
รับฟังผ่านทาง YouTube ได้ที่นี่ https://youtu.be/MHM2Zp1hBws
ในการทำธุรกิจไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม จะมีอยู่หนึ่งสิ่งที่คุณควรรู้ก่อนที่จะเริ่มธุรกิจ นั่นก็คือ การรู้จักคู่แข่งขันในตลาดหรือที่เรียกว่าการทำ Competitor Analysis เพื่อดูว่าคู่แข่งของคุณมีการวางตำแหน่งของแบรนด์หรือสินค้าเป็นอย่างไร มีจุดแข็งจุดอ่อนเป็นอย่างไร เพื่อที่จะนำมาเป็นข้อมูลในการพัฒนาแบรนด์หรือธุรกิจของคุณให้แตกต่าง และสร้างส่วนแบ่งทางการตลาดได้อย่างน่าประทับใจ เรามาดูวิธีการวิเคราะห์คู่แข่งอย่างง่ายๆกันครับ

วิธีการทำ Competitor Analysis
การวิเคราะห์คู่แข่ง (Competitor Analysis) จะมีรายละเอียดที่ค่อนข้างลึกที่จำเป็นต้องให้เวลากับมัน เพราะผลลัพธ์มันจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าใครคือคู่แข่งของคุณ ตำแหน่งของแบรนด์เป็นอย่างไร จุดแข็งจุดอ่อนเป็นอย่างไร พวกเขามีวิธีการสื่อสารอย่างไร และเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับแบรนด์ของคุณแล้ว มันจะมีความแตกต่างอย่างไร โดยมีขั้นตอนในการทำดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 รวบรวมรายชื่อคู่แข่งทั้งหมด
ระดมสมองกับทีมของคุณในการค้นหาว่าใครบ้างที่เป็นคู่แข่งของแบรนด์หรือธุรกิจของคุณ ทั้งคู่แข่งหลักและคู่แข่งรองรวมถึงคู่แข่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
ขั้นตอนที่ 2 แยกคู่แข่งออกเป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มที่หนึ่ง คือ คู่แข่งปัจจุบันที่เป็นคู่แข่งโดยตรงกับแบรนด์ ในตำแหน่งและตลาดเดียวกัน อีกกลุ่ม คือ แบรนด์หรือธุรกิจที่คุณอยากจะแข่งขันด้วย ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกับคุณ
ขั้นตอนที่ 3 ใส่ข้อมูลคู่แข่งขัน

การวิเคราะห์คู่แข่งจำเป็นต้องมองในทุกๆมุมตั้งแต่วิสัยทัศน์ คุณค่า มาจนถึงการออกแบบอัตลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Identity) เช่น พวกโลโก้ การใช้สี การใช้้ตัวอักษร และเอามาทำเป็น Template อย่างง่าย เพื่อเปรียบเทียบคู่แข่งทั้งหมดที่มี โดยข้อมูลที่มีควรประกอบไปด้วย
- หัวใจหลักของแบรนด์ (จุดมุ่งหมาย วิสัยทัศน์ พันธกิจ คุณค่า)
- Look and feel เป็นอย่างไร
- คุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับ (Value Proposition)
- Tagline
- สินค้าและบริการ
- ลักษณะของลูกค้า (Persona)
- พวกเขาพูดคุยกับลูกค้าอย่างไร
- จุดแข็ง จุดอ่อน
- ความเหมือน / ความแตกต่าง
- อุปสรรค
- ช่องทางการตลาด
- ช่องทางการสื่อสาร
- ช่องทางการทำโฆษณา
- ช่องทางการขาย
- รายได้
- อื่นๆ
ขั้นตอนที่ 4 วิเคราะห์ธุรกิจของตัวคุณเอง
เมื่อคุณเห็นข้อมูลเปรียบเทียบของคู่แข่งแล้ว ก็ได้เวลาวิเคราะห์ธุรกิจของตัวเอง แล้วลองนำมาเปรียบเทียบกับคู่แข่งว่า ในแต่ละหัวข้อคุณมีอะไรที่แตกต่าง โดดเด่นหรือด้อยกว่าคู่แข่ง แล้วพยายามคิดให้ออกว่าจุดไหนที่คุณจะมีศักยภาพในการแข่งขัน จุดไหนที่ไม่ควรเข้าไปแข่งขัน จุดไหนคือโอกาสทางการแข่งขัน ซึ่งความท้าทายนั้นก็อยู่ที่ว่าขีดความสามารถในการแข่งขัน ที่ต้องเป็นสิ่งที่สะท้อนความเป็นตัวตนและความถนัดของคุณเองจริงๆ
ขั้นตอนที่ 5 กำหนดจุดเด่นที่แตกต่างของตัวคุณ
เอาจุดเด่นที่ไม่เหมือนคู่แข่ง และต้องเป็นจุดที่มีศักยภาพในการทำตลาด และนำมาวาดภาพตำแหน่งของคุณในตลาด เพื่อดูว่าคุณนั้นอยู่จุดไหนและคู่แข่งอยู่จุดไหน ด้วยการใช้ Positioning Chart ซึ่งก็คือ การหาตำแหน่งของแบรนด์หรือธุรกิจในตลาด (Brand Positioning) โดยการวางตำแหน่งนั้นจะทำให้คุณเห็นว่าคุณจะทำการสื่อสารการตลาด และเน้นจุดขายของคุณอย่างไร
