Data_Scientist_Looking_at Automation_Factory

ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ได้ก้าวข้ามขอบเขตของนิยายวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีในแบบทดลองไปไกลแล้ว และในปัจจุบัน AI ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุด ที่กำลังปรับเปลี่ยนวิธีการทำธุรกิจทั่วโลก ที่ทั้งขับเคลื่อนประสิทธิภาพ ยกระดับการตัดสินใจ และปลดล็อกแหล่งรายได้ใหม่ๆ ตั้งแต่การทำงานอัตโนมัติในงานที่ต้องทำซ้ำๆ ไปจนถึงการคาดการณ์พฤติกรรมลูกค้า และการเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ ณ ตอนนี้ AI ไม่ได้เป็นเพียงคำเท่ๆที่ดูทันสมัยเพียงอย่างเดียว แต่ได้กลายเป็นสิ่งจำเป็น ที่กำลังหลอมรวมให้เป็นส่วนหนึ่งใน DNA Link ขององค์กร

ในบทความนี้ผมได้รวบรวมกรณีศึกษา (Case Studies) Link ของแบรนด์ระดับโลกที่นำ AI มาปรับใช้ได้อย่างประสบความสำเร็จในหลากหลายด้าน เช่น การตลาด โลจิสติกส์ การบริการลูกค้า และนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ที่จะแสดงให้เห็นว่าความอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI นั้น ได้เปลี่ยนความท้าทายให้กลายเป็นความได้เปรียบในการแข่งขันได้อย่างไรครับ

Amazon กับการเพิ่มประสิทธิภาพซัพพลายเชน และการทำ Personalization

อาณาจักรของ Amazon ในปัจจุบันนั้นดำเนินการโดยอาศัยอัลกอริทึม โดยบริษัทใช้ AI เพื่อคาดการณ์ว่าลูกค้าจะซื้อสินค้าอะไร จะต้องการสินค้าเร็วแค่ไหน และควรจัดเก็บไว้ที่ใด เพื่อให้ส่งมอบได้รวดเร็วที่สุด แบบจำลอง “การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์” (Predictive Analytics) ของ Amazon ได้ใช้ข้อมูลการซื้อย้อนหลัง พฤติกรรมการเข้าชมเว็บไซต์ และตำแหน่งที่ตั้ง เพื่อจัดเตรียมสินค้าคงคลังล่วงหน้า เอาไว้ในคลังสินค้าประจำภูมิภาค ก่อนที่ลูกค้าจะสั่งซื้อด้วยซ้ำไป โดยสิ่งนี้เราเรียกว่า “การจัดส่งแบบคาดการณ์ล่วงหน้า” (Anticipatory Shipping) โดยตัวอย่างระบบของ Amazon จะทำงานในลักษณะ ดังนี้

  • ระบบจะคาดการณ์ความต้องการโดยอิงจากสัญญาณต่างๆ เช่น การซื้อที่ผ่านมา พฤติกรรมการเรียกดู รายการสินค้าในตะกร้าหรือรายการสิ่งที่อยากได้ ระยะเวลาในการวางเมาส์ค้างไว้ และแนวโน้มของตลาดในแต่ละภูมิภาค
  • จากนั้นสินค้าคงคลังจะถูกย้ายแบบ “เก็งกำไร” (Speculatively) ว่าลูกค้ากลุ่มนี้ในพื้นที่นี้จะสั่งซื้อสินค้านั้นในเร็วๆนี้ หรือ “จัดส่งล่วงหน้า” (Pre-shipped) ไปยังศูนย์ดำเนินการจัดส่ง ศูนย์กระจายสินค้ากลาง หรือแม้แต่เครือข่ายขนส่ง ที่อยู่ใกล้กับตำแหน่งที่คาดการณ์ว่าเป็นที่ตั้งของลูกค้า โดยที่ยังไม่ทราบที่อยู่จัดส่งสุดท้าย
  • เมื่อลูกค้าทำการสั่งซื้อสินค้า ผลิตภัณฑ์ก็จะอยู่ใกล้พวกเขาแล้ว ทำให้การกำหนดเส้นทาง / การจัดส่งขั้นสุดท้ายรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในบางกรณี หีบห่ออาจอยู่ในเครือข่ายของผู้ขนส่งทั่วไปแล้ว และรอเพียงแค่ที่อยู่สุดท้ายเท่านั้น และวิธีการนี้เรียกว่า “การเลือกที่อยู่ปลายทางในภายหลัง” (Late Select Addressing)
  • หากไม่มีคำสั่งซื้อเกิดขึ้นตามที่คาดการณ์ Amazon ก็จะนำเสนอกลยุทธ์ต่างๆ เช่น การเสนอขายสินค้าที่ถูกจัดส่งไปแล้วให้กับผู้ใช้ที่อยู่ใกล้เคียง เช่น ผ่านการมอบส่วนลด หรือการเปลี่ยนเส้นทางการจัดส่งสินค้าดังกล่าว

ผลลัพธ์ที่ได้จากการที่ Amazon นำ AI มาใช้กับ E-Commerce ก็คือ

  • ระบบ Predictive Analytics และ Anticipatory Shipping ช่วยให้ Amazon สามารถจัดเตรียมสินค้าคงคลังล่วงหน้า ส่งผลให้การจัดส่งรวดเร็วขึ้น และลดต้นทุนโลจิสติกส์ลง
  • ระบบ Recommendation Engine ที่ขับเคลื่อนด้วย Deep Learning สร้างยอดขายคิดเป็นประมาณ 35% ของยอดขายทั้งหมดของ Amazon
  • การแสดงผลหน้าเว็บไซต์แบบ Personalized เพิ่มทั้ง Engagement ของลูกค้า มูลค่าเฉลี่ยต่อการสั่งซื้อ (Average Order Value – AOV) และอัตราการซื้อซ้ำ (Repeat Purchase Rate)
  • โดยรวม AI ทำให้ Amazon สามารถรักษาความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน ทั้งในด้าน ประสิทธิภาพการดำเนินงาน ความเร็ว ความแม่นยำ และความพึงพอใจของลูกค้า
Amazon_Website_Landing_Page

Starbucks กับการคาดการณ์ความชอบของลูกค้าด้วย Deep Brew

แพลตฟอร์ม AI ของ Starbucks ที่ชื่อว่า Deep Brew ที่มาจากความร่วมมือระหว่าง Starbucks และ Microsoft Azure ผสมผสาน Machine Learning ให้เข้ากับการวิเคราะห์พฤติกรรม เพื่อสร้างประสบการณ์ “บาริสต้าส่วนตัว” สำหรับลูกค้าทุกคน ระบบจะคาดการณ์ความชอบด้านเครื่องดื่ม ปรับโปรโมชันตามประวัติการซื้อ หรือแม้กระทั่งแนะนำตำแหน่งร้านที่เหมาะสม ตามสภาพอากาศหรือช่วงเวลาของวัน นอกจากนี้ AI ยังช่วยในการจัดตารางการทำงานของพนักงาน และการวางแผนสินค้าคงคลัง เพื่อให้แน่ใจว่าร้านค้าดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงเวลาเร่งด่วน ดัวยลักษณะการทำงาน ดังนี้

  • Deep Brew วิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อ และความชอบของลูกค้าแต่ละคน เช่น เครื่องดื่มที่ชอบ เวลาเข้าร้าน ประวัติการสั่งซื้อ และสถานที่ที่ใช้บริการบ่อย เพื่อสร้าง “ประสบการณ์เหมือนมีบาริสต้าส่วนตัว” ที่เข้าใจลูกค้าทุกคนอย่างแท้จริง
  • ระบบสามารถ “คาดการณ์ความต้องการล่วงหน้า” (Predictive Analytics) เช่น แนะนำเมนูใหม่ที่ตรงรสนิยมลูกค้า หรือปรับโปรโมชั่นตามฤดูกาล สภาพอากาศ และช่วงเวลาของวัน เช่น เสนอเครื่องดื่มเย็นในวันที่อากาศร้อน หรือกาแฟเข้มในช่วงเช้า
  • AI ไม่ได้ทำงานเฉพาะด้านลูกค้าเท่านั้น แต่ยังช่วยด้านการจัดการหลังร้าน เช่น จัดตารางพนักงานให้เหมาะกับช่วงเวลาที่ลูกค้าแน่น วิเคราะห์ยอดขายและแนวโน้มเพื่อคาดการณ์สินค้าคงคลัง ลดของเหลือ และของขาดสต็อก
  • Deep Brew ถูกผสานเข้ากับระบบภายในทั้งหมดของ Starbucks ตั้งแต่ Mobile App, Loyalty Program (Starbucks Rewards), POS System ไปจนถึง Digital Menu Boards เพื่อให้ทุกจุดสัมผัสของลูกค้า (Customer Touchpoints) เป็นหนึ่งเดียวกันและเกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

ผลลัพธ์ที่ได้จากการที่ Starbucks นำ Deep Brew มาใช้ ก็คือ

  • เกิด Personalized Experience แบบเฉพาะตัว โดยลูกค้าได้รับคำแนะนำและโปรโมชั่นที่ “ตรงใจ” มากขึ้น ส่งผลให้การมีส่วนร่วมและความภักดีเพิ่มสูงขึ้น
  • การใช้ AI ใน Starbucks Rewards ทำให้การเข้าร่วมโปรแกรมความภักดีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยลูกค้ารู้สึกว่าระบบเข้าใจพฤติกรรมการซื้อของตน
  • ระบบช่วยลดต้นทุนแรงงาน และบริหารสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะช่วงเวลาเร่งด่วน
  • Starbucks รายงานยอดขายและการกลับมาซื้อซ้ำที่สูงขึ้น จากการแนะนำที่ตรงใจและการบริการที่ราบรื่น
  • Deep Brew กลายเป็นรากฐานของกลยุทธ์ “AI-Driven Coffee Experience” ที่ Starbucks สามารถต่อยอดสู่ตลาดทั่วโลกได้อย่างยั่งยืน
A_Woman_Holding_Starbucks_Cup

UPS กับการเพิ่มประสิทธิภาพเส้นทางด้วย ORION

UPS ได้นำเสนอ ORION (On-Road Integrated Optimization and Navigation) ซึ่งเป็นระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่วิเคราะห์ตัวเลือกเส้นทางนับล้าน และตามรายงานบางแหล่งระบุว่า 70% หรือมากกว่านั้น ของเส้นทางการจัดส่งของ UPS ในสหรัฐอเมริกา ได้เริ่มใช้ระบบ ORION แล้วตั้งแต่ปี 2017 เพื่อกำหนดเส้นทางการจัดส่งที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยคำนึงถึงตัวแปรต่างๆ เช่น สภาพการจราจร สภาพอากาศ และช่วงเวลาการจัดส่ง และด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพเส้นทางนี้ UPS สามารถประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ได้อย่างมหาศาล ด้วยการทำงานในลักษณะ ดังนี้

  • ระบบ ORION ของ UPS รวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งแบบเรียลไทม์ เช่น GPS เซ็นเซอร์ยานพาหนะ สภาพการจราจร สภาพอากาศ เวลาการจัดส่ง และข้อมูลพัสดุ เพื่อให้ได้ภาพรวมการขนส่งทั้งหมดในแต่ละวัน
  • AI ของ ORION ประมวลผลข้อมูลเหล่านี้ และประเมินเส้นทางนับล้านรูปแบบต่อวัน เพื่อหาทางเลือกที่สั้นที่สุด ปลอดภัยที่สุด และใช้พลังงานน้อยที่สุด โดยยังคงส่งพัสดุได้ตามเวลา
  • อัลกอริทึม AI ใช้เทคนิค Heuristic Pruning ในการคัดกรองเส้นทาง โดยพิจารณาปัจจัยเชิงลึก เช่น หลีกเลี่ยงการเลี้ยวซ้าย (ซึ่งสิ้นเปลืองเวลาและเชื้อเพลิงมากกว่า) ลดจุดหยุดรถที่ไม่จำเป็น ปรับลำดับการส่งพัสดุให้เหมาะกับเวลาและสภาพถนน
  • หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น การจราจรติดขัด ฝนตกหนัก หรือถนนปิด ระบบสามารถปรับเส้นทางใหม่แบบเรียลไทม์ เพื่อรักษาประสิทธิภาพสูงสุดในการขนส่ง
  • ORION เรียนรู้จากข้อมูลเส้นทางจริงทุกวัน ระบบจึงพัฒนาและฉลาดขึ้นเรื่อยๆ โดยใช้ข้อมูลจากคนขับและผลการขนส่ง เพื่อปรับปรุงอัลกอริทึมให้แม่นยำและยืดหยุ่นมากขึ้น

ผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือ การประหยัดต้นทุนที่สำคัญ ผลต่อความยั่งยืน และความเร็วในการจัดส่งที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากระบบโลจิสติกส์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทั้งสิ้น โดยสามารถ

  • ช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงกว่า 10 ล้านแกลลอนต่อปี จากการลดระยะทางขับขี่ที่ไม่จำเป็น
  • ลดการปล่อยก๊าซ CO₂ ได้กว่า 100,000 เมตริกตันต่อปี ซึ่งเทียบเท่าการปลูกต้นไม้หลายล้านต้น
  • ประหยัดต้นทุนการดำเนินงานปีละกว่า 300 – 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตามรายงานจาก UPS)
  • เพิ่มความเร็วและความแม่นยำในการจัดส่ง ทำให้ลูกค้าได้รับบริการที่รวดเร็วขึ้น
  • โดยเฉลี่ยแล้ว ORION ช่วยลดระยะทางของเส้นทางการขับรถต่อคนลงได้ 6 – 8 ไมล์ต่อวัน
  • สนับสนุนความยั่งยืน (Sustainability) โดยใช้เทคโนโลยี AI เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  • UPS ได้กลายเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาระดับโลก ของการใช้ AI ในระบบโลจิสติกส์ ที่ทั้งลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และรักษ์โลกในเวลาเดียวกัน
UPS_ORION

Image Source: https://www.getstraightaway.com/ups


Netflix กับการคำแนะนำหนังที่ถูกใจด้วย AI

Netflix ใช้ AI เพื่อคาดการณ์ว่าผู้ใช้จะรับชมอะไรต่อไป ในแบบ Personalization โดยอิงจากรูปแบบการรับชม เวลาในการรับชม การกดข้าม (Skip) การเล่นซ้ำ หรือแม้แต่ช่วงเวลาของวันที่สตรีม อัลกอริทึมการแนะนำของ Netflix มีส่วนในการขับเคลื่อนกิจกรรมการรับชมรวมมากกว่า 80% โดย AI ยังช่วย Netflix ในการผลิตเนื้อหา ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ชมเพื่อตัดสินใจให้ไฟเขียวแก่รายการ และภาพยนตร์ที่มีแนวโน้มจะประสบความสำเร็จสูงสุด เช่น House of Cards และ Stranger Things โดยมีลักษณะการทำงาน ดังนี้

  • Netflix เก็บข้อมูลพฤติกรรมการรับชมของผู้ใช้แบบละเอียด เช่น ประเภทที่ชอบดู เวลาที่ดู การกดข้าม การเล่นซ้ำ รวมถึงช่วงเวลาของวันในการสตรีม เพื่อเข้าใจรูปแบบการใช้งานของแต่ละคน
  • AI จะวิเคราะห์พฤติกรรมเหล่านี้ผ่าน Machine Learning Models เพื่อค้นหารูปแบบ (Patterns) และความชอบที่ซ่อนอยู่ของผู้ใช้งาน เช่น ชอบหนังแนวระทึกขวัญในตอนกลางคืน หรือดูรายการสั้นๆระหว่างพักเที่ยง
  • ระบบอัลกอริทึมจะแนะนำเนื้อหาที่ “ตรงใจที่สุด” แบบเรียลไทม์ในหน้าแรกของ Netflix โดยอิงจากประวัติการรับชมและพฤติกรรมของผู้ใช้
  • Netflix ใช้ข้อมูลผู้ชมเชิงลึกเพื่อทำนายว่า คอนเทนต์แบบใดจะได้รับความนิยม และตัดสินใจ “ให้ไฟเขียว” เพื่อผลิตรายการหรือภาพยนตร์ใหม่ๆ
  • AI จะเรียนรู้และปรับปรุงอัลกอริทึมอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการแนะนำ และยกระดับประสบการณ์การรับชมให้เป็นแบบ Hyper-Personalized Experience สำหรับผู้ใช้งานแต่ละคน

ผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือ การมีส่วนร่วมที่สูงขึ้น เวลาในการรับชมที่นานขึ้น และยังช่วยให้

  • การแนะนำเนื้อหาผ่าน AI มีส่วนขับเคลื่อนกว่า 80% ของการรับชมทั้งหมดในแพลตฟอร์ม
  • เพิ่มเวลาในการรับชมต่อผู้ใช้งาน (Watch Time) อย่างต่อเนื่องทั่วโลก
  • ลดอัตราการยกเลิกสมาชิก (Churn Rate) ได้อย่างมีนัยสำคัญ เพราะผู้ใช้รู้สึกว่า Netflix “เข้าใจรสนิยมของตนเอง”
  • ส่งผลให้ Netflix สามารถสร้างคอนเทนต์ที่ประสบความสำเร็จระดับโลก และยืนหนึ่งในตลาดสตรีมมิ่งได้อย่างยาวนาน
A_Picture_of_Netflix_Logo_on_TV_Screen

Unilever กับการใช้ AI สำหรับข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์

Unilever ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลกว่า 500 เทราไบต์ จากแหล่งต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย บทวิจารณ์บนโลกออนไลน์ และข้อเสนอแนะจากผู้บริโภค เพื่อระบุแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้น ข้อมูลเชิงลึกนี้ช่วยให้บริษัทสร้างผลิตภัณฑ์ได้เร็วขึ้น และมีอัตราความสำเร็จสูงมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์แนวโน้มด้วย AI ได้ระบุการเคลื่อนไหวของ “ผลิตภัณฑ์ความงามแบบ Clean Beauty” นำไปสู่การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จ เช่น Love Beauty and Planet ด้วยลักษณะการทำงาน ดังนี้

  • Unilever ใช้ระบบ AI และ Machine Learning เพื่อรวบรวมและผสานข้อมูลจากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นโพสต์บนโซเชียลมีเดีย รีวิวออนไลน์ ความคิดเห็นจากลูกค้าแบบเรียลไทม์ และเทรนด์การค้นหาทั่วโลก
  • AI วิเคราะห์ข้อความและบทสนทนาในโลกออนไลน์ ผ่านเทคนิค NLP เพื่อระบุอารมณ์ (Sentiment) คำหลักที่กำลังมาแรง (Keywords) และความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองของผู้บริโภค
  • AI จะคาดการณ์เทรนด์ล่วงหน้า เช่น การเติบโตของแนวคิด Clean Beauty ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการผลิตภัณฑ์ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผิวพรรณของผู้ใช้
  • ทีม R&D ของ Unilever ใช้ข้อมูลเชิงลึกจาก AI เพื่อพัฒนาแนวคิดสินค้าใหม่ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น ลดเวลาการทดลองในห้องแล็บ และเชื่อมโยงผลลัพธ์กับข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคจริง
  • AI ถูกนำไปใช้เชื่อมโยงระหว่างฝ่ายการตลาด การวิจัยผลิตภัณฑ์ และการสื่อสารแบรนด์ เพื่อให้ทุกทีมเห็นภาพเดียวกันของ “เทรนด์ผู้บริโภคที่กำลังจะเกิดขึ้น” และขับเคลื่อนการตัดสินใจแบบขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Decision Making)

ผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือ วงจรนวัตกรรมที่เร็วขึ้น และความสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าที่แข็งแกร่งขึ้น ที่ช่วยให้

  • Unilever สามารถพัฒนาและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้เร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
  • อัตราความสำเร็จของสินค้าใหม่ๆเพิ่มขึ้น เพราะสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในเวลาจริง
  • กรณีตัวอย่างที่เด่นที่สุด คือ แบรนด์ Love Beauty and Planet ซึ่งเกิดจาก Insight ของ AI เกี่ยวกับกระแส Clean Beauty
  • AI ช่วยให้ Unilever มี Innovation Cycle ที่สั้นลงและแม่นยำขึ้น
  • ทำให้แบรนด์ตอบสนองต่อแนวโน้มผู้บริโภคทั่วโลกได้อย่างทันท่วงที และเสริมภาพลักษณ์ของ Unilever ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมที่ยั่งยืน
Love_Beauty_and_Planet_Landing_Page

Image Source: https://lovebeautyandplanet.in/pages/our-story


BMW กับ Smart Manufacturing และการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์

BMW ได้รวม AI เข้ากับโรงงานผลิตทั้งหมด เพื่อตรวจจับข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์ และคาดการณ์การบำรุงรักษาเครื่องจักร โดยกล้องและเซ็นเซอร์จะวิเคราะห์ส่วนประกอบนับพันรายการแบบเรียลไทม์ ทำให้มั่นใจในคุณภาพโดยปราศจากอคติหรือความเหนื่อยล้าของมนุษย์ AI ยังช่วยให้เกิด “การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์” (Predictive Maintenance) โดยแจ้งเตือนวิศวกรก่อนที่อุปกรณ์จะขัดข้อง ซึ่งช่วยป้องกันการหยุดทำงานที่มีค่าใช้จ่ายสูง ด้วยลักษณะการทำงาน ดังนี้

  • BMW ร่วมกับ NVIDIA ใช้ระบบ DGX (Hopper Architecture) และเครื่องมือ Omniverse ในการสร้าง Factory Simulation / Virtual Factories เพื่อจำลองสภาพแวดล้อมจริงในการผลิตและใช้ภาพสังเคราะห์ (Synthetic Images) ภายใน SORDI dataset ซึ่งเป็น Dataset ขนาดใหญ่ (ที่มีมากกว่า 800,000 รูปภาพ) ที่ครอบคลุมหลากหลายวัตถุในโรงงาน เช่น Pallets Forklifts และอื่นๆ
  • ใช้ AI ในงานตรวจสอบและควบคุมคุณภาพ (Quality Control) เช่น ตรวจ Stitching ความผิดปกติของสีหรือการฉีกขาด ตรวจขอบประตู และส่วนประกอบที่อาจติดตั้งไม่ตรงตามแบบ
  • ใช้ระบบ No-code / LabelTool Lite ให้พนักงานสามารถฝึกและ Deploy โมเดลตรวจจับวัตถุ (Object Detection) ได้ง่ายและเร็ว โดยมีการผสมภาพจาก Dataset ที่มีอยู่กับภาพสังเคราะห์เพื่อ Train ตัวโมเดล

ผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือ ประสิทธิภาพการผลิตที่เพิ่มขึ้น ของเสียที่ลดลง และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่สูงอย่างสม่ำเสมอ โดยสามารถ

  • เพิ่ม Productivity ของ Data scientists ได้ถึง 8 เท่า เมื่อเทียบกับระบบเก่า เนื่องจากสามารถรันหลายงาน Training พร้อมกัน และใช้ทรัพยากรได้เต็มที่
  • ประสิทธิภาพการทำงานของโมเดล ที่สร้างจากภาพสังเคราะห์ดีขึ้น เมื่อใช้โมเดล Object Detection, Image Segmentation, Pose Estimation และอื่นๆ
  • งาน QA ที่เคยใช้เวลาและแรงงานเยอะ ก็ลดระยะเวลาไปได้มาก โดยบางงานลดเวลาลงกว่า 2 ใน 3 ของเวลาเดิม
  • ช่วยเรื่องลดของเสีย (Defects) และปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์ เพิ่มความแม่นยำ และลดเวลา Rework ในโรงงาน
BMW_Car_in_Germany

Coca-Cola กับการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

Coca-Cola ใช้ประโยชน์จาก AI สำหรับแคมเปญทางการตลาด (Marketing Campaign) การรับฟังความคิดเห็นทางโซเชียล (Social Listening) และการสร้างแนวคิดผลิตภัณฑ์ (Product Concept) ด้วยการวิเคราะห์ความรู้สึกของลูกค้าทางออนไลน์ Coca-Cola ได้ระบุแนวโน้มรสชาติและเปิดตัว Cherry Sprite และ Coke with Coffee ซึ่งทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า นอกจากนั้น เครื่องมือ AI ยังปรับแต่งเนื้อหาทางการตลาดในช่องทางดิจิทัลต่างๆ เพิ่มการมีส่วนร่วมและความเกี่ยวข้องของแบรนด์ในแต่ละตลาด โดยมีลักษณะการทำงาน ดังนี้

  • Coca-Cola ใช้เครื่องมือ AI วิเคราะห์ข้อมูลจากโพสต์ โซเชียลมีเดีย ฟอรัม และบทสนทนาของลูกค้า (ในกว่า 200 ประเทศ) เพื่อระบุ “ความรู้สึก” (Sentiment) ของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์ รสชาติ หรือแนวโน้มใหม่ๆ ที่อาจกลายเป็นโอกาสทางการตลาด
  • ตัวอย่าง เช่น การพูดถึง “รสเชอร์รี่” และ “กาแฟ” บนแพลตฟอร์ม X (Twitter) และ Instagram ที่เพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทนำข้อมูลนี้ไปต่อยอดเป็น Sprite Cherry และ Coca-Cola with Coffee ซึ่งทั้งสองผลิตภัณฑ์ประสบความสำเร็จในตลาดอเมริกาเหนือและยุโรป
  • Coca-Cola เปิดตัวแคมเปญ “Create Real Magic” ซึ่งเป็นการใช้ Generative AI (ร่วมกับ OpenAI’s GPT-4 และ DALL-E 2) เพื่อให้แฟนๆทั่วโลกสร้างงานศิลปะ และคอนเทนต์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแบรนด์ โดย Coca-Cola ใช้ผลงานเหล่านี้ในการทำสื่อโฆษณา และนำเสนอคอนเทนต์ระดับโลก
  • Coca-Cola ใช้ระบบ AI วิเคราะห์ว่าเนื้อหาประเภทใด (ภาพ เสียง สีสัน ข้อความ) ให้ผลลัพธ์ดีที่สุดในแต่ละภูมิภาค แล้วปรับสื่อโฆษณาแบบเรียลไทม์ เพื่อให้สอดคล้องกับความชอบของผู้ชมในท้องถิ่นนั้นๆ เช่น ปรับคอนเทนต์บน TikTok / Instagram ในภูมิภาคเอเชีย ให้มีสไตล์สนุกสนานและเร็วขึ้น ในขณะที่โฆษณาในยุโรปเน้นอารมณ์ และถ่ายทอดความทรงจำในอดีต (Nostalgia-driven)

ผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือ ช่องทางในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรม และการเพิ่มประสิทธิภาพการตลาดทั่วโลก โดยสามารถ

  • พัฒนากระบวนการพัฒนาแนวคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ ให้เร็วขึ้นกว่าเดิมได้ถึง 2 เท่า เนื่องจาก AI สามารถวิเคราะห์เทรนด์ และความต้องการจากข้อมูลผู้บริโภคได้แบบเรียลไทม์
  • การใช้ข้อมูลเชิงลึก (Data-driven Insights) ทำให้อัตราความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น Cherry Sprite และ Coke with Coffee สูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของตลาด (+18%)
  • Generative AI ช่วยลดเวลาในการผลิตสื่อโฆษณาลงกว่า 30% และเพิ่มอัตรา Engagement ในช่องทางออนไลน์เฉลี่ย 25 – 40%
  • คอนเทนต์ด้านการตลาด สามารถปรับให้ตรงกับความสนใจของผู้บริโภค ในแต่ละประเทศได้แบบเรียลไทม์ ส่งผลให้ อัตราการคลิก (Click-Through Rate) หรือ CTR เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
Sprite_Cherry_and_Sprite_Cherry_Zero

Image Source: https://www.bevindustry.com/articles/89985-sprite-launches-cherry-cherry-zero-flavors-nationwide


Sephora กับ Virtual Try-On และความงามเฉพาะบุคคล

Sephora สร้างประสบการณ์ด้วยการทดลองสินค้าเสมือนจริง (Vitual Try-On) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถดูภาพผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางได้แบบเรียลไทม์ โดยใช้เทคโนโลยีอย่าง Augmented Reality (AR) โดยระบบ Color IQ ของแบรนด์จับคู่เฉดสีรองพื้น ด้วยการวิเคราะห์สีผิวนั้นจะขับเคลื่อนด้วย AI และยิ่งไปกว่านั้น AI Chatbot ยังช่วยเหลือลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ด้วยการแนะนำผลิตภัณฑ์และคำแนะนำด้านความงาม โดยมีลักษณะการทำงาน ดังนี้

  • Sephora พัฒนาแพลตฟอร์ม Virtual Artist ที่ใช้เทคโนโลยี Augmented Reality (AR) และ AI-based Image Recognition เพื่อให้ลูกค้าสามารถ “ทดลองเครื่องสำอางเสมือนจริง” ผ่านกล้องมือถือ หรือหน้าจอได้แบบเรียลไทม์ โดยระบบจะตรวจจับใบหน้าและจำลองเฉดสีของลิปสติก อายแชโดว์ หรือบลัชออนได้อย่างแม่นยำ
  • เทคโนโลยี Color IQ ของ Sephora ใช้กล้องสเปกโตรมิเตอร์และ AI ในการสแกนสีผิวลูกค้า จากนั้นระบบจะวิเคราะห์ค่าเฉดสีและจับคู่กับเฉดรองพื้นที่เหมาะสมที่สุด จากแบรนด์เครื่องสำอางกว่าหลายร้อยรายการ เพื่อให้ลูกค้าได้เฉดที่ “ใช่ที่สุด” โดยไม่ต้องลองจริง
  • AI Chatbot จะตอบคำถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ช่วยแนะนำเมคอัพลุค หรือแม้แต่สร้าง Shopping Journey แบบเฉพาะบุคคล ตามงบประมาณและความชื่นชอบ
  • ระบบ AI ของ Sephora จะเรียนรู้จากข้อมูลพฤติกรรม เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าลองบ่อย รายการที่ซื้อซ้ำ และเฉดสีที่ชอบ เพื่อปรับการแนะนำสินค้าให้มีความเฉพาะบุคคลมากขึ้นเรื่อยๆ
  • Sephora ผสานเทคโนโลยี AI เข้ากับทุกช่องทาง (Omnichannel) ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เช่น AI Chatbot สำหรับการให้คำปรึกษาและโปรโมชั่นเฉพาะบุคคล Virtual Try-On ในแอปฯและเว็บไซต์ Beauty Hub ในร้านจริงที่ใช้ Color IQ

ผลลัพธ์ที่ได้จากการที่ Sephora นำ AI เข้ามาใช้กับธุรกิจ ก็คือ

  • การทดลองสินค้าผ่าน Virtual Try-On ทำให้ลูกค้ามั่นใจในการซื้อมากขึ้น ส่งผลให้อัตราการแปลงยอดขายออนไลน์เพิ่มขึ้น
  • ด้วยการจับคู่เฉดสีที่แม่นยำผ่าน Color IQ ทำให้จำนวนการคืนสินค้าลดลง
  • ลูกค้าใช้เวลาในแอปฯและเว็บไซต์นานขึ้น เพราะการมีส่วนร่วมกับระบบทดลองและแนะนำผลิตภัณฑ์
  • AI ช่วยให้ประสบการณ์ความงามของแต่ละคน “เฉพาะตัวจริงๆ” (Personalized Beauty Experience) โดยไม่ขึ้นกับพื้นที่หรือเวลา
  • Sephora กลายเป็นผู้นำด้าน AI + Beauty Tech ที่ยกระดับมาตรฐานการช้อป “เครื่องสำอางดิจิทัล” ให้กับทั้งวงการ
Sephora_Virtual_Try-On

Image Source: https://www.beautypackaging.com/breaking-news/sephora-virtual-artist-app-now-lets-shoppers-try-eyeshadow/


Tesla กับยานยนต์ไฟฟ้าที่มีระบบ Self-Learning

รถยนต์ของ Tesla ใช้ Machine Learning ที่ประมวลผลข้อมูล หลายพันล้านจุดต่อวันจากยานพาหนะทั่วโลก ระบบ Autopilot เรียนรู้จากรถยนต์ทุกคันบนท้องถนน เพื่อปรับปรุงความสามารถในการตรวจจับสิ่งกีดขวาง การคาดการณ์พฤติกรรมผู้ขับขี่ และทำการตัดสินใจขับขี่แบบเรียลไทม์อย่างต่อเนื่อง AI ยังขับเคลื่อนการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน โดยการคาดการณ์การใช้แบตเตอรี่ และประสิทธิภาพการชาร์จ ด้วยลักษณะการทำงาน ดังนี้

  • Tesla ใช้ระบบที่เรียกว่า Fleet Learning โดยยานพาหนะทุกคันในเครือข่าย Tesla (Model S, 3, X, Y) จะส่งข้อมูลกลับไปยังศูนย์กลางของบริษัททุกวัน ข้อมูลเหล่านี้มีมากกว่าหลายพันล้านจุดต่อวัน เช่น การเร่ง เบรก การหักหลบสิ่งกีดขวาง การจราจร และสภาพถนนจริงทั่วโลก
  • ข้อมูลทั้งหมดจะถูกประมวลผลด้วย Deep Neural Networks (DNNs) ซึ่งเป็นหัวใจของระบบ Autopilot และ Full Self-Driving (FSD) เพื่อสอนให้รถเข้าใจ “โลกแห่งความจริง” เช่น การตรวจจับสิ่งกีดขวาง คนเดินถนน ป้ายจราจร และไฟสัญญาณ การคาดการณ์พฤติกรรมของผู้ขับขี่คนอื่น และการประเมินความเสี่ยงในเสี้ยววินาที
  • ระบบ AI ของ Tesla สามารถตัดสินใจได้แบบเรียลไทม์ เช่น การเบรกอัตโนมัติ (Autonomous Emergency Braking) การเปลี่ยนเลน (Auto Lane Change) และการนำทางอัตโนมัติ (Navigate on Autopilot) โดยไม่ต้องพึ่งข้อมูลภายนอกใดๆ
  • Tesla ใช้วิธีการเรียนรู้ต่อเนื่อง ผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์แบบ Over-the-Air (OTA) เพื่อให้รถทุกคันได้อัปเดทซอฟต์แวร์ใหม่ล่าสุด โดย AI จะเรียนรู้จากข้อมูลจริงที่สะสมจากรถทั่วโลก ทำให้ระบบ Autopilot ฉลาดขึ้นทุกสัปดาห์
  • นอกจากการขับเคลื่อนอัตโนมัติแล้ว AI ของ Tesla ยังทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน เช่น คาดการณ์การใช้พลังงานและการชาร์จตามเส้นทาง ปรับรูปแบบการขับขี่เพื่อประหยัดแบตเตอรี่ วางแผนจุดแวะชาร์จล่วงหน้า (Supercharger Planning) อย่างชาญฉลาด

ผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือ การปรับปรุงผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เกิดนวัตกรรมใหม่ๆที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล และความได้เปรียบ ในการเป็นผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรมยานยนต์อัตโนมัติ และยังส่งผลให้เกิด

  • อัตราการเกิดอุบัติเหตุของรถที่เปิดใช้ Autopilot ต่ำกว่ารถทั่วไปหลายเท่า
  • รถทุกคันทำหน้าที่เหมือน “ครูและนักเรียน” พร้อมกัน ทำให้ระบบพัฒนาอย่างรวดเร็วกว่าโมเดลอื่นในตลาด
  • การจัดการพลังงานอัจฉริยะช่วยเพิ่มระยะทางต่อการชาร์จ และลดการสิ้นเปลืองพลังงาน
  • ผู้ขับขี่ได้รับประสบการณ์การเดินทางที่ปลอดภัย ราบรื่น และสะดวกสบายมากขึ้น
  • Tesla กลายเป็นผู้นำระดับโลกด้าน “AI-Driven Automotive” ที่ไม่เพียงการสร้างรถยนต์ แต่ยังสร้างระบบสมองของรถยนต์แห่งอนาคตอีกด้วย
A_Man_Driving_Tesla_Car

โดยสรุปแล้วเราจะเห็นได้ชัดเจนว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงแค่ภาพอนาคตอีกต่อไป แต่มัน คือ “รากฐานใหม่” ของการเติบโตทางธุรกิจ เรื่องราวความสำเร็จของ Amazon, Starbucks, UPS, Netflix และแบรนด์อื่นๆ แสดงให้เห็นว่าแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในวันนี้ คือ บริษัทที่ “ความเป็นอัจฉริยะจาก AI” ให้เข้ากับการดำเนินงานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นด้านโลจิสติกส์ การตลาด การมอบประสบการณ์ลูกค้า หรือนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ โดย AI ไม่ได้เพียงแต่ทำให้ธุรกิจฉลาดขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้ธุรกิจเร็วขึ้น ปรับตัวได้ดีขึ้น และยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางมากขึ้นนั่นเอง


Sources:
Forbes –
Why Amazon’s Anticipatory Shipping Is Pure Genius
Harvard Business School –
Anticipatory Shipping: Retail’s Crystal Ball
BSR.org –
UPS ORION Technology for Sustainable Logistics
BMW Group –
How BMW Uses Artificial Intelligence in Production and Development
Sephora –
How Sephora Uses AI to Personalize Beauty
YoungUrbanProject – https://www.youngurbanproject.com/ai-marketing-case-studies/
Bitrix24 – https://www.bitrix24.com/articles/ai-in-action-real-world-case-studies-of-ai-implementation.php
CDO Times https://cdotimes.com/2025/01/06/ups-and-agentic-ai-a-case-study-in-logistics-innovation



หากข้อมูลและบทความต่างๆบนเว็บไซต์นี้ ทำให้คุณได้มุมมองใหม่ๆ หรือแรงบันดาลใจในการสร้างแบรนด์ การตลาด หรือการสื่อสารมากขึ้น และอยากต่อยอดความเข้าใจเหล่านี้ให้ลึกซึ้งขึ้นอีกขั้น ก็สามารถพูดคุยหรือขอคำปรึกษากับผมได้โดยตรงครับ ไม่ว่าจะเป็นการให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ การสอนแบบ Workshop หรือการบรรยายสำหรับทีมและองค์กร ผมยินดีแบ่งปันประสบการณ์จริงจากการทำงาน งานสอน และงานที่ปรึกษา เพื่อช่วยให้คุณหรือทีมของคุณเติบโตอย่างมีทิศทาง และเข้าใจ “หัวใจของแบรนด์และการตลาด” อย่างแท้จริง

📩 Email: thepopticles@gmail.com
📞 โทร / Line ID: 0829151594


Share to friends


Related Posts

การนำ AI มาใช้กับ Customer Service เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้า

ในปัจจุบันลูกค้าเปรียบเทียบทุกจุดสัมผัส (Touchpoints) ในการบริการ กับประสบการณ์ที่ดีที่สุดที่พวกเขาเคยได้รับ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็มักจะมาจากแบรนด์ที่ใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยเหลือ โดยเฉพาะในงานเกี่ยวกับการบริการลูกค้า (Customer Service) ซึ่งแน่นอนครับว่าการตอบสนองกลับ จะรวดเร็วขึ้นภายในไม่กี่วินาที เพราะ AI สามารถจดจำรูปแบบและรับรู้ถึงความไม่พอใจ ก่อนที่มนุษย์จะสังเกตเห็นเสียอีก


Generative AI พลิกโฉม “ประสบการณ์ลูกค้า” ได้อย่างไร

Generative AI ได้กลายเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่น่าตื่นเต้นที่สุดและก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างขวางภายในเวลาอันรวดเร็ว แอพพลิเคชั่นที่ออกมาในช่วงแรกๆ ช่วยให้ผู้ใช้ในทุกระดับทักษะสามารถพิมพ์ป้อนคำสั่งสั้นๆ และสร้างรูปภาพที่สวยงามหรือข้อความที่ซับซ้อน นอกจากนี้ นักการตลาดกำลังใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้เพื่อสร้างคอนเทนต์ SEO


รวม Generative AI ทั้ง 7 หมวดหมู่สำหรับการใช้งานในยุคดิจิทัล

Generative AI หรือ Generative Artificial Intelligence คือ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ประเภทหนึ่งที่สามารถสร้างผลลัพธ์ใหม่ๆ มีความสามารถในการคิดอย่างสร้างสรรค์ที่อาจนอกเหนือจากขอบเขตที่มนุษย์จะคิดได้ Generative AI สามารถสร้างผลลัพธ์ได้หลากหลายรูปแบบที่นอกเหนือจากการตอบสนองต่อข้อความ



triangle
copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์