
คุณเคยเจอใครบางคนที่ “มั่นใจ” ในทักษะที่ตัวเองยังไม่เชี่ยวชาญเลยไหม หรือบางทีคุณอาจเคยคิดว่าตัวเอง “เข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลึกซึ้ง” จนกระทั่งได้เรียนรู้เพิ่มเติมแล้วตระหนักว่าจริงๆแล้ว “คุณรู้น้อยแค่ไหน” ประสบการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยครับ เพราะที่จริงแล้วสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึง ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่เรียกว่า “ผลกระทบดันนิง-ครูเกอร์” (The Dunning-Kruger Effect) ซึ่งเป็นอคติทางความคิด ที่ทำให้ผู้ที่มีความสามารถหรือความรู้ต่ำในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินไป และผมจะพาผู้อ่านมาทำความเข้าใจกับ The Dunning-Kruger Effect กันในบทความนี้ครับว่า ปรากฎการณ์นี้ส่งผลกระทบอย่างไรต่อชีวิตของเราบ้าง

อะไรคือ The Dunning-Kruger Effect
- ขั้นที่ 1 – ไม่รู้แต่ก็มั่นใจ (Ignorant but Confident)
ผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นอาจรู้สึกมั่นใจเกินไป เนื่องจากพวกเขายังไม่รู้ถึงความลึกซึ้งของเรื่องนั้นๆ - ขั้นที่ 2 – หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง (The Valley of Despair)
เมื่อพวกเขาเรียนรู้มากขึ้น ความมั่นใจจะลดลง และพวกเขาก็จะตระหนักว่าตัวเองไม่รู้อะไรอีกมาก - ขั้นที่ 3 – ความรอบรู้และสมดุล (Informed and Balanced)
เมื่อเวลาผ่านไปและมีประสบการณ์มากขึ้น พวกเขาก็จะสร้างความมั่นใจขึ้นมาใหม่ ซึ่งคราวนี้อยู่บนพื้นฐานของความสามารถที่แท้จริง

The Dunning-Kruger Effect Curve แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “ความรู้ / ประสบการณ์” (Knowledge – Experience) กับ “ความมั่นใจ” (Confidence) โดยมีแกนแนวตั้ง (Y) เป็นระดับความมั่นใจ (Confidence: Low – High) และแกนแนวนอน (X) เป็นระดับความรู้และประสบการณ์ (Competence: Know Nothing – Expert) โดยเส้นโค้งสีฟ้สแสดงการเปลี่ยนแปลงของความมั่นใจ ตามระดับความรู้และประสบการณ์ ที่สามารถอธิบายแต่ละช่วงได้ ดังนี้
Peak of “Mount Stupid” (จุดสูงสุดของ “ภูเขาแห่งความโง่เขลา”)
เป็นจุดเริ่มต้นที่ความรู้และประสบการณ์ยังต่ำมาก (ใกล้เคียงกับ “Know Nothing”) แต่ความมั่นใจพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและอยู่ในระดับสูงสุด ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่า บุคคลมีความรู้หรือทักษะเพียงผิวเผินเล็กน้อย ซึ่งทำให้พวกเขามีภาพลวงตาว่า ตนเองรู้มากและมีความสามารถสูงมาก พวกเขามักจะประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินจริงอย่างมาก เนื่องจากขาดความรู้ที่แท้จริงที่จะตระหนักว่า “ตนเองไม่รู้อะไรเลย” นี่คือหัวใจของ The Dunning-Kruger Effect ที่ว่า “ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้อะไร” (Don’t Know What They Don’t Know)

Valley of Despair (หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง)
เมื่อความรู้และประสบการณ์เพิ่มขึ้นมาในระดับหนึ่ง (ออกจากจุด “Know Nothing” มาบ้างแล้ว) ความมั่นใจจะดิ่งลงอย่างรวดเร็วและถึงจุดต่ำสุดของเส้นโค้ง ซึ่งอธิบายได้ว่า เมื่อบุคคลเริ่มเรียนรู้มากขึ้นและลึกลงไปในเรื่องนั้นๆ พวกเขาจะเริ่มตระหนักถึงความซับซ้อน ความกว้างขวาง และความลึกของสิ่งที่ตนเองยังไม่รู้ ความตระหนักรู้นี้ทำให้ความมั่นใจลดฮวบลงอย่างมาก รู้สึกท่วมท้นกับสิ่งที่ต้องเรียนรู้และอาจรู้สึกสิ้นหวัง หรือไม่มั่นใจในความสามารถของตนเอง

Slope of Enlightenment (เนินแห่งการรู้แจ้ง)
หลังจากผ่าน “Valley of Despair” มาแล้ว เมื่อความรู้และประสบการณ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความมั่นใจก็จะค่อยๆ ฟื้นตัวและเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ โดยในช่วงนี้ จะเกิดการเริ่มสะสมความรู้และประสบการณ์อย่างแท้จริง พวกเขาเริ่มเข้าใจแนวคิดที่ซับซ้อนมากขึ้น พัฒนาทักษะ และเห็นภาพรวมของเรื่องนั้นๆได้อย่างชัดเจนขึ้น ความมั่นใจที่กลับมานั้นไม่ใช่ความมั่นใจที่มาจากการไม่รู้ แต่เป็นความมั่นใจที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรู้ และความเข้าใจที่แท้จริง

Plateau of Sustainability (ที่ราบสูงแห่งความยั่งยืน)
เมื่อความรู้และประสบการณ์ไปถึงระดับสูงมาก (ใกล้เคียงกับ “Expert”) ความมั่นใจจะถึงระดับที่ค่อนข้างสูง และคงที่แต่ไม่ได้พุ่งสูงเท่ากับ Peak of “Mount Stupid” โดยในขั้นนี้ คุณจะมีความเชี่ยวชาญและเป็น “Expert” หรือผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ มีความรู้และประสบการณ์อย่างลึกซึ้ง ทำให้ความมั่นใจของพวกเขาอยู่ในระดับที่มั่นคงและยั่งยืน พวกเขาตระหนักถึงความสามารถของตนเอง แต่ก็ยังคงตระหนักว่ายังมีสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้อีก และอาจจะมีความถ่อมตนในระดับหนึ่ง เนื่องจากเข้าใจถึงความกว้างใหญ่ขององค์ความรู้ทั้งหมด


The Dunning-Kruger Effect กับผลกระทบในชีวิต
1. การสื่อสารที่ผิดพลาด (Miscommunication)
เมื่อผู้คนประเมินความรู้ของตนเองสูงเกินไป พวกเขาอาจครอบงำบทสนทนาและให้คำแนะนำที่ไม่ดี หรือละเลยข้อมูลของผู้อื่น โดยลองนึกภาพสถานการณ์ที่คุณกำลังหารือ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งกับเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนสนิท คนที่มี The Dunning-Kruger Effect ในเรื่องนั้นๆ จะเชื่ออย่างแรงกล้าว่าตนเองรู้ดีที่สุด แม้ว่าข้อมูลที่พวกเขามีจะผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วนก็ตาม และไม่เปิดโอกาาให้คนอื่นๆพูด เพราะมั่นใจและเชื่อว่าตัวเองรู้ดีที่สุด
2. ความล่าช้าในการเรียนรู้ (Learning Delays)
ความมั่นใจที่มากเกินไปจะลดแรงจูงใจในการเรียนรู้ และจะเกิดคำพูดที่ว่า “หากคุณคิดว่าคุณรู้มากพอแล้ว จะเรียนรู้เพิ่มเติมไปทำไม” นี่เป็นผลกระทบโดยตรงของ The Dunning-Kruger Effect และผู้ที่อยู่ในช่วง Peak of “Mount Stupid” จะมีความมั่นใจสูงมากในสิ่งที่ตนเองรู้เพียงน้อยนิด และเมื่อเกิดความเชื่อว่าตัวเองเก่งหรือรู้ทุกอย่างแล้ว ก็จะไม่มีแรงกระตุ้นที่จะศึกษา ค้นคว้า หรือฝึกฝนเพิ่มเติม ทำให้พัฒนาการในการเรียนรู้หยุดชะงัก หรือก้าวหน้าไปอย่างช้ามา ทำให้ไม่สามารถพัฒนาไปสู่ระดับความเชี่ยวชาญที่แท้จริงได้ เพราะไม่ยอมก้าวข้ามความมั่นใจจอมปลอมไปสู่ “Valley of Despair” ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ที่แท้จริง
3. ความขัดแย้งในความสัมพันธ์ (Relationship Conflicts)
การสมมติว่าคุณ “ถูก” และคนอื่น “ไม่รู้” สามารถนำไปสู่การดูถูกเหยียดหยามและความขัดแย้งได้ โดยเฉพาะในความสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครอบครัว หรือคนรัก การที่คนใดคนหนึ่งเชื่อว่าตนเองถูกต้องเสมอ และมองว่าอีกฝ่ายผิดหรือไม่มีความรู้ จะสร้างปัญหาเป็นอย่างมาก ผู้ที่มี The Dunning-Kruger Effect อาจจะแสดงท่าทีดูถูกความคิดเห็น ความรู้สึก หรือความสามารถของผู้อื่นอย่างไม่รู้ตัวหรือไม่ตั้งใจ เพราะเชื่อว่าความคิดของตนเองนั้นเหนือกว่า และเมื่อมีการปะทะกันของความคิด และฝ่ายหนึ่งไม่ยอมรับว่าตนเองอาจผิดหรือขาดข้อมูล ก็จะนำไปสู่การโต้เถียง ความไม่เข้าใจ และความขัดแย้งที่ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ง่ายๆ ทำให้ความสัมพันธ์ตึงเครียดหรือถึงขั้นแตกหักได้
โดยรวมแล้ว Dunning-Kruger Effect ไม่เพียงแค่ส่งผลต่อการรับรู้ตนเอง แต่ยังส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การเรียนรู้ และการพัฒนาตนเองของเราในชีวิตประจำวันอีกด้วย

วิธีรับมือกับ The Dunning-Kruger Effect
1. ทำตัวอยากรู้อยากเห็นเข้าไว้ อย่าเชื่อมั่นจนเกินไป
เพื่อต่อต้านกับ The Dunning-Kruger Effect สิ่งสำคัญ คือ การปรับเปลี่ยนกรอบความคิดจากการเชื่อมั่นในสิ่งที่รู้ ไปสู่การมีจิตใจที่เปิดกว้างและพร้อมที่จะสอบถามอยู่เสมอ ด้วยการตั้งคำถามไม่ว่าจะเป็น “ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น” หรือ “มีมุมมองอื่นอีกไหม” ก็จะช่วยให้เรา เจาะลึกเข้าไปในความซับซ้อนของข้อมูล แทนที่จะหยุดอยู่แค่ความเข้าใจแบบพื้นผิว การตระหนักว่าความรู้มักมีหลายชั้นและมีความละเอียดอ่อน จะช่วยให้เราไม่ด่วนสรุปหรือคิดว่าตนเองรู้ทั้งหมด ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งและต่อเนื่อง
2. แสวงหาข้อเสนอแนะ
การเปิดใจรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น ก็ถือเป็นเครื่องมืออันทรงพลัง ในการตรวจสอบความเข้าใจของตนเอง ดังนั้นคุณควรเชื้อเชิญให้เพื่อนร่วมงาน ผู้เชี่ยวชาญ หรือแม้แต่เพื่อนสนิท เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์หรือทบทวนสิ่งที่เราคิดหรือทำ ข้อเสนอแนะที่ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า ซึ่งจะช่วยเผยให้เห็น “จุดบอด” หรือมุมที่เรามองข้ามไป ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตนเอง การเปิดกว้างต่อคำวิจารณ์เช่นนี้จะช่วยให้เราปรับปรุง และแก้ไขความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้
3. เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
แทนที่จะหยุดอยู่แค่การเชี่ยวชาญในข้อเท็จจริง หรือเรื่องของเทคนิคเพียงอย่างเดียว คุณควรมุ่งมั่นที่จะลงลึกในหัวข้อต่างๆ อย่างไม่หยุดหย่อน ควรอ่านหนังสือและแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย ศึกษาจากผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ในฐานะพี่เลี้ยง (Mentor) และที่สำคัญ ก็คือ การสำรวจมุมมองที่แตกต่าง หรือขัดแย้งกับความคิดของตนเอง การกระทำเหล่านี้จะช่วยขยายขอบเขตความรู้ ทำให้เราตระหนักถึงความกว้างใหญ่ และความซับซ้อนของสิ่งที่เรายังไม่รู้ เพื่อผลักดันให้เราพัฒนาไปสู่ความเชี่ยวชาญที่แท้จริง
4. ระวังความมั่นใจที่มากเกินไป
การฝึกสังเกตและตระหนักรู้ในตนเองเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเมื่อใดที่คุณรู้สึกมั่นใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป หรือรู้สึกว่าเรื่องนั้น “ง่ายดาย” จนผิดปกติ นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของผลกระทบจาก The Dunning-Kruger Effect และให้หยุดและถามตัวเองว่า “ฉันได้ศึกษาเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งจริงๆแล้วหรือยัง” หรือ “ฉันกำลังทำให้เรื่องนี้ง่ายเกินไปหรือไม่” การตั้งคำถามกับความมั่นใจของตนเอง จะช่วยป้องกันไม่ให้เราติดอยู่ในกับดัก ของการประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินไป และกระตุ้นให้เราค้นหาความจริงที่ซับซ้อนกว่าที่คิด
The Dunning-Kruger Effect เป็นจุดบอดทางจิตใจตามธรรมชาติ ที่เราทุกคนต่างก็ประสบพบเจอ แต่หัวใจสำคัญนั้นไม่ใช่การหลีกเลี่ยงผลกระทบนี้โดยสิ้นเชิง แต่เป็นการตระหนักรู้เมื่อมันเกิดขึ้น และตอบสนองด้วยความถ่อมตน พร้อมกับความอยากรู้อยากเห็น และความปรารถนาที่จะเติบโตนั่นเอง