A_Woman_Unboxing_A_Box

แบรนด์ส่วนใหญ่มุ่งมั่นอย่างหนักเพื่อเอาชนะใจลูกค้า แต่มีเพียงไม่กี่แบรนด์ที่ทุ่มเทอย่างหนักพอในเรื่องเกี่ยวกับ “หลังการซื้อ” (Post-Purchase) ที่หลายๆคนอาจมองว่ามันเป็นจุดสุดท้ายของการบวนการขายไปแล้ว แต่อันที่จริงต้องบอกเลยครับว่ามัน คือ จุดเริ่มต้นครั้งใหม่ของคำว่า “การสร้างความสัมพันธ์” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแข่งขันด้านราคาและการตลาดกันอย่างดุเดือดในปัจจุบัน โดยวิธีที่คุณปฏิบัติต่อลูกค้าหลังจากที่พวกเขาซื้อสินค้าไปแล้ว สามารถกำหนดได้ว่าพวกเขาจะกลายเป็นผู้ซื้อเพียงครั้งเดียว หรือเป็นแฟนตัวยงตลอดชีวิตของแบรนด์ การสร้าง “ประสบการณ์หลังการซื้อ” (Post-Purchase Experience) ที่ทำด้วยความใส่ใจ จะสามารถเปลี่ยนความพึงพอใจให้กลายเป็นความผูกพัน เปลี่ยนความสะดวกสบายให้กลายเป็นความสัมพันธ์ และเปลี่ยนการทำธุรกรรมธรรมดาๆให้กลายเป็นความไว้วางใจในตัวแบรนด์ (Brand Trust) Link ได้ในที่สุด

ในบทความนี้ผมจะพาผู้อ่านมาดูกันครับว่าเราจะออกแบบจุดสัมผัส (Touchpoints) หลังการซื้อ ที่ไม่ใช่แค่ทำให้การสั่งซื้อเสร็จสมบูรณ์ แต่ยังช่วย “สร้างความรักในตัวแบรนด์” ได้อย่างไร

1. เปลี่ยนความคิดจากคำว่า “หลังการซื้อ” เป็น “หลังการสร้างความสัมพันธ์”

ในวินาทีที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าจากคุณ พวกเขาจะอยู่ในภาวะที่ทั้งอยากรู้อยากเห็น มีความหวัง และคาดหวังถึงประสบการณ์ที่ดี นี่ก็คือ โอกาสทองของคุณในการเสริมสร้างความผูกพันให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างแท้จริง โดยแทนที่จะมองว่าช่วงเวลาหลังการซื้อเป็นเพียงขั้นตอนสุดท้าย ของการเปลี่ยนสถานะจากผู้สนใจเป็นผู้ซื้อ ให้เปลี่ยนกรอบความคิดเป็น “จุดเริ่มต้นของการเชื่อมโยงทางอารมณ์” แทน ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญที่แบรนด์จะได้พิสูจน์ว่ามีความใส่ใจลูกค้า “มากพอๆกับที่ต้องการขายสินค้า”

การปรับเปลี่ยนกรอบความคิดจึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และอย่าถามว่า “เราจะจัดส่งสินค้าให้เร็วที่สุดได้อย่างไร” แต่ให้ถามว่า “เราจะทำให้ลูกค้ารู้สึกมีความสุขและได้รับการดูแล ในระหว่างที่พวกเขารอได้อย่างไร” เพราะการดูแลความรู้สึกในช่วงนี้ คือ หัวใจสำคัญในการเปลี่ยนธุรกรรมธรรมดาๆ ให้กลายเป็นความไว้ใจและความรักในตัวแบรนด์

2. สร้างความประทับใจสูงสุดกับการ Unboxing และประสบการณ์การใช้งานครั้งแรก

ความประทับใจแรกไม่ได้สิ้นสุดลงเมื่อการขายสำเร็จ แต่ดำเนินต่อไปเมื่อกล่องสินค้ามาถึงมือของลูกค้า ดังนั้น การแกะกล่องสินค้า (Unboxing) จึงเป็นพิธีกรรมที่สำคัญอย่างยิ่งที่ต้องทำให้สมบูรณ์แบบ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ (Packaging) จึงต้องไม่เพียงแค่สวยงาม แต่ต้องสร้างความสุข ความเรียบง่าย และสื่อถึงบุคลิกภาพของแบรนด์ (Brand Personality) Link ได้อย่างชัดเจน และอาจผ่านการเพิ่มเซอร์ไพรส์เล็กๆน้อยๆเข้าไป เช่น การ์ดขอบคุณที่เขียนด้วยลายมือ หรือของแถม / ตัวอย่างสินค้า (Samples) ก็สามารถสร้างความรู้สึกดีๆได้อย่างมาก

ในขณะเดียวกัน “คู่มือการใช้งาน” (Instructions) ก็ต้องชัดเจนและทำตามได้ง่าย เพื่อลดความสับสนและความหงุดหงิด ซึ่งจะนำไปสู่ความพึงพอใจที่สูงขึ้น และที่สำคัญ ก็คือ “น้ำเสียง” (Tone of Voice) ในข้อความบนบรรจุภัณฑ์ ก็ควรใช้ภาษาที่เป็นมิตรและมีความเป็นมนุษย์ เพราะบรรจุภัณฑ์ ก็คือ หนึ่งในทูตเงียบของแบรนด์คุณเช่นกัน

ตัวอย่างของแบรนด์ที่ออกแบบประสบการณ์ได้ดี ก็คือ Apple ซึ่งเปลี่ยนการแกะกล่องให้กลายเป็นพิธีกรรมอันน่าตื่นเต้น ด้วยการออกแบบที่ดูเรียบหรู พอดีเป๊ะ และไม่มีสิ่งรกหูรกตา ทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนกำลังเปิดของขวัญอันล้ำค่า

A_Woman_Unboxing_Product_in_Living_Room

3. ส่งข้อความขอบคุณที่เปี่ยมด้วยความใส่ใจ

คำขอบคุณที่จริงใจสามารถสร้างความประทับใจได้อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้อความนั้นให้ความรู้สึกเหมือนมี “มนุษย์ที่น่ารัก” อยู่เบื้องหลังที่ไม่ใช่แค่ระบบอัตโนมัติ โดยการส่งข้อความขอบคุณที่ดี จะต้องมีการ “ระบุชื่อลูกค้าและสินค้าที่สั่งซื้อ” เพื่อสร้างความเป็นส่วนตัว และต้อง “แสดงความซาบซึ้งใจอย่างแท้จริง” ไม่ใช่การพยายามขายหรือโปรโมทสินค้าอื่นๆต่อทันที และสิ่งสำคัญ ก็คือ ต้องรักษา “น้ำเสียงของแบรนด์” (Brand Voice) เอาไว้ให้สม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงที่อบอุ่น ขี้เล่น หรือจริงใจ

ยกตัวอย่างเช่น ข้อความที่ว่า “สวัสดีครับคุณ……. ขอบคุณที่เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของ……….. เรารอไม่ไหวแล้วที่คุณจะได้สัมผัสถึงความแตกต่าง” ที่แสดงให้เห็นถึงการสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน (Sense of Community) และเคล็ดลับสำคัญ ก็คือ “ควรส่งข้อความขอบคุณนี้หลังจากที่ลูกค้าซื้อสินค้าไปแล้ว 24-48 ชั่วโมง” เพราะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมมากที่สุด ที่ทำให้ข้อความรู้สึกทันเหตุการณ์และมีความจริงใจ ที่ไม่ใช่แค่การถูกส่งมาพร้อมกับอีเมล์ยืนยันการสั่งซื้อแบบทั่วๆไป

A_Man_Typing_on_Computer

4. จัดหาระบบสนับสนุนหลังการขายที่ราบรื่นแบบไร้รอยต่อ

การลูกค้าจะตัดสินแบรนด์ของคุณ อาจไม่ได้ดูจากวิธีการที่คุณดำเนินการในเรื่องต่างๆเพียงอย่างเดียว แต่หลายๆครั้งก็จะตัดสินจาก “วิธีการตอบสนองของคุณเมื่อเกิดปัญหาขึ้น” ดังนั้น การจัดเตรียมระบบสนับสนุนหลังการขาย ที่ง่ายและมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยต้องมีการนำเสนอ “คำแนะนำในการคืนหรือเปลี่ยนสินค้าที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย” และต้องจัดเตรียมช่องทางการติดต่อที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Chat , LINE หรืออีเมล์ ที่มีการตอบสนองอย่างรวดเร็ว และเต็มไปด้วย “ความเห็นอกเห็นใจ” (Empathy)

นับเป็นสิ่งที่ต้องฝึกอบรมทีมสนับสนุนของคุณ ให้ใช้ภาษาที่เหมือนมนุษย์ที่กำลังช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ใช่แค่ระบบตอบรับหรือการจัดการตั๋ว (Ticketing System) แบบทั่วๆไปเท่านั้น เพราะตามหลักการเชิงลึกแล้ว การตอบสนองที่รวดเร็วจะสร้าง “ความมั่นคงทางอารมณ์” ให้กับลูกค้า แม้ว่าคุณจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ในทันที แต่การรับรู้ปัญหาและการแสดงความเห็นอกเห็นใจ คือ กุญแจสำคัญที่สุดในการรักษาความสัมพันธ์ระยะยาว

Sales_Meeting_with_Dashboard_Analysis

5. ติดตามผลด้วยความใส่ใจ ไม่ใช่การส่งอีเมล์ขยะ

หลังจากที่ลูกค้าซื้อสินค้าไปแล้ว แบรนด์ส่วนใหญ่มักจะส่งอีเมล์ขายของซ้ำๆ หรือพวกอีเมล์ขยะ (Spam) ไปรบกวนลูกค้า แต่แทนที่จะทำเช่นนั้น คุณควรสร้างความไว้วางใจผ่านการสื่อสารที่เน้น “ความใส่ใจในการใช้งาน” (Care-based) เป็นหลัก โดยลองส่งเนื้อหาที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ เช่น เคล็ดลับหรือวิดีโอสอนการดูแลผลิตภัณฑ์ การแจ้งเตือนให้ซื้อสินค้ามาเติม (ตามวงจรการใช้งาน) หรือเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจจากลูกค้าคนอื่นๆ รวมถึงคู่มือการใช้งานเชิงลึก

ตัวอย่างเช่น แบรนด์สกินแคร์อาจส่งข้อความว่า “เซรั่มของคุณจะทำงานได้ดีที่สุดในตอนกลางคืน และนี่คือ เคล็ดลับการเพิ่มความเปล่งปลั่งง่ายๆ 2 นาที ที่คุณจะต้องหลงรัก” การสื่อสารลักษณะนี้จะเปลี่ยนอีเมล์หลังการซื้อจาก ไปสู่จุดสัมผัสที่สร้างความสัมพันธ์ซึ่งช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า และสร้างความภักดีในระยะยาวได้อย่างแท้จริง

6. กระตุ้นและให้รางวัลแก่การแบ่งปันประสบการณ์

ลูกค้าที่มีความสุขมักจะต้องการแบ่งปันประสบการณ์ดีๆของตัวเองออกไป โดยหากคุณต้องการทำให้กระบวนการนี้ดูง่ายและมีความหมาย คุณต้องสร้างช่องทางให้ลูกค้าสามารถแบ่งปันประสบการณ์ได้อย่างสะดวก เช่น การใส่ รหัส QR Code หรือการ์ดเล็กๆลงในกล่องสินค้า เพื่อเชิญชวนให้ลูกค้าแบ่งปันประสบการณ์บนโลกออนไลน์ และเมื่อลูกค้าสร้างเนื้อหาขึ้นมาแล้ว แบรนด์ก็ควรนำเนื้อหาที่สร้างสรรค์โดยผู้ใช้จริง (Authentic User Content) มาโพสต์ซ้ำ บนช่องทางโซเชียลมีเดียของแบรนด์ เพื่อเป็นการยกย่องและสร้างความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน

นอกจากนี้ การทำระบบคะแนนสะสมสำหรับสมาชิก (Loyalty Points) หรือ รางวัลเล็กๆน้อยๆสำหรับการแนะนำเพื่อน (Referrals) ก็จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการบอกต่อและซื้อซ้ำ ตัวอย่างที่โดดเด่น คือ แบรนด์เครื่องสำอาง Glossier ที่สร้างฐานแฟนคลับอย่างเหนียวแน่นโดยการนำภาพเซลฟี่และเรื่องราวของลูกค้ามานำเสนอ ทำให้ทุกช่วงเวลาหลังการซื้อกลายเป็นการเล่าเรื่องราวของแบรนด์โดยลูกค้าเอง (User Generated Content) ซึ่งเป็นเหมือนการโฆษณาฟรีที่ทรงพลังที่สุด

Employee_Giving_A_Gift_to_Customer

7. สร้างวงจรการรับฟังความคิดเห็นแบบแสดงความเคารพ

การขอความคิดเห็นจากลูกค้าไม่ควรถูกมองเป็นเพียง “การทำธุรกรรมแบบปกติ” ที่ต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้น แต่ควรเป็นการ “เริ่มต้นบทสนทนา” ที่แท้จริง โดยแทนที่จะส่งคำถามตรงๆ อย่างเช่น “โปรดให้คะแนนประสบการณ์ของคุณ” ลองเปลี่ยนเป็นคำพูดที่แสดงความใส่ใจในอนาคต เช่น “เรายินดีที่จะทำให้ประสบการณ์ครั้งต่อไปของคุณดียิ่งขึ้นไปอีก คุณมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง”

วิธีนี้จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าความคิดเห็นของพวกเขามีค่าและมีความหมาย และเคล็ดลับสำคัญ ก็คือ การมอบคำขอบคุณเล็กๆน้อยๆ เช่น คะแนนสะสม สิทธิ์เข้าถึงสินค้าใหม่ก่อนใคร หรือแม้แต่ข้อความที่ซาบซึ้งใจ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าเสียงของพวกเขามีความสำคัญอย่างแท้จริง และเหนือสิ่งอื่นใด คุณต้องนำความคิดเห็นนั้นไปปฏิบัติจริง เพราะเมื่อลูกค้าเห็นว่าข้อเสนอแนะของพวกเขาถูกนำไปปรับปรุง และสะท้อนอยู่ในผลิตภัณฑ์หรือบริการที่อัปเดตใหม่ๆ พวกเขาจะรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวการเติบโตของแบรนด์ ซึ่งเป็นการยกระดับความรักและความภักดีต่อแบรนด์ได้อย่างยอดเยี่ยม

8. รักษาแรงผลักดันทางอารมณ์ให้คงอยู่ตลอดไป

ความรักในตัวแบรนด์ (Brand Love) มักจะจางหายไปเมื่อความเงียบเข้ามาแทนที่ ดังนั้น คุณจำเป็นต้องรักษาความสัมพันธ์ให้ยังคงอบอุ่นและมีชีวิตชีวา ด้วยการสัมผัสที่เปี่ยมไปด้วยความใส่ใจตลอดเวลา โดยคุณสามารถส่งอีเมล์ “ครบรอบความสัมพันธ์” เช่น “วันครบรอบ 1 ปี นับตั้งแต่คุณซื้อสินค้าชิ้นแรกจากเรา” เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการเดินทางร่วมกัน หรือมอบเซอร์ไพรส์ด้วยการแสดงความซาบซึ้งใจแบบสุ่ม ด้วยการ “ลด 10% สำหรับการสั่งซื้อครั้งต่อ”

และที่สำคัญ ก็คือ การเชิญชวนลูกค้าเข้าร่วมชุมชน (Communities) งานสัมมนาออนไลน์ (Webinars) หรือกิจกรรมสุดพิเศษ (Exclusive Events) ที่จำกัดเฉพาะลูกค้าของคุณเท่านั้น เพื่อให้พวกเขารู้สึกถึงสิทธิพิเศษ โดยมีกฎสำคัญ ก็คือ อย่ามุ่งเน้นแค่การขายอย่างเดียว แต่จงเฉลิมฉลองให้กับการที่ลูกค้ายังคงอยู่เคียงข้างคุณอย่างต่อเนื่อง เพราะการให้ความสำคัญกับลูกค้าในฐานะมนุษย์คนหนึ่งจะช่วยสานต่อความผูกพันให้ยืนยาว และสร้างความภักดีที่ไม่มีวันสิ้นสุด

A_Picture_of_Exclusive_Event

9. เปลี่ยนประสบการณ์หลังการซื้อให้กลายเป็น “ก่อนความภักดี”

การมีผู้ซื้อที่พึงพอใจนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่การมี “ผู้สนับสนุนแบรนด์ที่ภาคภูมิใจ” ถือเป็นเรื่องล้ำค่าดุจทองคำ คุณจึงควรออกแบบประสบการณ์หลังการซื้อโดยมีเป้าหมายหลัก คือ “การบ่มเพาะการเป็นผู้สนับสนุน” (Advocacy) จากลูกค้าอย่างแท้จริง ซึ่งต้องทำโดยการทำให้ลูกค้ารู้สึก “พิเศษและเป็นที่ยอมรับ” อย่างต่อเนื่อง ด้วยการอนุญาตให้พวกเขาเข้าถึง “ระดับความภักดี” (Loyalty Tiers) หรือได้รับ “สิทธิประโยชน์ของคนวงใน” (Inner Circle Benefits) ได้เร็วกว่าคนอื่นๆ

และที่สำคัญที่สุด ก็คือ “การเล่าเรื่องราวที่น่าประทับใจทางอารมณ์” ที่เชื่อมโยงกลับไปยังวัตถุประสงค์และคุณค่าหลักของแบรนด์ (Brand Core Values) ตัวอย่างเช่น Nike Run Club ที่เปลี่ยนผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ให้กลายเป็นผู้ที่ศรัทธาในแบรนด์อย่างแรงกล้า ด้วยการนำเสนอคุณค่าหลังการซื้อ เช่น แผนการฝึกซ้อม ป้ายรางวัลความสำเร็จ (Achievement Badges) และความท้าทายในชุมชน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการตอกย้ำ “วิถีชีวิต” (Lifestyle) ที่แบรนด์เป็นตัวแทนของบางสิ่ง ที่ไม่ใช่แค่ตัวผลิตภัณฑ์เท่านั้น

10. ปรับทุกอย่างให้เป็นแบบเฉพาะบุคคล

เส้นทางของลูกค้าแต่ละรายจะมีความแตกต่างกัน โดยหากคุณใช้ระบบบริหารจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) หรือระบบ Marketing Automation ต่างๆ คุณจำเป็นต้องตอบสนองต่อความแตกต่างของแต่ละบุคคล ด้วยการใช้ข้อมูลอย่างชาญฉลาดเพื่อขับเคลื่อนความสัมพันธ์ ด้วยการ “แนะนำผลิตภัณฑ์เสริม” ที่เข้ากันได้กับสินค้าที่พวกเขาซื้อไปอย่างแท้จริง (ไม่ใช่การพยายามขายสินค้าเพิ่มเติมแบบสุ่ม) และ “กำหนดเวลาในการแจ้งเตือนให้ซื้อซ้ำ” โดยอ้างอิงจากรูปแบบการใช้งานจริงของลูกค้า รวมไปถึงการ “ส่งเคล็ดลับการดูแลสินค้าตามฤดูกาล” ที่เกี่ยวข้องกับประเภทผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาเป็นเจ้าของ

ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์เทียนหอมอาจสังเกตว่าลูกค้าส่วนใหญ่สั่งซื้อซ้ำทุกๆ 45 วัน แต่แทนที่จะส่งโฆษณาแบบทั่วๆไป พวกเขาส่งข้อความที่เหมาะสมและถูกจังหวะเวลาว่า “ห้องของคุณอาจจะคิดถึงกลิ่นหอมอันอบอุ่นนั้นแล้ว คุณพร้อมที่จะเติมความสุขอีกครั้งไหม” โดยการทำเช่นนี้เป็นการกระตุ้นเตือนอย่างนุ่มนวล และการมาถึงในเวลาที่สมบูรณ์แบบที่สุดนั่นเอง


การมีผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมอาจจะสามารถเอาชนะใจลูกค้า และทำให้พวกเขาควักกระเป๋าจ่ายได้ แต่ “ประสบการณ์หลังการซื้อที่ยอดเยี่ยม” (Post-Purchase Experience) จะสามารถเอาชนะใจพวกเขาได้ เพราะเมื่อลูกค้ารู้สึกว่า “เป็นที่จดจำ” ได้รับ “การแนะนำดูแล” และ “เป็นที่ชื่นชมยินดี” หลังจากที่พวกเขาซื้อสินค้าไปแล้ว พวกเขาจะเริ่มเชื่อว่าแบรนด์ของคุณมองเห็นพวกเขาอย่างแท้จริง ที่ไม่ใช่แค่ในฐานะผู้ซื้อผู้ขาย แต่เป็นในฐานะ “มนุษย์คนหนึ่ง” ที่มีอารมณ์ความรู้สึกนั่นเอง


หากข้อมูลและบทความต่างๆบนเว็บไซต์นี้ ทำให้คุณได้มุมมองใหม่ๆ หรือแรงบันดาลใจในการสร้างแบรนด์ การตลาด หรือการสื่อสารมากขึ้น และอยากต่อยอดความเข้าใจเหล่านี้ให้ลึกซึ้งขึ้นอีกขั้น ก็สามารถพูดคุยหรือขอคำปรึกษากับผมได้โดยตรงครับ ไม่ว่าจะเป็นการให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ การสอนแบบ Workshop หรือการบรรยายสำหรับทีมและองค์กร ผมยินดีแบ่งปันประสบการณ์จริงจากการทำงาน งานสอน และงานที่ปรึกษา เพื่อช่วยให้คุณหรือทีมของคุณเติบโตอย่างมีทิศทาง และเข้าใจ “หัวใจของแบรนด์และการตลาด” อย่างแท้จริง

📩 Email: thepopticles@gmail.com
📞 โทร / Line ID: 0829151594


Share to friends


Related Posts

เพราะรักแท้หรือแค่ภักดีกับการเข้าใจลูกค้าผ่าน Brand Loyalty และ Brand Love

นักการตลาดมักจะความสำคัญกับ “ลูกค้าที่ภักดี” (Loyalty Customer) ว่าเป็นความสำเร็จสูงสุด แต่ “ความภักดี” (Loyalty) นั้นก็ยังไม่ได้ถึงขั้นของคำว่า “ความรัก” (Love) เพราะลูกค้าที่ภักดีอาจซื้อสินค้าของคุณซ้ำๆ แต่ “ความรักในตัวแบรนด์” (Brand Love) นั้นจะครอบครองพื้นที่ทางอารมณ์ (Emotional) จิตวิทยา (Psychological) และแม้แต่ทางวัฒนธรรม (Cultural) ที่ไม่เหมือนใคร การทำความเข้าใจความแตกต่างและช่องว่างที่ซ่อนอยู่ ระหว่าง “ความภักดีต่อแบรนด์” (Brand Loyalty) และ “ความรักในตัวแบรนด์” (Brand Love)


5 วิธีเพิ่ม Brand Intimacy สู่แบรนด์อันเป็นที่รัก

Brand Intimacy เกิดจากความรู้สึกที่ลูกค้าเกิดความเชื่อมโยงบางอย่างต่อแบรนด์ และการเชื่อมโยงทางอารมณ์นั้นก็เกิดได้ในทุกๆช่วงของ Customer Journey


วิธีบริหาร Customer Experience ให้มีประสิทธิภาพ

Customer Experience หรือประสบการณ์ของลูกค้าซึ่งมันหมายถึงการรับรู้ของลูกค้าทั้งด้วยความตั้งใจและเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าในตลอดทั้งวงจรชีวิตของตัวลูกค้า ผ่านการเดินทาง (Customer Journey) และจุดสัมผัสของลูกค้า (Customer Touchpoint) และมันยิ่งสำคัญมากขึ้นเมื่อทุกๆอย่างอยู่บนโลกออนไลน์และอยู่ในยุคดิจิทัล จึงต้องมีการบริหารจัดการประสบการณ์ของลูกค้าเพื่อตอบโจทย์ความคาดหวังของลูกค้าเพิ่มความพึงพอใจ



triangle
copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์