A_Human_Face_Split_in_Half_with_AI_Generated_Glitch

AI คือ หนึ่งในสุดยอดนวัตกรรมของยุคสมัยนี้ แต่ขณะเดียวกัน มันก็เปิดประตูให้เกิดอาชญากรรมดิจิทัลรูปแบบใหม่ โดยทุกวันนี้มิจฉาชีพใช้เทคโนโลยีอย่าง AI Voice Cloning การใช้ภาพที่สร้างด้วย AI การสร้างวิดีโอ Deepfake และ การสลับใบหน้าด้วย AI เพื่อแอบอ้างเป็นบุคคลจริง โดยหลอกให้เหยื่อโอนเงิน เปิดเผยข้อมูลลับ หรือการคลิกไปสู่ลิงค์อันตรายต่างๆ

ปรากฏการณ์นี้ถือว่ารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนการ “ระวังตัว” อย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป เราจึงต้องรู้วิธีตรวจจับ AI ก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้น และในบทความนี้ ผมจะชวนผู้อ่านมาสังเกตคอนเทนต์ที่สร้างด้วย AI เพื่อป้องกันตัวเองจากภัยทางไซเบอร์ยุคใหม่ได้อย่างมั่นใจมากขึ้นครับ

สาเหตุของกลโกงที่ใช้ AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ที่มาและสาเหตุสำคัญ คือ เครื่องมือ AI ในปัจจุบันทรงพลังกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งเร็ว ราคาถูก คุณภาพสูง และทำซ้ำได้จำนวนมาก จึงกลายเป็นอาวุธใหม่ของมิจฉาชีพโดยไม่ต้องมีทักษะเทคนิคขั้นสูง และทุกวันนี้ AI ก็มีคุณสมบัติดังนี้

  • ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็สร้างเสียงปลอม ภาพปลอม หรือวิดีโอปลอมได้แล้ว
  • มีทั้งแอปฯฟรีและบริการรายเดือนในราคาหลักร้อย
  • ละเอียดจนมนุษย์ธรรมดาแยกไม่ออก
  • มิจฉาชีพ 1 คนสามารถโคลนเสียงเหยื่อได้เป็นพันเสียงในเวลาอันสั้น

และด้วยความสามารถแบบนี้ อาชญากรจึงนำ AI ไปใช้กระทำความผิดหลากหลายรูปแบบ เช่น

  • หลอกด้วยเสียงปลอม (Voice Phishing) เช่น การโทรมาหาด้วยเสียง ตัวอย่างเช่น “ลูกกำลังเดือดร้อน โอนเงินให้ด่วน!” ซึ่งเป็นเสียงที่ AI โคลนจากคลิปเสียงที่เหยื่อเคยโพสต์ลงออนไลน์มาก่อน
  • ขโมยตัวตน (Identity Theft) หรือนำรูปหรือวิดีโอปลอมไปใช้เปิดบัญชีธนาคาร สมัครซิม หรือสมัครกู้เงินในนามของเหยื่อ
  • การลงทุนแบบปลอมๆ (Fake Investment) ด้วยการใช้หน้าและเสียงดาราหรือเศรษฐีดังในวิดีโอ AI เพื่อหลอกชักชวนให้ลงทุน
  • Romance Scams ด้วย AI Photos กับใช้ภาพโปรไฟล์ที่สร้างด้วย AI สวมรอยเป็นคนหล่อสวย มาหลอกให้เหยื่อหลงรักและโอนเงิน
  • Blackmail / Extortion ด้วยภาพหรือวิดีโอปลอม กับขู่แบล็กเมลเหยื่อโดยใช้ภาพเปลือย หรือวิดีโอไม่เหมาะสมที่สร้างด้วย AI ทั้งหมด
A_person_analyzing_smartphone_with_floating_holograms

วิธีสังเกตเสียงปลอมที่สร้างด้วย AI (AI Voice Cloning)

เทคโนโลยี AI Voice Cloning พัฒนาไปเร็วมาก และเสียงที่สร้างมาดูสมจริงกว่าเดิมมาก ทั้งน้ำเสียง จังหวะ และอารมณ์ แต่ถึงอย่างนั้น AI ก็ยังมีจุดอ่อนที่สามารถสังเกตได้ หากเรารู้ว่าจะต้องฟังตรงไหน เรามาดูสัญญาณที่บ่งบอกว่า เสียงนั้นเป็นเสียงที่สร้างด้วย AI กันครับ

  1. จังหวะเสียงไม่เป็นธรรมชาติ
    AI มักมีจังหวะการเว้นวรรคที่แปลกเกินจริง เช่น เร็วเกินไป ช้าเกินไป หรือมีจังหวะที่ฟังดูเป็น “หุ่นยนต์” แม้จะพยายามทำให้เป็นธรรมชาติแล้วก็ตาม
  2. อารมณ์ในเสียงไม่สอดคล้องกัน
    บางครั้งเสียงอาจฟังเหมือนคนกำลังตกใจ แต่ไม่มีความสั่นในเสียงให้ได้ยิน หรือพูดประโยคที่ควรเป็นน้ำเสียงอ่อนโยน แต่กลับฟังดูแข็งทื่อไม่เป็นธรรมชาติ
  3. ความต่อเนื่องของเสียงผิดปกติ
    เสียงที่สร้างโดย AI มัก “เนียนเกินไป” ไม่มีเสียงหายใจ เสียงกลืนน้ำลาย หรือเสียงรบกวนเล็กๆ ที่มนุษย์มีตามธรรมชาติ
  4. ตอบเร็วผิดปกติ
    ในกรณีการโทรศัพท์มิจฉาชีพที่ใช้ AI Cloning มักตอบเกือบทันที ไม่มีอาการคิดทบทวนหรือเว้นจังหวะเหมือนคนจริง
  5. การซ้ำคำหรือออกเสียงเพี้ยนเป็นช่วงๆ
    บางครั้ง AI อาจออกเสียงคำที่ยากหรือคำศัพท์เฉพาะทางผิด หรือมีคำซ้ำๆอย่างผิดธรรมชาติ เช่น “นะ นะ นะ… โอนมาเลยนะ”
  6. พูดเรื่องที่กระตุ้นให้รีบตัดสินใจ
    ส่วนใหญ่การปลอมแปลงด้วย AI มักใช้เสียงตื่นตระหนกเพื่อให้เหยื่อไม่ทันสังเกต เช่น “แม่ช่วยด้วย! โอนเงินให้ลูกด่วน!” และไม่ยอมตอบคำถามที่ต้องใช้ข้อมูลจริงของตัวบุคคล
A_smartphone_identifying_face-swapped_video_showing_Fake_tag

วิธีป้องกันตัวเองจากเสียงปลอม (AI Voice Cloning)

  • ตั้ง “รหัสลับประจำครอบครัว”
    กำหนดคำหรือประโยคพิเศษที่รู้กันเฉพาะในครอบครัว ตัวอย่างเช่น หากมีใครโทรมาขอให้โอนเงินด่วน ให้ถามทันทีว่า “รหัสลับของเราคืออะไร”
  • ตรวจสอบด้วย Video Call ทันที
    หากอีกฝ่ายเลี่ยงหรือบอกว่า “Video Call ไม่ได้” ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจเป็นการหลอกลวง
  • วางสายแล้วโทรกลับผ่านหมายเลขทางการ
    ลองโทรหาลูกด้วยเบอร์ที่บันทึกไว้เอง ไม่ใช่เบอร์ที่โทรเข้ามา
  • อย่าโอนเงินเพียงเพราะได้ยินเสียง
    ไม่ว่าปลายสายจะฟังเหมือนคนใกล้ชิดแค่ไหน แต่เสียงก็อาจถูกสร้างด้วย AI ได้อยู่เสมอ

วิธีสังเกตภาพที่สร้างด้วย AI (AI Photos / AI Pics)

ภาพที่สร้างด้วย AI มักดู “เหมือนจริงมาก” ในแว๊บแรก แต่ถ้าสังเกตดีๆจะพบรายละเอียดที่ผิดธรรมชาติ เพราะ AI ยังไม่สามารถเข้าใจกายวิภาค มุมมองแสงเงา หรือบริบททั้งหมดได้เหมือนมนุษย์ ด้วยการสังเกต ดังนี้

  • มือและนิ้วมีความผิดปกติ
    มือถือเป็นหนึ่งในจุดที่ AI มักผิดพลาดที่สุด โดย AI มักสร้างมือได้ไม่สมบูรณ์ เช่น นิ้วมากเกินไป (6-7 นิ้ว) ข้อนิ้วหายไป นิ้วบิดผิดมุม นิ้วมีความยาวไม่เท่ากันแบบผิดธรรมชาติ
  • ความไม่สอดคล้องของฉากหลัง
    ฉากหลังที่สร้างโดย AI มักมีสิ่งแปลกๆ เช่น ป้ายตัวอักษรอ่านไม่ออก วัตถุที่มีรูปร่างประหลาดเหมือนมีของบางอย่างลอยอยู่ เส้นขอบของวัตถุซ้อนทับกันผิดมิติ โดยสิ่งเหล่านี้กำลังบ่งบอกว่า AI กำลังสร้าง “ภาพรวม” โดยไม่เข้าใจโลกจริง
  • แสงและเงาไม่สัมพันธ์กัน
    ตัวอย่างเช่น หน้าสว่างมากแต่พื้นหลังกลับอยู่ในแสงคนละทิศทาง เงาตกผิดมุม แสงบนใบหน้ากับแสงบนเสื้อผ้าต่างชนิดกัน ซึ่งเกิดจากการที่ AI คำนวณทิศทางแสงไม่ถูกต้อง
  • ดวงตาหรือแสงสะท้อนผิดปกติ
    ข้อผิดปกติที่พบได้เกี่ยวกับดวงตา เช่น แววตาไม่สมดุล แสงสะท้อนในตาปรากฏวัตถุที่เป็นไปไม่ได้ ตาเหมือนกระจกหรือเหมือน “ไม่โฟกัส” โดยเฉพาะภาพคนจำนวนมาก AI มักให้ทุกคน “มองเลนส์พร้อมกัน” อย่างผิดธรรมชาติ
  • เนื้อผิวหรือเส้นผมดูผสานผิดธรรมชาติ
    สังเกตได้จากการที่เส้นผมกลืนหายไปกับพื้นหลัง เครื่องประดับ เช่น ต่างหูหรือสร้อย “ละลาย” เข้ากับผิว หรือการที่มีผิวเรียบเนียนเกินจริงจนเหมือนพลาสติก โดย AI มักไม่สามารถสร้างขอบวัตถุ และพื้นผิวแบบซับซ้อนได้อย่างถูกต้อง
A_human_face_with_mismatched_eyes

เครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบภาพ AI

นอกจากการสังเกตรายละเอียดแล้ว เรายังสามารถใช้เครื่องมือในโลกออนไลน์ เพื่อมาช่วยวิเคราะห์ภาพได้ ดังนี้

  • AI Image Detector Tools
    แพลตฟอร์มหลายอย่างสามารถนำมาช่วยตรวจว่าเป็นภาพจริงหรือ AI เช่น HuggingFace AI Detector, Hive Moderation, Optic AI Detector ซึ่งถึงแม้จะไม่แม่นยำถึง 100% แต่ก็ช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น
  • Google Lens Reverse Image Search
    ใช้เพื่อเช็กว่าภาพนี้มีอยู่ก่อนหรือไม่ ดูว่าภาพเคยถูกโพสต์ที่ไหน และเปรียบเทียบว่ามาจากรูปจริง หรือรูปที่ AI ดัดแปลง โดยหากค้นแล้วไม่เจอในแหล่งใดเลย ก็อาจเป็นภาพสร้างใหม่ด้วย AI
  • ตรวจ EXIF Metadata (ถ้ามี)
    ไฟล์ภาพถ่ายจากกล้องมักมีข้อมูล เช่น วันที่ รุ่นกล้อง ค่าแสง แต่ภาพที่สร้างด้วย AI มักไม่มีข้อมูลนี้ หรือข้อมูลผิดปกติ เช่น ไม่มี Metadata เลย รุ่นกล้องไม่สอดคล้องกับความละเอียด วันเวลาในการสร้างภาพไม่ตรงกับภาพอื่นๆในชุดเดียวกัน

วิธีสังเกตวิดีโอที่สร้างด้วย AI และ Deepfake

วิดีโอที่สร้างด้วย AI โดยเฉพาะ Deepfake ถือเป็นหมวดที่ “อันตรายที่สุด” เพราะ AI สามารถเลียนแบบใบหน้า ปาก การออกเสียง และอารมณ์ได้อย่างสมจริงจนแทบแยกไม่ออก หากไม่ได้สังเกตอย่างละเอียด โดยมีวิธีสังเกต ดังนี้

การสังเกตการสร้างวิดีโอด้วย Deepfake

  1. การขยับริมฝีปากไม่ตรงกับเสียง
    ตัวอย่างเช่น การที่ปากขยับช้ากว่าเสียงครึ่งวินาที การออกเสียง “พ” “ฟ” “ม” “บ” ไม่ตรงกับการปิดปากจริง และเสียงหัวเราะไม่สอดคล้องกับการขยับใบหน้า
  2. จำนวนครั้งของการกระพริบตาดูผิดธรรมชาติ
    AI บางตัวสร้างวิดีโอที่ “แทบไม่กระพริบตา” หรือ “กระพริบถี่ผิดปกติ” ที่ดูคล้ายหุ่นยนต์
  3. การขยับกรามหรือใบหน้าเนียนเกินจริง
    มนุษย์จะมีจังหวะการขยับกรามขึ้นลงอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ Deepfake มักขยับเนียนเกิน แข็งเกิน และไม่สัมพันธ์กับคำพูด
  4. ขอบหน้าเบลอหรือมีแสงเรืองๆ
    ถือเป็นอีกหนึ้งจุดหลุดที่พบได้บ่อย เช่น ขอบแก้มหรือคางดูฟุ้งๆ ผมด้านข้างหลุดเฟรม รอบใบหน้ามีแสงเหมือนฮาโล (Halo Effect)
  5. เงาและแสงไม่สัมพันธ์กับฉาก
    ตัวอย่างเช่น หน้าอยู่ในแสงแต่เสื้อผ้าในเงามืด แสงบนใบหน้ามาจากทิศหนึ่ง แต่พื้นหลังมาจากอีกทิศหนึ่ง ไม่มีเงาตกกระทบบนคอหรือไหล่
  6. การเคลื่อนไหวของร่างกายดู “สมบูรณ์แบบเกินไป” หรือเป็นหุ่นยนต์
    Deepfake มักมีการเคลื่อนไหวที่ราบเรียบมาก ไม่มีการสั่นไหวเล็กๆเหมือนที่มนุษย์มี หรือขยับซ้ำๆแบบเดิมหลายครั้ง
  7. ฟันดูเรียบหรือเหมือนแผ่นเดียวกัน
    AI มักสร้างฟันที่ขาวจัดเกินจริง ดูเป็นแผ่นเดียวไม่มีรายละเอียดยิบย่อยเหมือนฟันจริง และรูปทรงซ้ำกันเกินไป
A_comparison_interface_showing_real_person_vs_suspected_deepfake

พฤติกรรมที่บ่งบอกว่ากำลังถูก Deepfake หลอก

  • วิดีโอที่มีลิงค์ให้คลิก กับ Deepfake ที่เป็นดาราหรือผู้บริหาร ที่หลอกให้กดลิงค์ปลอมๆ
  • “คนดัง” เชิญชวนให้ลงทุน เช่น CEO นักลงทุนดัง ดารา มาแนะนำ “โอกาสลงทุนพิเศษ” ซึ่งหากไม่พบในช่องที่เป็นทางทางการก็เท่ากับปลอมไปแล้วเกือบ 99%
  • เจ้าหน้าที่รัฐเร่งให้ทำตามคำสั่ง ที่มักพูดว่า “คุณมีความผิด ต้องดำเนินการทันที” โดยใช้ใบหน้าของเจ้าหน้าที่ปลอม
  • ใบหน้าเพื่อนหรือครอบครัวในสถานการณ์แปลกๆ เช่น ขอเงินด่วน ขอให้ยืนยันตัวตน อยู่ในสถานที่ที่ไม่น่าอยู่ โดยมักใช้วิดีโอในการสร้าง Friend / Family Deepfake เพื่อให้เราเชื่อ

วิธีป้องกันตัวจากวิดีโอปลอมและ Deepfake

  1. ขอให้ทำท่าทางเฉพาะแบบเรียลไทม์
    ตัวอย่างคำสั่งเช่น “ยกมือซ้ายขึ้นแล้วนับ 1-10” “ให้หันหน้าขวา–ซ้ายช้าๆให้ดูหน่อย” เพราะ AI ไม่สามารถตอบสนองแบบสดๆ หรือทำท่าซับซ้อนตรงตามคำสั่งได้
  2. ตรวจสอบผ่านช่องทางที่เป็นทางการเสมอ
    เพื่อป้องกันการโดนหลอก เราสามารถตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย (ที่ยืนยันตัวตนแล้ว) เบอร์โทร ของสำนักงาน / บริษัท ก่อนเชื่อหรือทำตามคำสั่งใดๆ
  3. เปิดวิดีโอแบบ Slow Motion (0.25x)
    การเปิดวิดีโอแบบช้าๆจะช่วยให้สังเกตริมฝีปากและดวงตาได้ชัดขึ้น ซึ่งจะทำให้เห็นข้อผิดปกติง่ายมากขึ้น
  4. ใช้เครื่องมือตรวจ Deepfake
    ตัวอย่างเครื่องมือที่สามารถนำมาใช้ตรวจสอบ Deepfake เบื้องต้นได้ เช่น Deepware Scanner (กับการใช้งานทั่วไป) Intel FakeCatcher (กับระดับองค์กรที่ใช้ความแม่นยำสูง)

วิธีสังเกตข้อความที่เขียนด้วย AI (Chat, Email, Message)

มิจฉาชีพเริ่มใช้ AI เพื่อเขียนข้อความปลอม ปลอมเป็นคนในครอบครัว เพื่อน หรือผู้มีอำนาจ เพื่อหลอกให้โอนเงิน คลิกลิงค์ หรือให้ข้อมูลส่วนตัว และเราสามารถมองเห็นสัญญาณต่างๆ ที่ข้อความอาจถูกสร้างโดย AI ได้ ดังนี้

การสังเกตข้อความที่สร้างด้วย AI

  • สุภาพเกินไปหรือเขียนเรียบร้อยเกินบุคลิกจริง
    ตัวอย่างเช่น คนที่คุณคุยด้วยปกติอาจพิมพ์สไตล์สบายๆ แต่ข้อความปลอมๆอาจใช้ประโยคแบบเป็นทางการ เช่น “ขอความกรุณาติดต่อกลับโดยด่วน” “ฉันจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือของคุณทันที” โดย AI มักเขียนแบบเป็นระเบียบและดูเกินธรรมชาติ
  • อธิบายเยอะเกินไป
    ข้อความอาจยาว จัดโครงสร้างดีเกินไป ราวกับเป็นสคริปต์ เช่น อธิบายเหตุผลหลายชั้นทั้งที่ไม่จำเป็น เล่าเรื่องเป็นขั้นตอนเกินความจริงของมนุษย์ทั่วๆไป
  • ใช้อารมณ์แบบทั่วไปไม่เจาะจง
    ตัวอย่างเช่น “ฉันกังวลมากเลยตอนนี้ ช่วยฉันทีนะ” “ได้โปรดเชื่อฉันเถอะ มันสำคัญมาก” ซึ่งถือเป็นอารมณ์แบบ “กลาง ๆ” ที่มนุษย์มักไม่ใช้ในสถานการณ์จริง
  • สไตล์การเขียนเปลี่ยนไปแบบผิดปกติ
    คนที่ปกติจะใช้ข้อความสั้นๆ เช่น “OK” “กำลังไป” “เดี๋ยวโทร” แต่จู่ๆหากพิมพ์เป็นย่อหน้ายาวๆ คนที่ไม่เคยใช้ Emojis เลยแต่จู่ๆใช้เยอะผิดปกติหรือกลับกัน การเปลี่ยนสไตล์กะทันหันลักษณะนี้ ก็ถือเป็นสัญญาณที่ต้องระวังว่าเป็น AI
  • โทนอารมณ์คงที่เกินไปแม้อยู่ในสถานการณ์เร่งด่วน
    AI อาจแสดงอารมณ์ผิดธรรมชาติ เช่น พิมพ์เรียบร้อยทั้งที่กำลัง “ตกใจ” ไม่มีความสับสน หรือจังหวะพิมพ์ผิดๆถูกๆแบบมนุษย์เวลาตื่นตระหนก เพราะมนุษย์ในเวลารีบจะมีความผิดพลาดในการพิมพ์อยู่บ้าง แต่ AI จะพิมพ์ออกมาสวยเรียบเนียนเสมอ

วิธีตรวจสอบความจริงของข้อความ

  1. ถามคำถามส่วนตัวเฉพาะบุคคล
    AI หรือมิจฉาชีพจะไม่รู้คำถามลึกๆแบบนี้ เช่น “ชื่อเล่นแม่ของเราชื่ออะไร” “เราเจอกันครั้งแรกที่ไหน” “รูปสุดท้ายที่เราส่งให้กันคืออะไร”
  2. ตรวจสอบแชตเก่าๆแล้วเทียบกับข้อความปัจจุบัน
    ให้ดูความยาว ภาษาและคำที่ใช้ การใช้ Emoji รวมถึงจังหวะการตอบ (เร็วหรือช้า) โดยหากต่างจากเดิมมากให้สงสัยได้ทันที
  3. เปลี่ยนไปคุยผ่านวิดีโอคอลเพื่อยืนยันตัวตน
    วิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่แม่นที่สุดเพราะ AI ยังไม่สามารถ Deepfake วิดีโอคอลแบบสดๆได้ในเวลาสั้นๆตามสั่ง

วิธีปกป้องตัวเองจากภัยคุกคาม AI

Cyber Hygiene คือ “สุขอนามัยดิจิทัล” ที่ช่วยลดโอกาสถูกหลอก ถูกปลอมตัว หรือถูกขโมยข้อมูลในยุคที่ AI ทำให้การปลอมแปลงง่ายขึ้นกว่าที่เคย การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การดูแลข้อมูลส่วนตัวอย่างรอบคอบ และมีวินัยในการใช้งานโลกออนไลน์ ดังนี้

ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล

  • หลีกเลี่ยงการโพสต์คลิปเสียงหรือวิดีโอที่ชัดเกินไป เพราะอาจถูกนำไปใช้ทำ AI Voice Cloning เพื่อปลอมเสียงเราได้
  • จำกัดการโพสต์ภาพเซลฟี่ความละเอียดสูง
  • รูปใบหน้าแบบคมชัดสามารถนำไปใช้สร้าง Deepfake หรือ “AI Face Swap” ได้ง่าย
  • ไม่แชร์ข้อมูลสำคัญบนออนไลน์ เช่น เลขบัตรประชาชน เลขหนังสือเดินทาง ลายเซ็น ข้อมูลบัตรเครดิต
  • ใช้รหัสผ่านที่ผสมผสานตัวเลข ตัวอักษร มีความยาวระดับหนึ่ง และไม่ควรซ้ำกัน เพื่อป้องกันการโดนเจาะระบบจากการใช้รหัสผ่านเดียว
Family_establishing_Verification_Code_Word

ปกป้องโซเชียลมีเดียและแอปฯแชตต่างๆ

  • เปิดระบบยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA) เพื่อลดโอกาสถูกแฮ็กได้มากที่สุด
  • ล็อกโปรไฟล์ Facebook / Instagram เพื่อป้องกันการเอารูปไปปลอมบัญชี
  • จำกัดสิทธิ์การดาวน์โหลดรูปภาพของคุณ โดยหากแพลตฟอร์มรองรับ ให้ตั้งค่าการดาวน์โหลดเฉพาะเพื่อน หรือเฉพาะผู้ติดตามที่ไว้ใจได้

ปกป้องธุรกรรมทางการเงิน

  • ตรวจสอบทุกครั้งก่อนโอนเงิน โดยเฉพาะเมื่อมีการขอให้โอนแบบเร่งด่วน
  • ใช้เฉพาะแอปฯธนาคารที่เชื่อถือได้ โดยห้ามกดลิงค์ที่ส่งมาทางแชต เพราะอาจเป็นเว็บปลอมที่ลอกหน้าตาเหมือนธนาคาร
  • ตรวจชื่อบัญชีผ่านระบบ “Name Verification” ถ้าชื่อไม่ตรง หรือสะกดแปลกๆ ก็ให้หยุดทันที

ปกป้องใบหน้าและเสียง

  • ใช้แอปฯตรวจจับการใช้งานภาพของคุณโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • หากเป็นบุคคลสาธารณะควรใส่ลายน้ำ (Watermark) ในวิดีโอแบบจางๆในตำแหน่งที่ตัดออกยาก เพื่อป้องกันถูกนำไปใช้สร้าง Deepfake

สอนคนในครอบครัว (โดยเฉพาะผู้สูงอายุ)

  • ตั้งกติกาฉุกเฉินในครอบครัว เช่น ถ้าโทรมาขอเงินต้องพูด “รหัสลับ” ถ้ามีเหตุฉุกเฉินต้อง Video Call เท่านั้น
  • ผู้สูงอายุมักเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง ดังนั้น จึงต้องสอนให้รู้ว่าเสียงลูก หลาน หรือเพื่อนอาจถูกปลอมได้ด้วย AI และควรฝึกให้รู้ว่า “เชื่อเสียงอย่างเดียวไม่ได้”

วิธีจัดการหากสงสัยว่ากำลังถูกหลอกด้วย AI

เมื่อคุณเริ่มรู้สึกผิดปกติ เช่น เสียงไม่เหมือน 100% ข้อความดูประหลาด รูปหน้าแปลก หรือพฤติกรรมไม่ตรงกับคนที่คุณรู้จัก ให้ถือว่า “อาจเป็น AI Fraud” และควรลงมือทันทีตามขั้นตอนนี้

  1. หยุดการสนทนาทันที
    อย่าตอบกลับ อย่าเถียง อย่าโอนเงิน เพราะการตอบโต้ อาจเพิ่มโอกาสให้มิจฉาชีพประเมินคุณได้มากขึ้น
  2. ถ่ายภาพหน้าจอเก็บหลักฐาน
    บันทึกทุกอย่างที่เห็น เช่น หน้าโปรไฟล์ ข้อความ หมายเลขโทรศัพท์ ชื่อบัญชี หรือลิ้งค์ที่ส่งมา เพราะหลักฐานเหล่านี้มีผลต่อการติดตามและการแจ้งความ
  3. บันทึกเสียงและวิดีโอ
    กรณีเป็นเสียง AI วิดีโอ Deepfake หรือการโทรผ่านแอปฯต่างๆ ให้บันทึกไว้เพื่อพิสูจน์ในภายหลัง
  4. รายงานไปยังแพลตฟอร์มที่เกิดเหตุ
    การแจ้งไปยังแพลตฟอร์มที่เกิดเหตุ จะช่วยให้ระบบ AI ของแต่ละแพลตฟอร์มปิดกั้นบัญชีได้เร็วขึ้น เช่น
    • Facebook กด Report Profile / Report Message
    • LINE กด Report Spam
    • Instagram กด Report Account
    • TikTok กด Report Video / Report User
  5. แจ้งธนาคารทันทีหากมีธุรกรรมเกี่ยวข้อง
    รายงานไปยังธนาคารเมื่อโอนเงินไปแล้ว ถูกหลอกให้กรอกรหัส OTP หรือถูกหลอกให้คลิกลิงค์ปลอม ก็จะช่วยให้ธนาคารสามารถอายัดบัญชีปลายทาง หรืออายัดธุรกรรมได้ทันถ้าดำเนินการรวดเร็วพอ
  6. แจ้งความอาชญากรรมไซเบอร์
    แจ้งหน่วยงานอย่างเป็นทางการเพื่อดำเนินคดี สำหรับประเทศไทยให้แจ้งที่ ปอท. (Cyber Crime Investigation Bureau) หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
A_person_rejecting_scam_call

หากคุณสงสัยว่ากำลังเผชิญกับการหลอกลวงที่เกี่ยวข้องกับ AI สิ่งแรกและสำคัญที่สุด คือ “หยุดการสื่อสารทันที” ห้ามโต้ตอบ ห้ามเถียง และห้ามทำตามคำขอใดๆ เพราะยิ่งคุยต่ออาจถูกเก็บข้อมูลเพิ่ม หลังจากนั้นให้ “เก็บหลักฐานด้วยการถ่ายภาพหน้าจอ” ทุกอย่าง ทั้งข้อความ โปรไฟล์ หมายเลขโทรศัพท์ ลิงค์ หรือรายละเอียดบัญชีต่างๆ พร้อมทั้ง “บันทึกไฟล์เสียงหรือวิดีโอ” ที่ถูกส่งมา โดยเฉพาะกรณีที่มีเสียงปลอมหรือ Deepfake เพราะเป็นหลักฐานสำคัญในการพิสูจน์การหลอกลวง จากนั้นให้ “รายงานปัญหากับแพลตฟอร์ม” ที่เกิดเหตุ เช่น Facebook, LINE, Instagram หรือ TikTok เพื่อให้ระบบช่วยบล็อกบัญชีอันตรายอย่างรวดเร็ว หากมีเงินเข้ามาเกี่ยวข้องให้ “รีบแจ้งธนาคารทันที” เพื่อระงับบัญชีปลายทางหรือหยุดการทำธุรกรรม สุดท้ายให้ “แจ้งความอาชญากรรมทางไซเบอร์” กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเริ่มกระบวนการสอบสวนอย่างเป็นทางการนั่นเอง


หากข้อมูลและบทความต่างๆบนเว็บไซต์นี้ ทำให้คุณได้มุมมองใหม่ๆ หรือแรงบันดาลใจในการสร้างแบรนด์ การตลาด หรือการสื่อสารมากขึ้น และอยากต่อยอดความเข้าใจเหล่านี้ให้ลึกซึ้งขึ้นอีกขั้น ก็สามารถพูดคุยหรือขอคำปรึกษากับผมได้โดยตรงครับ ไม่ว่าจะเป็นการให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ การสอนแบบ Workshop หรือการบรรยายสำหรับทีมและองค์กร ผมยินดีแบ่งปันประสบการณ์จริงจากการทำงาน งานสอน และงานที่ปรึกษา เพื่อช่วยให้คุณหรือทีมของคุณเติบโตอย่างมีทิศทาง และเข้าใจ “หัวใจของแบรนด์และการตลาด” อย่างแท้จริง

📩 Email: thepopticles@gmail.com
📞 โทร / Line ID: 0829151594
📜 อ่านประวัติของผมได้ที่นี่: การสอน การบรรยาย และเรื่องราวที่ผ่านมา


Share to friends


Related Posts

วิธีพัฒนา AI Influencer ให้ดึงดูดผู้บริโภคแบบมนุษย์ที่แท้จริง

ในยุครุ่งเรื่องของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การตลาดและการสร้างแบรนด์อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่บรรดา Influencer ที่ถูกสร้างโดย AI ในรูปแบบต่างๆก็มีความแพร่หลายมากขึ้น แบรนด์ต่างๆกำลังมองหาวิธีที่จะทำให้ AI นั้นดึงดูดอารมณ์ และเหมือนมนุษย์มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยมีเป้าหมาย คือ การเชื่อมช่องว่างระหว่างบุคลิกภาพแบบสังเคราะห์


Branding ในยุคของ AI สร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ได้มากขนาดไหน

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังพัฒนาด้วยความรวดเร็วอย่างไม่เคยมีมาก่อน และได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของการสร้างแบรนด์ (Branding) และการตลาด (Marketing) ในปัจจุบัน ทุกวันนี้ AI สามารถสร้างตัวตนที่สมจริงเป็นอย่างมาก มีทั้งการบรรยายด้วยเสียง การสร้างภาพยนตร์ งานโฆษณา หรือแม้แต่การเล่าและถ่ายเรื่องราว AI เลียนแบบความเป็นจริงได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ จนแบรนด์ต่างๆได้พิจารณาใช้ AI เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญทั้งการสร้างแบรนด์และขับเคลื่อนธุรกิจอย่างจริงจัง


เรียนรู้การใช้ AI เพื่อพลิกโฉมธุรกิจ กับเบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์ระดับโลก

ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ได้ก้าวข้ามขอบเขตของนิยายวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีในแบบทดลองไปไกลแล้ว และในปัจจุบัน AI ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุด ที่กำลังปรับเปลี่ยนวิธีการทำธุรกิจทั่วโลก ที่ทั้งขับเคลื่อนประสิทธิภาพ ยกระดับการตัดสินใจ และปลดล็อกแหล่งรายได้ใหม่ๆ ตั้งแต่การทำงานอัตโนมัติในงานที่ต้องทำซ้ำๆ ไปจนถึงการคาดการณ์พฤติกรรมลูกค้า และการเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ ณ ตอนนี้ AI ไม่ได้เป็นเพียงคำเท่ๆที่ดูทันสมัยเพียงอย่างเดียว แต่ได้กลายเป็นสิ่งจำเป็น ที่กำลังหลอมรวมให้เป็นส่วนหนึ่งใน DNA ขององค์กร



triangle
copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์