A_Man_Holding_A_Wording_Sign_Prove_Them_Wrong

คุณเคยเจอใครบางคนที่ “มั่นใจ” ในทักษะที่ตัวเองยังไม่เชี่ยวชาญเลยไหม หรือบางทีคุณอาจเคยคิดว่าตัวเอง “เข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลึกซึ้ง” จนกระทั่งได้เรียนรู้เพิ่มเติมแล้วตระหนักว่าจริงๆแล้ว “คุณรู้น้อยแค่ไหน” ประสบการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยครับ เพราะที่จริงแล้วสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึง ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่เรียกว่า “ผลกระทบดันนิง-ครูเกอร์” (The Dunning-Kruger Effect) ซึ่งเป็นอคติทางความคิด ที่ทำให้ผู้ที่มีความสามารถหรือความรู้ต่ำในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินไป และผมจะพาผู้อ่านมาทำความเข้าใจกับ The Dunning-Kruger Effect กันในบทความนี้ครับว่า ปรากฎการณ์นี้ส่งผลกระทบอย่างไรต่อชีวิตของเราบ้าง

อะไรคือ The Dunning-Kruger Effect

The Dunning-Kruger Effect คือ อคติทางความคิดที่บุคคลซึ่งมีความรู้ หรือทักษะจำกัดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เข้าใจผิดคิดว่าตนเองมีความสามารถหรือได้รับข้อมูลมากกว่าที่เป็นจริง ในขณะเดียวกันผู้ที่มีทักษะหรือความรู้ที่แท้จริง มักจะประเมินความสามารถของตนเองต่ำไป โดยคิดว่าสิ่งที่ง่ายสำหรับพวกเขาต้องง่ายสำหรับคนอื่นด้วย ช่องว่างที่ย้อนแย้งนี้สร้างให้เกิดความรู้สึกในการรับรู้ตนเองที่บิดเบือนไป

แนวคิดนี้ได้รับการนำเสนออย่างเป็นทางการ โดยนักจิตวิทยาชื่อ เดวิด ดันนิง (David Dunning) และ จัสติน ครูเกอร์ (Justin Kruger) จากการศึกษาปี 1999 ที่มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell University) โดยพวกเขาพบว่า ผู้ที่ได้คะแนนต่ำสุดในไตรมาสสุดท้ายของการทดสอบตรรกะ ไวยากรณ์ และอารมณ์ขัน ประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินไปมากที่สุด ผลการวิจัยของพวกเขาเผยให้เห็นถึงความย้อนแย้ง และผู้ที่ขาดทักษะในการทำได้ดีก็ขาดทักษะทางอภิปัญญา (Metacognitive Skill) ในการตระหนักถึงประสิทธิภาพที่ไม่ดีของตนเองด้วย โดย The Dunning-Kruger Effect นั้นได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับ “เส้นโค้งแห่งความมั่นใจ” (Confidence Curve) เอาไว้ 3 ขั้น ดังนี้

  • ขั้นที่ 1 – ไม่รู้แต่ก็มั่นใจ (Ignorant but Confident)
    ผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นอาจรู้สึกมั่นใจเกินไป เนื่องจากพวกเขายังไม่รู้ถึงความลึกซึ้งของเรื่องนั้นๆ
  • ขั้นที่ 2 – หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง (The Valley of Despair)
    เมื่อพวกเขาเรียนรู้มากขึ้น ความมั่นใจจะลดลง และพวกเขาก็จะตระหนักว่าตัวเองไม่รู้อะไรอีกมาก
  • ขั้นที่ 3 – ความรอบรู้และสมดุล (Informed and Balanced)
    เมื่อเวลาผ่านไปและมีประสบการณ์มากขึ้น พวกเขาก็จะสร้างความมั่นใจขึ้นมาใหม่ ซึ่งคราวนี้อยู่บนพื้นฐานของความสามารถที่แท้จริง

เส้นโค้งนี้ช่วยอธิบายว่าทำไมมือใหม่ถึงดูมั่นใจ ในขณะที่คนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญกลับดูระมัดระวัง เรามาดูคำอธิบายภาพของ “เส้นโค้งแห่งความมั่นใจ” (Confidence Curve) เพิ่มเติมกันครับ โดยจะใช้ชื่อว่า The Dunning-Kruger Effect Curve แทนครับ

The_Dunning-Kruger_Effect_Curve

The Dunning-Kruger Effect Curve แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “ความรู้ / ประสบการณ์” (Knowledge – Experience) กับ “ความมั่นใจ” (Confidence) โดยมีแกนแนวตั้ง (Y) เป็นระดับความมั่นใจ (Confidence: Low – High) และแกนแนวนอน (X) เป็นระดับความรู้และประสบการณ์ (Competence: Know Nothing – Expert) โดยเส้นโค้งสีฟ้สแสดงการเปลี่ยนแปลงของความมั่นใจ ตามระดับความรู้และประสบการณ์ ที่สามารถอธิบายแต่ละช่วงได้ ดังนี้

Peak of “Mount Stupid” (จุดสูงสุดของ “ภูเขาแห่งความโง่เขลา”)

เป็นจุดเริ่มต้นที่ความรู้และประสบการณ์ยังต่ำมาก (ใกล้เคียงกับ “Know Nothing”) แต่ความมั่นใจพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและอยู่ในระดับสูงสุด ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่า บุคคลมีความรู้หรือทักษะเพียงผิวเผินเล็กน้อย ซึ่งทำให้พวกเขามีภาพลวงตาว่า ตนเองรู้มากและมีความสามารถสูงมาก พวกเขามักจะประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินจริงอย่างมาก เนื่องจากขาดความรู้ที่แท้จริงที่จะตระหนักว่า “ตนเองไม่รู้อะไรเลย” นี่คือหัวใจของ The Dunning-Kruger Effect ที่ว่า “ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้อะไร” (Don’t Know What They Don’t Know)

A_Man_Spread_His_Hand_In_The_Air

Valley of Despair (หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง)

เมื่อความรู้และประสบการณ์เพิ่มขึ้นมาในระดับหนึ่ง (ออกจากจุด “Know Nothing” มาบ้างแล้ว) ความมั่นใจจะดิ่งลงอย่างรวดเร็วและถึงจุดต่ำสุดของเส้นโค้ง ซึ่งอธิบายได้ว่า เมื่อบุคคลเริ่มเรียนรู้มากขึ้นและลึกลงไปในเรื่องนั้นๆ พวกเขาจะเริ่มตระหนักถึงความซับซ้อน ความกว้างขวาง และความลึกของสิ่งที่ตนเองยังไม่รู้ ความตระหนักรู้นี้ทำให้ความมั่นใจลดฮวบลงอย่างมาก รู้สึกท่วมท้นกับสิ่งที่ต้องเรียนรู้และอาจรู้สึกสิ้นหวัง หรือไม่มั่นใจในความสามารถของตนเอง

A_Man_in_Red_Shirt_Feel_Depress_Sitting_in_front_of_Building

Slope of Enlightenment (เนินแห่งการรู้แจ้ง)

หลังจากผ่าน “Valley of Despair” มาแล้ว เมื่อความรู้และประสบการณ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความมั่นใจก็จะค่อยๆ ฟื้นตัวและเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ โดยในช่วงนี้ จะเกิดการเริ่มสะสมความรู้และประสบการณ์อย่างแท้จริง พวกเขาเริ่มเข้าใจแนวคิดที่ซับซ้อนมากขึ้น พัฒนาทักษะ และเห็นภาพรวมของเรื่องนั้นๆได้อย่างชัดเจนขึ้น ความมั่นใจที่กลับมานั้นไม่ใช่ความมั่นใจที่มาจากการไม่รู้ แต่เป็นความมั่นใจที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรู้ และความเข้าใจที่แท้จริง

A_Man_Reading_A_Book_in_the_Field

Plateau of Sustainability (ที่ราบสูงแห่งความยั่งยืน)

เมื่อความรู้และประสบการณ์ไปถึงระดับสูงมาก (ใกล้เคียงกับ “Expert”) ความมั่นใจจะถึงระดับที่ค่อนข้างสูง และคงที่แต่ไม่ได้พุ่งสูงเท่ากับ Peak of “Mount Stupid” โดยในขั้นนี้ คุณจะมีความเชี่ยวชาญและเป็น “Expert” หรือผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ มีความรู้และประสบการณ์อย่างลึกซึ้ง ทำให้ความมั่นใจของพวกเขาอยู่ในระดับที่มั่นคงและยั่งยืน พวกเขาตระหนักถึงความสามารถของตนเอง แต่ก็ยังคงตระหนักว่ายังมีสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้อีก และอาจจะมีความถ่อมตนในระดับหนึ่ง เนื่องจากเข้าใจถึงความกว้างใหญ่ขององค์ความรู้ทั้งหมด

A_Man_in_The_Library_Selecting_A_Book_from_Shelf

The Dunning-Kruger Effect กับผลกระทบในชีวิต

ผลกระทบของ The Dunning-Kruger Effect สามารถส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเราในหลายมิติ เราลองมาดูตัวอย่างกันครับ

1. การสื่อสารที่ผิดพลาด (Miscommunication)

เมื่อผู้คนประเมินความรู้ของตนเองสูงเกินไป พวกเขาอาจครอบงำบทสนทนาและให้คำแนะนำที่ไม่ดี หรือละเลยข้อมูลของผู้อื่น โดยลองนึกภาพสถานการณ์ที่คุณกำลังหารือ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งกับเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนสนิท คนที่มี The Dunning-Kruger Effect ในเรื่องนั้นๆ จะเชื่ออย่างแรงกล้าว่าตนเองรู้ดีที่สุด แม้ว่าข้อมูลที่พวกเขามีจะผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วนก็ตาม และไม่เปิดโอกาาให้คนอื่นๆพูด เพราะมั่นใจและเชื่อว่าตัวเองรู้ดีที่สุด

2. ความล่าช้าในการเรียนรู้ (Learning Delays)

ความมั่นใจที่มากเกินไปจะลดแรงจูงใจในการเรียนรู้ และจะเกิดคำพูดที่ว่า “หากคุณคิดว่าคุณรู้มากพอแล้ว จะเรียนรู้เพิ่มเติมไปทำไม” นี่เป็นผลกระทบโดยตรงของ The Dunning-Kruger Effect และผู้ที่อยู่ในช่วง Peak of “Mount Stupid” จะมีความมั่นใจสูงมากในสิ่งที่ตนเองรู้เพียงน้อยนิด และเมื่อเกิดความเชื่อว่าตัวเองเก่งหรือรู้ทุกอย่างแล้ว ก็จะไม่มีแรงกระตุ้นที่จะศึกษา ค้นคว้า หรือฝึกฝนเพิ่มเติม ทำให้พัฒนาการในการเรียนรู้หยุดชะงัก หรือก้าวหน้าไปอย่างช้ามา ทำให้ไม่สามารถพัฒนาไปสู่ระดับความเชี่ยวชาญที่แท้จริงได้ เพราะไม่ยอมก้าวข้ามความมั่นใจจอมปลอมไปสู่ “Valley of Despair” ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ที่แท้จริง

3. ความขัดแย้งในความสัมพันธ์ (Relationship Conflicts)

การสมมติว่าคุณ “ถูก” และคนอื่น “ไม่รู้” สามารถนำไปสู่การดูถูกเหยียดหยามและความขัดแย้งได้ โดยเฉพาะในความสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครอบครัว หรือคนรัก การที่คนใดคนหนึ่งเชื่อว่าตนเองถูกต้องเสมอ และมองว่าอีกฝ่ายผิดหรือไม่มีความรู้ จะสร้างปัญหาเป็นอย่างมาก ผู้ที่มี The Dunning-Kruger Effect อาจจะแสดงท่าทีดูถูกความคิดเห็น ความรู้สึก หรือความสามารถของผู้อื่นอย่างไม่รู้ตัวหรือไม่ตั้งใจ เพราะเชื่อว่าความคิดของตนเองนั้นเหนือกว่า และเมื่อมีการปะทะกันของความคิด และฝ่ายหนึ่งไม่ยอมรับว่าตนเองอาจผิดหรือขาดข้อมูล ก็จะนำไปสู่การโต้เถียง ความไม่เข้าใจ และความขัดแย้งที่ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ง่ายๆ ทำให้ความสัมพันธ์ตึงเครียดหรือถึงขั้นแตกหักได้

โดยรวมแล้ว Dunning-Kruger Effect ไม่เพียงแค่ส่งผลต่อการรับรู้ตนเอง แต่ยังส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การเรียนรู้ และการพัฒนาตนเองของเราในชีวิตประจำวันอีกด้วย

วิธีรับมือกับ The Dunning-Kruger Effect

1. ทำตัวอยากรู้อยากเห็นเข้าไว้ อย่าเชื่อมั่นจนเกินไป

เพื่อต่อต้านกับ The Dunning-Kruger Effect สิ่งสำคัญ คือ การปรับเปลี่ยนกรอบความคิดจากการเชื่อมั่นในสิ่งที่รู้ ไปสู่การมีจิตใจที่เปิดกว้างและพร้อมที่จะสอบถามอยู่เสมอ ด้วยการตั้งคำถามไม่ว่าจะเป็น “ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น” หรือ “มีมุมมองอื่นอีกไหม” ก็จะช่วยให้เรา เจาะลึกเข้าไปในความซับซ้อนของข้อมูล แทนที่จะหยุดอยู่แค่ความเข้าใจแบบพื้นผิว การตระหนักว่าความรู้มักมีหลายชั้นและมีความละเอียดอ่อน จะช่วยให้เราไม่ด่วนสรุปหรือคิดว่าตนเองรู้ทั้งหมด ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งและต่อเนื่อง

2. แสวงหาข้อเสนอแนะ

การเปิดใจรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น ก็ถือเป็นเครื่องมืออันทรงพลัง ในการตรวจสอบความเข้าใจของตนเอง ดังนั้นคุณควรเชื้อเชิญให้เพื่อนร่วมงาน ผู้เชี่ยวชาญ หรือแม้แต่เพื่อนสนิท เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์หรือทบทวนสิ่งที่เราคิดหรือทำ ข้อเสนอแนะที่ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า ซึ่งจะช่วยเผยให้เห็น “จุดบอด” หรือมุมที่เรามองข้ามไป ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตนเอง การเปิดกว้างต่อคำวิจารณ์เช่นนี้จะช่วยให้เราปรับปรุง และแก้ไขความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้

3. เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

แทนที่จะหยุดอยู่แค่การเชี่ยวชาญในข้อเท็จจริง หรือเรื่องของเทคนิคเพียงอย่างเดียว คุณควรมุ่งมั่นที่จะลงลึกในหัวข้อต่างๆ อย่างไม่หยุดหย่อน ควรอ่านหนังสือและแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย ศึกษาจากผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ในฐานะพี่เลี้ยง (Mentor) และที่สำคัญ ก็คือ การสำรวจมุมมองที่แตกต่าง หรือขัดแย้งกับความคิดของตนเอง การกระทำเหล่านี้จะช่วยขยายขอบเขตความรู้ ทำให้เราตระหนักถึงความกว้างใหญ่ และความซับซ้อนของสิ่งที่เรายังไม่รู้ เพื่อผลักดันให้เราพัฒนาไปสู่ความเชี่ยวชาญที่แท้จริง

4. ระวังความมั่นใจที่มากเกินไป

การฝึกสังเกตและตระหนักรู้ในตนเองเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเมื่อใดที่คุณรู้สึกมั่นใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป หรือรู้สึกว่าเรื่องนั้น “ง่ายดาย” จนผิดปกติ นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของผลกระทบจาก The Dunning-Kruger Effect และให้หยุดและถามตัวเองว่า “ฉันได้ศึกษาเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งจริงๆแล้วหรือยัง” หรือ “ฉันกำลังทำให้เรื่องนี้ง่ายเกินไปหรือไม่” การตั้งคำถามกับความมั่นใจของตนเอง จะช่วยป้องกันไม่ให้เราติดอยู่ในกับดัก ของการประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินไป และกระตุ้นให้เราค้นหาความจริงที่ซับซ้อนกว่าที่คิด


The Dunning-Kruger Effect เป็นจุดบอดทางจิตใจตามธรรมชาติ ที่เราทุกคนต่างก็ประสบพบเจอ แต่หัวใจสำคัญนั้นไม่ใช่การหลีกเลี่ยงผลกระทบนี้โดยสิ้นเชิง แต่เป็นการตระหนักรู้เมื่อมันเกิดขึ้น และตอบสนองด้วยความถ่อมตน พร้อมกับความอยากรู้อยากเห็น และความปรารถนาที่จะเติบโตนั่นเอง


Share to friends


Related Posts

The Contrast Effect ทำไมการรับรู้ของคนถึงถูกหลอกได้ง่ายๆ จากการเปรียบเทียบ

คุณเคยไหมที่รู้สึกว่าของบางอย่างหนัก จนกระทั่งคุณลองยกของที่หนักกว่า หรือรู้สึกว่าใครบางคนดูใจดีเป็นพิเศษ เพียงเพราะคนที่เจอมาก่อนหน้านั้นหยาบคาย สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาและพฤติกรรม (Psychology & Behavior) ที่เรียกว่า “ผลกระทบจากการเปรียบเทียบ” (The Contrast Effect) และแม้ว่าจะถูกนำมาใช้บ่อยครั้งในการตลาดและการโน้มน้าวใจ


The Spotlight Effect เมื่อเราไม่ได้เป็นจุดสนใจอย่างที่คิด

คุณเคยเดินเข้าไปในห้องแล้วรู้สึกเหมือนว่า “ทุกคนกำลังจ้องมองคุณไหม” หรือบางทีคุณอาจทำกาแฟหกใส่เสื้อ ทำพลาดเล็กน้อยระหว่างการนำเสนอ หรือพูดอะไรแปลกๆในบทสนทนา และทันใดนั้นคุณก็รู้สึกเหมือน “ทุกสายตา” กำลังจับจ้องมาที่คุณและตัดสินคุณอยู่ ความรู้สึกประหม่าอย่างรุนแรงนี้ ถือเป็นเรื่องปกติที่น่าเหลือเชื่อ และมีชื่อทางจิตวิทยาว่า “The Spotlight Effect” ครับ


Social Comparison Theory ทำไมเราชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

คุณเคยดูรูปภาพวันหยุดของเพื่อนแล้วจู่ๆ ก็รู้สึกว่าชีวิตของคุณน่าเบื่อบ้างไหม หรือเปรียบเทียบความก้าวหน้าในอาชีพของคุณกับคนอื่น แล้วสงสัยว่าคุณกำลังล้าหลังอยู่หรือเปล่า ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเพราะ “มนุษย์มีความโน้มเอียงฝังลึก” ที่จะวัดคุณค่าของตนเองด้วยการมองไปที่คนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน เพื่อน หรือแม้แต่คนแปลกหน้า สัญชาตญาณตามธรรมชาตินี้อธิบายได้ด้วยแนวคิดทางจิตวิทยาอันทรงพลัง ที่เรียกว่า “ทฤษฎีการเปรียบเทียบทางสังคม” (Social Comparison Theory)



copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์