A_Man_Feel_Disappointed_from_His_Life

คุณเคยบังคับตัวเองให้ดูหนังจนจบทั้งๆที่ไม่สนุกเลย เพียงเพราะคุณจ่ายค่าตั๋วไปแล้วบ้างหรือไม่ หรือยังคงอยู่ในความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวหรืองานที่ไม่ก้าวหน้าเพราะคิดว่า “ก็ลงทุนไปตั้งเยอะแล้ว จะให้เลิกตอนนี้ได้ยังไง” กรอบความคิดที่กำลังเกิดขึ้นนี้ คือ การดำเนินต่อไปในเส้นทางเดิม เพียงเพราะสิ่งที่เราสูญเสียไปแล้ว ซึ่งถูกเรียกว่า “Sunk Cost Fallacy” นั่นเองครับ ซึ่งเป็นหนึ่งในจิตวิทยาที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่ง ซึ่งผมจะพาผู้อ่านไปรู้จักกับ Sunk Cost Fallacy จากมุมมองทางจิตวิทยาและพฤติกรรม (Psychology & Behavior) เพื่อศึกษาให้เห็นว่ามันมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวัน ความสัมพันธ์ การตัดสินใจ และความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์ของเราอย่างไร

Sunk Cost Fallacy คืออะไร

“Sunk Cost Fallacy” หรือ “ความหลงผิดจากต้นทุนจม” ถูกนำเสนอและศึกษาอย่างเป็นทางการ โดยนักเศรษฐศาสตร์และนักจิตวิทยาพฤติกรรม 2 ท่าน คือ Richard Thaler และ Daniel Kahneman ซึ่งหมายถึง แนวโน้มที่จะลงทุนในบางสิ่งต่อไป เพียงเพราะคุณได้ทุ่มทรัพยากรลงไปแล้ว แม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่เป็นประโยชน์ต่อคุณอีกต่อไปก็ตาม โดยคำว่า “Sunk Cost” (ต้นทุนจม) หมายถึง การลงทุนในอดีต (เช่น เวลา เงิน ความพยายาม) ที่ไม่สามารถเรียกคืนได้ และความผิดพลาด ก็คือ การที่เราปล่อยให้การลงทุนในอดีตเหล่านั้น มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในอนาคต แม้ว่าตรรกะจะบอกว่าเราควรเดินออกมา โดยแทนที่จะคิดว่า “อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำต่อไป” เรากลับคิดว่า “เราใช้จ่ายไปเยอะแล้วและคงต้องไปต่อให้สุด” และเหตุผลที่เรามักจะตกอยู่ในความหลงผิดนี้ ก็คือ

1. ความกลัวการสูญเสีย (Loss Aversion)

มนุษย์เรามีความรู้สึกเจ็บปวดกับการสูญเสียมากกว่าความรู้สึกยินดี ที่ได้รับสิ่งเดียวกันในปริมาณเท่ากัน นั่นหมายความว่าการที่เรา “เสีย” เงิน 100 บาท จะทำให้เรารู้สึกแย่กว่าการ “ได้” เงิน 100 บาท สิ่งนี้ทำให้เราเกลียดการยอมรับว่าเราได้สูญเสียอะไรบางอย่างไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเงิน เวลา หรือความพยายาม การยอมรับว่า “ต้นทุนจม” นั้นจมไปแล้วจริงๆ ถือเป็นการยอมรับการสูญเสียที่เจ็บปวด ดังนั้น เราจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะ “กอบกู้” หรือ “ช่วยชีวิต” การลงทุนนั้นไว้ แม้จะต้องเสี่ยงกับความเสียหายที่มากขึ้นในอนาคตก็ตาม

2. ความผูกพันทางอารมณ์ (Emotional Attachment)

ยิ่งเราทุ่มเทตัวเองลงไปในสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ การทำโครงการต่างๆ หรือแม้แต่ความคิด เราก็ยิ่งรู้สึกผูกพันกับมันมากเท่านั้น มันเกิดเป็นความผูกพันทางจิตใจกับสิ่งที่เราได้สร้าง ได้ลงทุนลงแรง หรือได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ การปล่อยวางจึงไม่ใช่แค่การตัดขาดจากสิ่งที่จับต้องได้ แต่เป็นการตัดขาดจากส่วนหนึ่งของตัวเรา ความทรงจำ ความฝัน หรือความคาดหวังที่เคยมี การตัดใจจึงทำได้ยากมาก เพราะมันเป็นเรื่องเจ็บปวดทางอารมณ์

3. ความกลัวความเสียใจ (Fear of Regret)

เรามักจะจินตนาการถึงความรู้สึกเสียใจในอนาคต หากเราตัดสินใจเดินออกมาจากสถานการณ์หนึ่ง แล้วหลังจากนั้นสถานการณ์นั้นกลับพลิกผันไปในทางที่ดีขึ้นพอดี ความคิดที่ว่า “ถ้าฉันทนอีกนิด อาจจะดีขึ้นก็ได้” หรือ “จะรู้สึกโง่แค่ไหนถ้าเลิกไป แล้วมันดันสำเร็จทีหลัง” ทำให้เราเลือกที่จะอดทนต่อไป “เผื่อไว้” ทั้งๆที่ไม่มีหลักฐานใดๆ มารับประกันว่าสิ่งที่เรากลัวจะเกิดขึ้นจริง และในหลายกรณีการที่ “อยู่ต่อ” ต่างหากที่ทำให้เราเสียใจในภายหลัง

4. อัตตาและตัวตน (Ego and Identity)

การยอมแพ้หรือการเดินออกมาจากสิ่งที่เราลงทุนลงแรงไป อาจถูกมองว่าเป็นการยอมรับความล้มเหลว ซึ่งสามารถกระทบกระเทือนความภาคภูมิใจในตนเอง โดยเรายึดติดกับการตัดสินใจเดิมๆของ เราเพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของเราเอง (Self-Image) ทั้งต่อหน้าตัวเองและต่อหน้าผู้อื่น การยอมรับว่าเราตัดสินใจผิดพลาดหรือว่าสิ่งที่เราลงทุนไปนั้นสูญเปล่า อาจทำให้เรารู้สึกไม่ดีกับตัวเอง ดังนั้น เราจึงเลือกที่จะ “สู้ต่อ” เพื่อรักษาความรู้สึกถึงความสามารถ และความภาคภูมิใจของตัวเองไว้

ตัวอย่างของ Sunk Cost Fallacy

การศึกษา (Education)

นักศึกษาคนหนึ่งเรียนในหลักสูตรมหาวิทยาลัยมา 3 ปีแล้ว ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองไม่สนุกกับวิชานั้นอีกต่อไป หรือไม่ต้องการเรียนต่อในสาขานั้นแล้ว แต่ก็ยัง “ปฏิเสธที่จะเปลี่ยนวิชาเอก” เพราะคิดว่า “มาไกลขนาดนี้แล้ว จะทิ้งไปได้ยังไง” พวกเขาจมอยู่กับเวลา เงิน และความพยายามที่ได้ลงทุนไปแล้วตั้ง 3 ปี แทนที่จะพิจารณาว่าการเปลี่ยนสาขา อาจจะส่งผลดีต่ออนาคตและความสุขของพวกเขาในระยะยาวอย่างไร

University_Students_Doing_Assignment_In_the_Yard

ความสัมพันธ์ (Relationships)

ผู้คนยังคงอยู่ใน “ความสัมพันธ์แบบ Toxic” เป็นเวลาหลายปี เพราะให้เหตุผลว่า “เราคบกันมานานมากแล้ว” หรือ “เราผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะมาก” โดยพวกเขาให้น้ำหนักกับประวัติความสัมพันธ์ที่ผ่านมามากเกินไป และละเลยที่จะประเมินสถานะปัจจุบันของความสัมพันธ์ ว่ายังคงตอบสนองความต้องการ หรือทำให้พวกเขามีความสุขอยู่หรือไม่ การเสียดาย “ต้นทุน” ทางอารมณ์และเวลาที่ลงทุนไป ทำให้เดินออกมาจากวังวนที่เจ็บปวดได้ยาก

Couple_Have_A_Bad_Relationship

อาชีพการงาน (Careers)

คนคนหนึ่งยังคงทำงานที่ทำให้ตัวเอง “ทุกข์ทรมาน” และ “ไม่เป็นสุข” โดยให้เหตุผลว่า “ฉันทำงานที่นี่มา 10 ปีแล้ว จะทิ้งมันไปเฉยๆ ได้ยังไง” พวกเขามองว่าประสบการณ์ 10 ปีที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถละทิ้งได้ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว การอยู่ในงานที่ไม่มีความสุขต่อไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต และโอกาสในการเติบโตในอนาคต

A_Man_Take_A_Nap_at_Table

ความบันเทิง (Entertainment)

บางคนมักจะบังคับตัวเองให้ดูซีรีส์ที่น่าเบื่อ อ่านหนังสือที่ซ้ำซากจำเจ หรือเล่นเกมที่ไม่สนุกให้จบ เพียงเพราะเรา “เริ่มต้น” ไปแล้วทั้งๆที่ไม่ได้เพลิดเพลินกับมันอีกต่อไป การเสียดายเวลาที่ใช้ไปกับการเริ่มต้น ทำให้เรายังคงลงทุนเวลาต่อไปกับกิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดความสุข แทนที่จะเลือกไปทำกิจกรรมอื่นที่น่าสนใจกว่า

A_Woman_Watching_Movie_In_Cinema_And_Eating_Popcorn

วิธีก้าวข้ามการติดอยู่กับ Sunk Cost Fallacy

หลายๆคนนั้นติดอยู่กับเรื่องราวในอดีต หรือความรู้สึกเสียดาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความรู้สึกที่บั่นทอนจิตใจทั้งนั้น และหากอยากเปลี่ยนแปลงบางสิ่งในตัวเอง เพื่อก้าวข้ามความรู้สึกในแบบ Sunk Cost Fallacy มันก็มีวิธีที่สามารถนำมาปรับใช้ได้ ดังนี้

1. ตั้งคำถามเพื่ออนาคต

ลองถามตัวเองด้วยคำถามที่ตรงไปตรงมาว่า “ถ้าฉันยังไม่ได้เริ่มต้นสิ่งนี้ ฉันจะเลือกเริ่มตอนนี้ไหม” หากคำตอบคือ “ไม่” นั่นเป็นสัญญาณสำคัญที่บอกว่า คุณควรพิจารณาที่จะปล่อยวางอย่างจริงจัง การยึดติดกับสิ่งที่เริ่มต้นไปแล้ว อาจทำให้คุณต้องเสียเวลา พลังงาน หรือเงินมากขึ้นในอนาคต โดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย

2. มุ่งเน้นที่ผลประโยชน์ในอนาคต ไม่ใช่ความสูญเสียในอดีต

“สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป” การตัดสินใจในอนาคตควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของ “ผลลัพธ์ที่คาดหวัง” (Expected Outcomes) ไม่ใช่ภาระทางอารมณ์จากอดีตที่เราได้ลงทุนไปแล้ว ลองคิดดูว่าการเดินหน้าต่อไป จะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่าอย่างไร แทนที่จะจมปลักอยู่กับความเสียดายที่เกิดขึ้นไปแล้ว

3. แยกอัตตาออกจากผลลัพธ์

การปล่อยวางไม่ได้หมายถึงความล้มเหลว แต่มันคือ “ปัญญา” (Wisdom) การเดินหน้าต่อไป ถือเป็นสัญญาณของการ “เติบโต” (Growth) ไม่ใช่ “ความอ่อนแอ” (Weakness) การยอมรับว่าบางสิ่งไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวัง และกล้าที่จะเปลี่ยนเส้นทาง คือ การแสดงออกถึงความฉลาด และความเข้มแข็งทางใจที่แท้จริง

4. ขอความเห็นจากคนนอก

บางครั้งเมื่อเราจมอยู่กับสถานการณ์ทางอารมณ์ และมันยากที่เราจะมองเห็นความเป็นจริงได้ ลอง “พูดคุยกับคนที่คุณไว้ใจ” หรือ “ผู้ที่มีประสบการณ์” พวกเขามักจะมองเห็นสถานการณ์ของคุณได้ชัดเจนกว่า โดยปราศจากความคลุมเครือทางอารมณ์ที่บดบังวิสัยทัศน์หรือความคิดของคุณ

5. ฝึกทำบันทึกการตัดสินใจ

ลองจดบันทึกการตัดสินใจครั้งสำคัญๆ และเหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจเหล่านั้น และเมื่อเวลาผ่านไป การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณ “สังเกตเห็นรูปแบบ” ของการหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง หรืออคติทางอารมณ์ที่คุณมีในการตัดสินใจได้ดีขึ้น และช่วยให้คุณเรียนรู้ที่จะตัดสินใจ ได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้นในอนาคต


Sunk Cost Fallacy แสดงให้เห็นว่าอคติทางความคิด สามารถส่งผลต่อการตัดสินใจของเรา ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร การตระหนักถึงสิ่งนี้สามารถช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น โดยเน้นที่ประโยชน์ในอนาคตมากกว่าการยึดติดกับสิ่งที่ลงทุนไปแล้วในอดีต คุณคิดว่ามีสถานการณ์ไหนในชีวิตของคุณที่ตกอยู่ในหลุมพรางของ Sunk Cost Fallacy บ้างไหม


Share to friends


Related Posts

Social Comparison Theory ทำไมเราชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

คุณเคยดูรูปภาพวันหยุดของเพื่อนแล้วจู่ๆ ก็รู้สึกว่าชีวิตของคุณน่าเบื่อบ้างไหม หรือเปรียบเทียบความก้าวหน้าในอาชีพของคุณกับคนอื่น แล้วสงสัยว่าคุณกำลังล้าหลังอยู่หรือเปล่า ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเพราะ “มนุษย์มีความโน้มเอียงฝังลึก” ที่จะวัดคุณค่าของตนเองด้วยการมองไปที่คนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน เพื่อน หรือแม้แต่คนแปลกหน้า สัญชาตญาณตามธรรมชาตินี้อธิบายได้ด้วยแนวคิดทางจิตวิทยาอันทรงพลัง ที่เรียกว่า “ทฤษฎีการเปรียบเทียบทางสังคม” (Social Comparison Theory)


Self-Serving Bias เมื่อเรามองโลกในมุมที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง

คุณเคยสังเกตไหมว่าคนเรา มักจะยกความดีความชอบให้กับความสำเร็จของตัวเอง แต่กลับโทษปัจจัยภายนอกเมื่อล้มเหลว ตัวอย่างเช่น หากคุณสอบได้คะแนนดีเยี่ยม คุณอาจคิดว่าเป็นเพราะคุณอ่านหนังสือหนักหรือเป็นคนฉลาด แต่ถ้าคุณสอบตกขึ้นมาเมื่อไหร่คุณอาจโทษว่าข้อสอบยากหรือเป็นเพราะความโชคร้าย รูปแบบทางจิตวิทยานี้เราเรียกว่า “ความลำเอียงที่เข้าข้างตัวเอง” (Self-Serving Bias) ซึ่งเป็นหนึ่งในอคติทางความคิดที่บุคคล จะอ้างเหตุผลว่าความสำเร็จของตนเองมาจากปัจจัยภายใน


The Dunning-Kruger Effect เมื่อเรารู้ไม่พอ…แต่กลับมั่นใจเกินจริง

คุณเคยเจอใครบางคนที่ “มั่นใจ” ในทักษะที่ตัวเองยังไม่เชี่ยวชาญเลยไหม หรือบางทีคุณอาจเคยคิดว่าตัวเอง “เข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลึกซึ้ง” จนกระทั่งได้เรียนรู้เพิ่มเติมแล้วตระหนักว่าจริงๆแล้ว “คุณรู้น้อยแค่ไหน” ประสบการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยครับ เพราะที่จริงแล้วสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึง ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่เรียกว่า “ผลกระทบดันนิง-ครูเกอร์” (The Dunning-Kruger Effect) ซึ่งเป็นอคติทางความคิด ที่ทำให้ผู้ที่มีความสามารถหรือความรู้ต่ำในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินไป



triangle
copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์