเชื่อมโยงกับแบรนด์ หรือ Brand Association นั่นเองครับ


รู้จักความเชื่อมโยงจากบุคลิกภาพของแบรนด์ (Brand Personality)

วิธีการสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งระหว่างแบรนด์กับลูกค้า คือ การสร้างบุคลิกภาพให้กับแบรนด์ (Brand Personality) ซึ่งนับเป็นหน้าที่สำคัญสำหรับผู้บริหารจัดการด้านแบรนด์ที่ต้องสร้างความเชื่อมโยงนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้


องค์ประกอบของ Brand Image

Brand Image หรือ ภาพลักษณ์ของแบรนด์นั้น เป็นสิ่งที่สะท้อนออกมาจากมุมมองของลูกค้าหรือผู้บริโภค ที่มีอยู่ 13 องค์ประกอบด้วยกัน



copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์