Interview

อคติที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว (Unconscious Bias) เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อชีวิตการทำงานของเรา ตั้งแต่วิธีคิดไปจนถึงวิธีที่เราโต้ตอบหรือสื่อสารกับเพื่อนร่วมงาน การเกิดอคติโดยไม่รู้ตัวถือเป็นทางลัดทางจิตที่ช่วยในการตัดสินใจได้เร็วขึ้น ดังนั้นอคติเหล่านี้สามารถนำไปสู่การตัดสินที่บิดเบือนและส่งผลถึงการสร้างทัศนคติแบบเหมารวม ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีต่อการทำงานและแน่นอนครับว่ามันจะส่งผลกับชีวิตส่วนตัวด้วยเช่นกัน หากคุณกำลังสรรหาบุคลากรและตัดสินใจด้วยการมีอคติเป็นที่ตั้ง มันก็อาจทำให้คุณตั้งกำแพงในการพิจารณาที่ผิดพลาดไป คุณอาจเสียคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริงไปก็ได้ และนั่นก็อาจจะส่งผลต่อความสำเร็จของทีมในอนาคต และในบทความนี้ผมได้รวบรวมและสรุปเกี่ยวกับอคติที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว (Unconscious Bias) เพื่อช่วยให้คุณรับรู้และรับมือกับอคติต่างๆในการใช้ชีวิตการทำงานและยังปรับใช้ได้กับชีวิตส่วนตัวครับ โดยที่ผมรวบรวมและสรุปมาได้ทั้งหมดนั้นก็มีอยู่ด้วยกัน 18 รูปแบบ เรามารู้จักความหมายของคำว่า Unconscious Bias กันก่อนครับ

ความหมายของอคติแบบไม่รู้ตัว (Unconscious Bias)

อคติโดยไม่รู้ตัว (Unconscious Bias) หรือที่เรียกว่าอคติโดยนัย คือ การสันนิษฐาน ความเชื่อ หรือทัศนคติ ที่เกิดขึ้นภายใต้จิตใต้สำนึก ทุกคนต่างมีอคติเหล่านี้อยู่ในตัวและใช้เป็นทางลัดในการประมวลผลข้อมูลที่รวดเร็วยิ่งขึ้น และเมื่อเราสะสมประสบการณ์ชีวิตไปในระยะเวลาที่นานขึ้น ก็จะเกิดทัศนคติแบบเหมารวมที่แตกต่างกันออกไป โดยจากข้อมูลของ Kirwan Institute ที่ศึกษาเรื่องเชื้อชาติและชาติพันธุ์ ได้สรุปเอาไว้ว่า “อคติเหล่านี้เป็นทั้งการประเมินทในแง่ดีและแง่ที่ไม่ดี อคติเหล่านี้จะถูกกระตุ้นโดยไม่ตั้งใจและเกิดขึ้นโดยที่บุคคลนั้นๆไม่รู้ตัวหรือเป็นสิ่งที่ควบคุมเองไม่ได้”

สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลให้อคติโดยไม่รู้ตัว (Unconscious Bias) ค่อนข้างทรงอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อความเชื่อและพฤติกรรมของคนเรา และเมื่อสิ่งนี้ส่งผลต่อชีวิตการทำงานก็อาจส่งผลต่อวิธีการจ้างงาน การโต้ตอบและสื่อสารกับเพื่อนร่วมงาน รวมไปถึงการตัดสินใจทางธุรกิจ ซึ่งแน่นอนครับว่ามันก็อาจจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันในเรื่องอื่นๆได้อีกด้วย ในเรื่องของอคติที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว (Unconscious Bias) หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสม ก็อาจส่งผลเสียต่อวัฒนธรรมและบรรยากาศในที่ทำงานรวมถึงการส่งผลกระทบกับทีมงาน ซึ่งคุณเองสามารถลดผลกระทบเหล่านี้ได้ด้วยการเอาใจใส่และทำอย่างตั้งใจจริง ด้วยการตระหนักรู้และทำความเข้าใจกับอคติ (Bias) ประเภทต่างๆที่มีอยู่ ก็จะช่วยให้คุณพบกับวิธีจัดการกับอคติเหล่านั้นได้นั่นเอง


18 รูปแบบของ Unconscious Bias

อคติโดยไม่รู้ตัว (Unconscious Bias) ถูกแสดงออกมาในรูปแบบต่างๆและจะส่งผลตามมาที่แตกต่างกันไป อคติบางอย่างเกิดขึ้นจากการตัดสินในเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอกของผู้คน บางอย่างก็มาจากความคิดแบบอุปทานขึ้นมาเอง และบางอย่างก็เกิดจากการเข้าใจแบบผิดๆ ซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 18 รูปแบบ ดังนี้

  1. อคติทางเพศ (Gender Bias)
  2. อคติทางอายุ (Ageism)
  3. อคติเกี่ยวกับชื่อ (Name Bias)
  4. อคติด้านความงาม (Beauty Bias)
  5. อคติด้านบวก (Halo Effect)
  6. อคติด้านลบ (Horns Effect)
  7. อคติจากการยืนยัน (Confirmation Bias)
  8. อคติจากความสอดคล้อง (Conformity Bias)
  9. อคติจากความสัมพันธ์ (Affinity Bias)
  10. อคติจากความแตกต่าง (Contrast Effect)
  11. อคติจากสถานะที่เป็นอยู่ (Status Quo Bias)
  12. อคติจากการยึดติด (Anchor Bias)
  13. อคติจากผู้มีอำนาจ (Authority Bias)
  14. อคติจากความมั่นใจเกินไป (Overconfidence Bias)
  15. อคติจากการรับรู้ (Perception Bias)
  16. อคติจากภาพลวงตา (Illusory Correlation)
  17. อคติจากผลจากความเร่งรีบ (Affect Heuristic)
  18. อคติจากความใหม่ (Recency Bias)

1. อคติทางเพศ (Gender Bias)

อคติทางเพศ หรือ การชื่นชอบเพศหนึ่งเหนืออีกเพศหนึ่ง ที่มักจะเรียกกันว่าการกีดกันทางเพศ อคตินี้เกิดขึ้นเมื่อมีคนเชื่อมโยงแบบเหมารวมในเรื่องบางอย่างกับความแตกต่างกันทางเพศโดยไม่รู้ตัว อคติรูปแบบนี้อาจส่งผลต่อแนวทางปฏิบัติในการสรรหาบุคลากรและการสร้างความสัมพันธ์ภายในบริษัท ตัวอย่างเช่น ในระหว่างการสัมภาษณ์งานหรือการวางนโยบายในการรับสมัครพนักงาน ที่ให้ความสำคัญกับผู้สมัครที่เป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แม้ว่าผู้หญิงจะมีทักษะและประสบการณ์การทำงานที่คล้ายคลึงกันหรืออาจมากกว่าก็ตาม และจากสถิติที่สำรวจโดย Payscale กับ 2024 Gender Pay Gap Report (GPGR) ที่ทำการสำรวจธุรกิจต่างๆในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผลสำรวจเกี่ยวกับตัวเลขค่าจ้างระหว่างเพศชายและหญิง ผลปรากฎว่าในแต่ละปีนั้นเงินเดือนเฉลี่ยของผู้ชายมักจะสูงกว่าเงินเดือนของผู้หญิง

Gender Symbol

แนวทางการแก้ไข

  • กำหนดมาตรฐานการสรรหาบุคลากรที่เป็นกลาง
    ปรับเปลี่ยนนโยบายในการสรรหาบุคลากรใหม่ รวมไปถึงกำหนดโปรไฟล์ผู้สมัครล่วงหน้า และประเมินผู้สมัครทั้งหมดตามมาตรฐานเหล่านั้น
  • กำหนดเป้าหมายด้านความหลากหลาย
    ตั้งเป้าหมายเรื่องความหลากหลายทางเพศในเชิงคุณภาพ เพื่อสร้างทีมที่มีความสมดุลทางเพศมากขึ้น และพร้อมสนับสนุนให้ผู้หญิงทำหน้าที่เป็นผู้นำ

2. อคติทางอายุ (Ageism)

การเลือกปฏิบัติต่อผู้อื่นตามอายุมักเกิดขึ้นกับสมาชิกในทีมที่มีอายุมากกว่า โดยเฉพาะกับคนที่อายุ 40 ปีขึ้นไปก็มักจะถูกมองว่าเริ่มมีความชราและคิดอะไรแบบเก่าๆไม่เท่าทันเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไปอยู่กับองค์กรที่มีความ Dynamic สูงและองค์กรของคนรุ่นใหม่ แม้ว่าจะมีความรู้และประสบการณ์อันมีค่าก็ตาม และเราจะเห็นแนวทางการจ้างงานสมัยใหม่ที่มักจะให้ความสำคัญกับคนที่อายุน้อยกว่าที่ไม่เกินค่าเฉลี่ยที่ 35 ปี ในทางกลับกันคนที่อายุมากที่อยู่กับองค์กรมานาน ก็มักจะเกิดอคติกับความคิดสร้างสรรค์จากเด็กรุ่นใหม่ๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้เกิดปัญหาต่างๆทั้งความไว้เนื้อเชื่อใจในการทำงาน การมอบหมายงาน และเรื่องของความรับผิดชอบ ที่เกิดความไม่อิสระในการทำงานเพราะมักจะโดนควบคุมโดยระบบอาวุโส

Aged Man

แนวทางการแก้ไข

  • อย่าตั้งเกณฑ์ที่พิจารณาจากอายุ
    อย่าทึกทักโดยอัตโนมัติว่าคนงานที่มีอายุมากกว่าไม่รู้วิธีใช้เทคโนโลยี หรือไม่เปิดกว้างสำหรับการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และควรให้โอกาสการเรียนรู้ที่เท่าเทียมกันสำหรับทุกคน
  • ส่งเสริมการทำงานร่วมกันแบบข้ามรุ่น
    พัฒนาหรือทำโครงการร่วมกันโดยจับคู่สมาชิกในทีมที่มีความอาวุโสกับพนักงานรุ่นใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการสื่อสารระหว่างสมาชิกในทีม ช่วยสลายกำแพงด้านอายุและระยะห่าง เพื่อสร้างให้เกิดความเข้าใจที่ดีในการทำงานร่วมกัน

3. อคติเกี่ยวกับชื่อ (Name Bias)

อคติเกี่ยวกับชื่อ คือ แนวโน้มที่จะชอบชื่อบางชื่อมากกว่าชื่ออื่นๆ ซึ่งพบได้บ่อยที่สุดในกระบวนการสรรหาบุคลากร โดยเฉพาะชื่อบางชื่อนั้นอาจมีความหมายที่เป็นเชิงลบ มีในเรื่องของวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง บางชื่ออาจดูแล้วไม่เหมาะสมหรือสอดคล้องกับธุรกิจ หลายๆครั้งชื่อก็เป็นเรื่องของดวงที่เหมาะสมกับธุรกิจ บางชื่อดูเชยเกินไปอาจไม่เหมาะกับธุรกิจยุคดิจิทัล หรือบางชื่ออาจไม่ใช่ชื่อที่ชื่นชอบเป็นการส่วนตัว อคติเกี่ยวกับชื่ออาจส่งผลเสียต่อการจ้างงานที่หลากหลาย และส่งผลให้บริษัทต่างๆพลาดการรับผู้สมัครที่มีความสามารถที่แท้จริงได้

แนวทางการแก้ไข

  • ใช้ Software เพื่อสกรีนคุณสมบัติ
    จำเป็นต้องหาเครื่องมือมาช่วยในการค้นหาคุณสมบัติที่เหมาะสมกับงาน เพื่อให้ได้บุคลากรที่เหมาะสมมากที่สุด
  • เน้นไปที่คุณสมบัติหลัก
    กำหนดคุณสมบัติหลักที่ต้องการสำหรับงานนั้นๆ ให้มากกว่าการพิจารณาข้อมูลส่วนบุคคล

4. อคติด้านความงาม (Beauty Bias)

อคติด้านความงาม หมายถึง การปฏิบัติต่อบุคคลที่ดูแล้วมีเสน่ห์ที่ดึงดูดมากกว่า สิ่งนี้ทำให้เกิดคำว่าเรามองกันที่ภายนอกและมันคือเรื่องของ “ภาพลักษณ์ / รูปลักษณ์” ตัวอย่างเช่น ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลมีแนวโน้มที่จะจ้างผู้สมัครที่พวกเขาคิดว่าหน้าตาดีมากกว่า ซึ่งในความเป็นจริงการตัดสินใจจ้างงานควรขึ้นอยู่กับทักษะ ประสบการณ์ และวัฒนธรรมที่เหมาะสมกับองค์กรมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก แต่หากบางงานบางตำแหน่งที่จำเป็นต้องใช้หน้าตาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

Beautiful woman full portrait

แนวทางการแก้ไข

  • ไม่ใส่รูปแบบบน Resume
    ไม่ใส่รูปลงใน Resume โดยเน้นที่คุณสมบัติและประสบการณ์ของผู้สมัคร ซึ่งแม้ว่าอาจจะดูแปลกๆสักหน่อย แต่มันช่วยทำการคัดกรอง Resume ซึ่งจะช่วยลดความ Bias ได้ (ในหลายๆธุรกิจโดยเฉพาะในต่างประเทศก็นำแนวทางนี้มาใช้ และก็ได้ผลลัพธ์ที่ดีด้วยเช่นกัน)
  • สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์
    ก่อนที่จะนัดสัมภาษณ์ให้พิจารณาสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์สั้นๆ เพื่อทำความรู้จักกับผู้สมัครให้ดีขึ้น โดยไม่ให้เรื่องของหน้าตามาส่งผลต่อการตัดสินใจ

5. อคติด้านบวก (Halo Effect)

Halo Effect เป็นคำที่นักจิตวิทยาที่ชื่อ Edward Thorndike ตั้งขึ้นในช่วงทศวรรษปี ค.ศ. 1920 ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเราสร้างความประทับใจเชิงบวกโดยรวมต่อใครบางคน เนื่องจากคุณสมบัติหรือคุณลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งของพวกเขา นับเป็นสิ่งที่เรากำลังสร้างภาพบุคคลขึ้นมาโดยอาศัยข้อมูลที่จำกัด ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้จัดการเห็นว่าผู้สมัครสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังอันทรงเกียรติจึงถือว่าพวกเขาเก่งมากๆ การรับรู้นี้เกิดขึ้นจากความชอบด้านวิชาการของตัวผู้จัดการเอง หรือการได้ยินชื่อเสียงมาจากสื่อต่างๆ ซึ่งในการทำงานจริงนั้นอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่รับรู้ก็ได้

แนวทางการแก้ไข

  • สัมภาษณ์หลายๆรอบ
    จัดให้มีการสัมภาษณ์หลายรอบกับผู้บริหารหลายระดับ ด้วยวิธีนี้ผู้สมัครจะได้รับการประเมินจากมุมมองที่หลากหลายเพิ่มมากขึ้น
  • สัมภาษณ์โดยหลายทีม
    การหาคนจากทีมอื่นๆมาสัมภาษณ์ผู้สมัครก็อาจช่วยแก้เรื่องอคติได้ เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ทำงานร่วมกับผู้สมัครโดยตรง ทำให้เกิดเรื่องของอคติค่อนข้างยาก

6. อคติด้านลบ (Horns Effect)

Horns Effect เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับ Halo Effect ครับ สำหรับอคติในลักษณะนี้จะทำให้เรามีความรู้สึกเชิงลบต่อใครบางคน โดยพิจารณาจากลักษณะหรือประสบการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนั้นการให้ความสำคัญกับลักษณะนิสัยหรือการมีปฏิสัมพันธ์กับใครบางคนมากเกินไป อาจนำไปสู่การตัดสินลักษณะของพวกเขาอย่างไม่ถูกต้องและไม่ยุติธรรม ตัวอย่างเช่น สมาชิกในทีมซึ่งเป็นพนักงานใหม่คิดว่าคำวิพากษ์วิจารณ์ที่พวกเขาได้รับจากหัวหน้านั้นมันรุนแรงเกินไป และถือว่าหัวหน้าของพวกเขาเป็นคนชอบตัดสินคนและเข้มงวด โดยที่สมาชิกคนนั้นไปสนิทกับคนอื่นและได้ยินเรื่องราวที่ไม่ดีมา Horns Effect ที่เกิดขึ้นอาจทำลายความสามัคคีและความไว้วางใจระหว่างสมาชิกในทีมได้

แนวทางการแก้ไข

  • ให้เวลาในการสร้าง First Impression
    ใช้เวลาทำความรู้จักใครสักคนเพื่อที่คุณจะได้พัฒนาความประทับใจ ที่เป็นรูปธรรมเกี่ยวกับบุคคลนั้นแบบโดยรวมมากขึ้น
  • หาหลักฐานมาสนับสนุน
    ถามตัวเองว่าคุณพัฒนาความประทับใจแรกที่มีต่อใครบางคนได้อย่างไร และค้นหาหลักฐานที่จะสนับสนุนหรือหักล้างความประทับใจนั้นโดยอาศัยการสร้างปฏิสัมพันธ์เพิ่มเติม

7. อคติจากการยืนยัน (Confirmation Bias)

อคติในการยืนยัน คือ แนวโน้มที่จะค้นหาและใช้ข้อมูลที่ยืนยันถึงมุมมองที่ตอบสนองความคาดหวังของตนเอง ซึ่งมันก็คือการหาข้อมูลแค่เพียงบางจุดเท่านั้น สิ่งนี้ส่งผลต่อความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณหรือการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) Link และความเป็นกลาง ซึ่งอาจนำไปสู่การตีความข้อมูลอย่างบิดเบือนและการมองข้ามข้อมูลอื่นๆที่อาจถูกต้องอย่างแท้จริงได้ ตัวอย่างเช่น ทีมวิจัยผลิตภัณฑ์เกิดแนวคิดใหม่ที่จะผลิตเสื้อผ้าชนิดหนึ่ง แม้ว่าผลการวิจัยตลาดจะแสดงให้เห็นว่าความสนใจในตัวผลิตภัณฑ์นี้มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่พวกเขาก็พยายามตรวจสอบหาคำยืนยันแนวคิด โดยติดต่อเพื่อนที่เป็นสายชอบแต่งตัว สายแฟชั่น และชอบท่องเที่ยวในรูปแบบต่างๆ เพราะรู้ว่าเพื่อนๆจะสนับสนุนแนวคิดนี้

แนวทางการแก้ไข

  • เทียบแหล่งข้อมูลจากหลายแห่ง
    เมื่อใดก็ตามที่คุณกำลังทดสอบสมมติฐานหรือแนวคิดบางอย่าง ให้รวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆที่หลากหลายเพื่อให้ได้มุมมองที่เป็นกลางมากที่สุด
  • กำหนดคำถามให้เป็นมาตรฐาน
    หากคุณรับสมัครพนักงานใหม่ๆให้เตรียมรายการคำถามสัมภาษณ์ที่เป็นมาตรฐานกลาง เพื่อป้องกันไม่ให้ถามคำถามนอกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกัน

8. อคติจากความสอดคล้อง (Conformity Bias)

อคติที่เกิดจากความสอดคล้องนั้นมีความคล้ายคลึงกับการคิดแบบกลุ่ม (Group Thinking) ซึ่งเกิดจากการที่เราเปลี่ยนความคิดเห็นหรือพฤติกรรมของเราให้ตรงกับคนส่วนใหญ่ในกลุ่ม แม้ว่าจะย้อนแย้งกับความคิดเห็นของตัวเราเองก็ตาม อคตินี้อาจเกิดขึ้นเมื่อเราเผชิญกับแรงกดดันจากคนรอบข้าง หรือพยายามปรับตัวให้เข้ากับกลุ่มทางสังคมหรือสภาพแวดล้อมทางการทำงาน ตัวอย่างเช่น ทีมกำลังตัดสินใจระหว่างข้อเสนอ 2 อย่าง คุณคิดว่าข้อเสนอ A ดีกว่า แต่คนอื่นๆในทีมเอนเอียงไปทางข้อเสนอ B ทำให้คุณได้รับอิทธิพลจากความคิดเห็นของกลุ่ม และลงเอยด้วยการลงคะแนนให้กับข้อเสนอ B นั่นเอง

ถึงแม้ว่าความสอดคล้องจะสามารถช่วยป้องกันความขัดแย้งได้ แต่ก็อาจจำกัดความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสารอย่างเปิดเผย รวมไปถึงการเปิดรับมุมมองอื่นๆ ลักษณะนี้เราจะเรียกว่าการเกิดอคติที่เป็นอิทธิพลมาจากสภาพแวดล้อมรอบตัว ทำให้เราเกิดความกังวลและไม่สามารถเลือกในสิ่งที่เราคิดได้

Success Meeting

แนวทางการแก้ไข

  • ใช้การโหวตหรือทำ Survey แบบไม่เปิดเผยตัวตน
    การทำการสำรวจหรือเปิดโหวตโดยไม่ระบุชื่อจะช่วยให้มีอิสระในการแสดงความคิดเห็น โดยที่คุณไม่ต้องกังวลกับความคิดเห็นหรือความชื่นชอบของผู้อื่น
  • ถามความคิดเห็นล่วงหน้า
    ในช่วงก่อนการเข้าร่วมประชุมไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ควรมีการพูดคุยแบบส่วนตัวกับสมาชิกในทีมเพื่อรับฟังความคิดเห็น สิ่งนี้จะช่วยให้ทุกคนมีเวลาในการคิดเกี่ยวกับหัวข้อนั้นๆ และแสดงความคิดเห็นได้โดยไม่ต้องกดดันในประชุมต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน

9. อคติจากความสัมพันธ์ (Affinity Bias)

อคติด้านความสัมพันธ์หรือเรียกอีกอย่างว่าอคติที่มีความคล้ายคลึง ซึ่งหมายถึงแนวโน้มที่จะชอบคนที่มีความน่าสนใจ มีภูมิหลัง และประสบการณ์ที่เหมือนกันกับตัวเรา เพราะเรามักจะรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่กับคนที่เป็นเหมือนกับเรา อคตินี้อาจส่งผลต่อการตัดสินใจในการจ้างงานค่อนข้างสูง ตัวอย่างเช่น การมุ่งความสนใจไปที่ผู้สมัครงานเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยเดียวกัน และเมื่อเวลาผ่านไปความเอนเอียงในการจ้างงานตั้งแต่จุดแรก อาจทำให้เกิดการเล่นพรรคเล่นพวก หรืออาจขัดต่อค่านิยมหลักขององค์กร (Core Values) Link โดยเฉพาะหากองค์กรนั้นให้ความสำคัญกับการไม่แบ่งแยกในด้านการศึกษา และให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมกัน

Very close friends

แนวทางการแก้ไข

  • ใช้ผู้สัมภาษณ์จากหลายกลุ่มในการสัมภาษณ์งาน
    ด้วยความที่คนเรามีมุมมองและความสนใจที่แตกต่างกัน ซึ่งการสัมภาษณ์งานนั้นควรให้หลายๆคนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย เพราะจะทำให้การสัมภาษณ์ในแต่ละครั้งช่วยลดอคติด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลได้
  • ยึดวัฒนธรรมองค์กรเป็นหลัก
    หลายครั้งที่คุณเองคิดว่าเรามีลักษณะเหมือนกับผู้สมัครมากเท่าใด ก็จะยิ่งมีแนวโน้มที่จะประเมินพวกเขาว่าเป็นคนที่มี “วัฒนธรรมที่เหมาะสม” มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งมันอาจจะไม่จริงเสมอไปเพราะ “วัฒนธรรมที่เหมาะสม” อาจมีความหมายที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละคน ดังนั้นควรยึดวัฒนธรรมที่ชัดเจนขององค์กรในการประเมินผู้สมัครอย่างยุติธรรม ให้ผู้สมัครงานได้แบ่งปันความคิดเห็นเพื่อสำรวจดูว่าคนๆนั้นใช่คนที่เหมาะกับองค์กรขนาดไหน

10. อคติจากความแตกต่าง (Contrast Effect)

คนเรามักจะตัดสินโดยการนำบางสิ่งบางอย่างมาเปรียบเทียบกัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามมาตรฐานของสิ่งที่เรากำลังเปรียบเทียบอยู่ ตัวอย่างเช่น สมาชิกในทีมยินดีที่ได้รับคะแนนประเมินแบบ “ตรงตามความคาดหวัง” ที่ตั้งเอาไว้ แต่พวกเขาจะเริ่มรู้สึกไม่ดีหลังจากพบว่าเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่ได้รับคะแนนประเมินที่ “ดีเกินความคาดหมาย” แม้ว่าจะมีกระบวนการตรวจสอบที่ดีแล้วก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นความแตกต่างซึ่งนำไปสู่อคติเชิงลบ แต่ก็อาจเป็นผลในเชิงบวกได้หากคุณได้สิ่งที่ดีกว่าคนอื่นๆ

แนวทางการแก้ไข

  • เปรียบเทียบหลายๆมุม
    แทนที่จะได้ข้อสรุปหลังจากทำการเปรียบเทียบเพียงครั้งเดียว ให้คุณลองเปรียบเทียบบางสิ่งในมาตรฐานที่แตกต่างกันเพื่อขยายมุมมองของคุณ
  • พูดกันแบบตรงๆ
    อธิบายกับเพื่อนร่วมงานของคุณในประเด็นต่างๆ ว่าสิ่งที่คุณทำหรือสิ่งที่ได้มานั้นมีต้นทางและวิธีการอย่างไร เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าใจมุมมองของคุณ

11. อคติจากสถานะที่เป็นอยู่ (Status Quo Bias)

อคตินี้ลักษณะนี้อธิบายถึงความชอบของเราต่อสิ่งต่างๆที่เป็นอยู่ (สถานะ) ซึ่งนั่นก็คือ การที่เราอยากให้สิ่งต่างๆนั้นคงสภาพเดิมไว้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงได้ การที่เราทำตามสภาพที่เป็นอยู่นับเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย ทำให้เราใช้ความพยายามน้อยลงโดยไม่ต้องเหนื่อย แต่ก็ส่งผลให้เกิดการหยุดนิ่งและไม่เกิดการพัฒนาได้เช่นกัน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการทำงานที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น การจ้างสมาชิกในทีมจากกลุ่มลักษณะประชากรแบบเดียวกันเพราะรู้สึกชอบและดูเข้ากันได้ดี โดยไม่พยายามที่จะเปิดทางเลือกอื่นๆที่อาจจะสร้างอะไรใหม่ๆได้ดีกว่า การว่าจ้างงานในลักษณะซ้ำๆเดิมอาจทำให้คุณพลาดการได้ผู้สมัครดีๆ ที่สามารถนำมุมมองใหม่ๆมาสู่บริษัทของคุณได้

แนวทางการแก้ไข

  • กรอบความคิดแบบใหม่
    เรามักจะปฏิบัติตามสภาพที่เป็นอยู่เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียบางสิ่ง ในทางกลับกันให้เสนอแนวคิดแบบใหม่ให้เห็นว่า การทำลักษณะนี้จะส่งผลเสียมากขนาดไหนโดยใช้เป็นชุดความคิดเริ่มต้นแทน เพื่อเปิดโอกาสให้เราได้เลือกแนวทางทางอื่นๆบ้าง
  • ส่งเสริมให้คิดนอกกรอบ
    สร้างสภาพแวดล้อมใหม่ๆที่ส่งเสริมให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อปรับทัศนคติให้เปิดกว้างมากขึ้นเพื่อให้ทีมของคุณก้าวข้ามอะไรแบบเดิมๆ

12. อคติจากการยึดติด (Anchor Bias)

อคติจากการยึดติดนั้นเกิดขึ้นเมื่อเราอยู่กับข้อมูลชิ้นแรกที่เราได้รับมากจนเกินไป โดยนำมาใช้เพื่อเป็นฐานในการตัดสินใจซึ่งทำให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆด้วยมุมมองที่แคบลงเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ผู้สมัครงานมักจะถูกตั้งคำถามว่าทำไมถึงว่างงานในปีที่ผ่านมา เพราะโดยส่วนใหญ่มันแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติและทักษะที่อาจหายไป ในอคติลักษณะนี้แสดงให้เห็นถึงการอาศัยข้อมูลเพียงมุมมองเดียวในการตัดสินใจ ที่เปรียบเสมือนการยึดติดอยู่กับคำว่าความเก่งนั้นต้องถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่บางครั้งอาจจะมีเหตุผลอื่นๆที่ทำให้ว่างงานไปในช่วงนั้น และในบางครั้งก็อาจปลีกตัวไปทำอะไรที่เพิ่มทักษะและความสามารถจากเรื่องอื่นๆ

แนวทางการแก้ไข

  • ทำ Research อย่างละเอียด
    ตัวเลือกแรกอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดเสมอไป ดังนั้นคุณควรสำรวจตัวเลือกอื่นๆที่เป็นไปได้ รวมถึงข้อดีข้อเสียก่อนตัดสินใจ
  • ระดมสมองกับหลายๆคนที่เกี่ยวข้อง
    หารือเกี่ยวกับการตัดสินใจกับเพื่อนร่วมทีม ซึ่งจะช่วยให้มองเห็นจุดแข็งและจุดอ่อนได้

13. อคติจากผู้มีอำนาจ (Authority Bias)

เป็นลักษณะของแนวโน้มที่จะเชื่อในผู้มีอำนาจและปฏิบัติตามคำแนะนำของพวกเขา ซึ่งถือว่าเป็นความคิดที่ดีและถูกต้องครับ แต่อย่างไรก็ตามการทำตามคำสั่งของผู้นำโดยไม่ใช้วิจารณญาณของตนเองอาจทำให้เกิดปัญหาในอนาคตได้ ตัวอย่างเช่น สมาชิกในทีมปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้จัดการอย่างเคร่งครัด แม้สังเกตเห็นว่าในรายงานนั้นมีการเสนอความคิดเห็นที่อาจทำให้เกิดผลเสียและไม่ตรงกับที่ผู้จัดการสื่อสารออกมา นั่นก็อาจเป็นอันตรายและส่งผลเชิงลบต่อสิ่งอื่นๆตามมาภายหลัง

Aggressive CEO

แนวทางการแก้ไข

  • ตั้งคำถามอย่างละเอียด
    อย่ากลัวที่จะถามคำถามกับหัวหน้าหรือผู้ที่มีอำนาจโดยตรง การได้รับรู้รายละเอียดลึกๆนั้นอาจเป็นตัวชี้ชัดว่า สิ่งที่กำลังทำนั้นได้ผ่านการคิดมาอย่างดี หรือเป็นสิ่งที่มาจากการที่อำนาจนั้นเข้ามามีบทบาท
  • ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม
    ใช้เวลาในการหาข้อมูลด้วยตัวของคุณเอง เพื่อระบุแหล่งที่มาที่ถูกต้องหรือข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญที่มีความน่าเชื่อถือ และดูว่าข้อเสนอแนะของพวกเขาสอดคล้องกับคำแนะนำของหัวหน้าคุณหรือไม่

14. อคติจากความมั่นใจเกินไป (Overconfidence Bias)

ความมั่นใจมากจนเกินไปเป็นเหตุให้เกิดอคติได้เช่นกัน ซึ่งก็คือ แนวโน้มที่ผู้คนมักจะคิดว่าตนเองมีความสามารถและทักษะบางอย่างดีกว่าคนอื่นๆ และหลายๆครั้งก็อาจเป็นการประเมินระดับทักษะของเราแบบผิดๆหรือเป็นการเข้าข้างตัวเอง ที่อาจทำให้เราตัดสินใจแบบหุนหันพลันแล่นได้ ตัวอย่างเช่น ซีอีโอที่มีความมั่นใจมากเกินไปตัดสินใจซื้อธุรกิจสตาร์ทอัพที่พวกเขาเห็นว่ามีศักยภาพสูง และเชื่อว่าจะสร้างผลตอบแทนสูง แม้ว่าผลประกอบการอาจดูแล้วค่อนข้างสวนทาง ซึ่งเกิดมาจากความสำเร็จของซีอีโอในอดึตที่อาจนำไปสู่การมี Ego ที่สูงเกินจริง และแม้ว่าความมั่นใจจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับความเป็นผู้นำ แต่สิ่งสำคัญก็คือต้องไม่ปล่อยให้การคิดเชิงตรรกะแบบมีเหตุมีผลนั้นหายไป

แนวทางการแก้ไข

  • คิดเรื่องผลลัพธ์เป็นอันดับแรก
    ทุกๆการตัดสินใจของคุณมักจะมีผลกระทบต่อบริษัทไม่ว่าจะบวกหรือลบ ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจให้พิจารณาผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ทั้งหมดก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าคุณพร้อมสำหรับผลลัพธ์เหล่านั้น
  • ขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากทีมงาน
    การได้รับคำติชมจากทีมของคุณสามารถช่วยให้คุณระบุจุดที่ต้องปรับปรุงได้ ไม่ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพของการทำงานหรือแนวคิดของคุณก็ตาม ดังนั้นการวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์จะสามารถควบคุม Ego ของคุณได้

15. อคติจากการรับรู้ (Perception Bias)

อคติที่เกิดขึ้นเมื่อเราตัดสินหรือปฏิบัติต่อผู้อื่นโดยยึดหลักแบบเหมารวม ซึ่งมักจะไม่ถูกต้องและดูจะตัดสินแบบง่ายจนเกินไป เช่น เพศ อายุ และรูปลักษณ์ภายนอก อคติประเภทนี้อาจส่งผลให้เกิดการกีดกันทางสังคม การเลือกปฏิบัติ และเกิดความเหลื่อมล้ำบางอย่างได้ ตัวอย่างเช่น สมาชิกในทีมไม่เชิญเพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งไปเล่นแบดมินตันหลังเลิกงาน เพราะเห็นว่าเขาตัวผอมและตัวเล็กดูไม่มีแรงและเป็นคนที่ดูเนิร์ดๆ ไม่น่าจะมีแรงออกกำลังกายและไม่น่าจะเข้ากับทีมงานได้ ซึ่งอคติลักษณะนี้ทำให้เราไม่มีความเป็นกลางอย่างสูง

แนวทางการแก้ไข

  • ตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยๆ
    ลองถามตัวเองว่า “เรารู้จักบุคคลนั้นดีแค่ไหน” อย่าปล่อยให้ความคิดไปเองมาบิดเบือนการรับรู้ จนทำให้เราไม่เปิดใจกับการสร้างความสัมพันธ์กับคนใหม่ๆ
  • หยุดคิดและไตร่ตรองในคำพูดที่ใช้
    บางครั้งอคติในการรับรู้อาจทำให้คุณใช้คำที่ดูรุนแรงหรือกลายเป็นการดูถูก ในการอธิบายหรือสื่อสารกับคนในทีมซึ่งอาจเกิดบรรยากาศที่ไม่ดีและเกิดความอึดอัดได้ ลองหยุดตัวเองและใช้เวลาสักนิดเพื่อถามตัวเองว่า คำที่จะใช้นั้นมันเหมาะสมมากน้อยแค่ไหน

16. อคติจากภาพลวงตา (Illusory Correlation)

ภาพลวงตาคือการที่เราเชื่อมโยงตัวแปรบางอย่าง เหตุการณ์บางเหตุการณ์ หรือการกระทำ 2 อย่างเข้าด้วยกันแม้ว่ามันจะไม่เกี่ยวข้องกันก็ตาม ตัวอย่างเช่น การตั้งคำถามเวลาสัมภาษณ์ผู้สมัครงานเพื่อพยายามทำความเข้าใจบุคลิกภาพของพวกเขา แต่ในความเป็นจริงคำถามนั้นไม่เกี่ยวข้องกับงานเลยและไม่ได้เชื่อมโยงกันแม้แต่นิดเดียว ที่สามารถสะท้อนความเหมาะสมกับงานในตำแหน่งนั้นๆ ทำให้ผู้สมัครเจอกับปัญหาในการหาคำตอบที่ควรจะเป็น ผู้สัมภาษณ์งานจึงตัดสินใจว่าผู้สมัครไม่เหมาะสมกับตำแหน่งงานนั้นๆ ภาพลวงตาเหล่านี้สามารถนำเราไปสู่การตัดสินใจโดยอาศัยความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้อง (หรือการถูกลวงด้วยสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันนั่นเอง)

แนวทางการแก้ไข

  • หาความรู้เพิ่มเติมให้กับตัวเอง
    การเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลในด้านที่คุณไม่คุ้นเคย สามารถช่วยให้คุณค้นหาสิ่งที่จะมาสนับสนุนหรือหักล้างความสัมพันธ์นั้นๆได้
  • พิจารณาทุกความเป็นไปได้ทั้งหมด
    เมื่อคุณต้องเชื่อมโยง 2 สิ่งเข้าด้วยกัน ให้พิจารณาความน่าจะเป็นของเหตุและผลให้ได้เสมอ

17. อคติจากผลจากความเร่งรีบ (Affect Heuristic)

ความเร่งรีบเป็นทางลัดในจิตใจที่ช่วยให้เราตัดสินใจในเรื่องต่างๆแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก และผลกระทบที่เกิดขึ้นเมื่อเราอาศัยอารมณ์ในการตัดสินใจเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เร็วขึ้น อาจจะไม่แม่นยำหรือมีความยุติธรรมเพียงพอ ตัวอย่างเช่น ผู้สมัครงานเกิดแสดงความคิดเห็นที่อาจจะหลุดคำไม่สุภาพออกมา ทำให้คนสัมภาษณ์นั้นไม่พอใจแม้ว่าจะไม่ใช่ความตั้งใจก็ตาม ทำให้คุณตัดสินใจปฏิเสธผู้สมัครงานในทันทีเพราะรู้ความไม่พอใจ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้สมัครที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดก็ตาม เพราะเนื่องจากผลของอารมณ์และความเร่งรีบบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการต้องหาคนให้ได้ทันเวลา หรืออาจเป็นภาระงานที่กำลังทำอยู่ จนทำให้การตัดสินใจของคุณเกิดความขุ่นมัวไม่เป็นกลางขึ้นมาก

Busy at work

แนวทางการแก้ไข

  • ระวังและจัดการกับอารมณ์ให้ดี
    การตระหนักรู้ถึงระดับอารมณ์ของตัวคุณเองในสถานการณ์นั้นๆ สามารถช่วยให้คุณถอยห่างจากสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบทางอารมณ์เหล่านั้น เพื่อประเมินผลลัพธ์ได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น
  • ใช้เวลาไตร่ตรองให้ดี
    คุณควรใช้เวลาคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ดี เพราะบางครั้งหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อารมณ์ของคุณอาจจะลดระดับลงและไม่รุนแรงเท่ากับในช่วงระหว่างการทำงานได้ ซึ่งมันจะช่วยให้คุณได้ข้อสรุปที่เป็นกลางมากขึ้น

18. อคติจากความใหม่ (Recency Bias)

อคติลักษณะนี้เกิดขึ้นเมื่อเราให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ล่าสุดมากกว่าเหตุการณ์ในอดีต เนื่องจากเป็นเรื่องง่ายต่อการจดจำโดยจะเกิดขึ้นในเวลาเราต้องประมวลผลข้อมูลเป็นจำนวนมาก ซึ่งนั่นหมายถึงเราจะไม่สามารถจำอะไรได้นอกจากสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเลย ตัวอย่างเช่น หัวหน้าของคุณมักจะตรวจสอบจำนวน Resume ที่ส่งมาสมัครงานจำนวนมากในแต่ละวัน จึงอาจเป็นเรื่องยากที่จะจดจำผู้สมัครที่ผ่านการคัดกรองในช่วงก่อนหน้านี้ในช่วงระหว่างวันได้ อคติต่อความใหม่ยังสามารถแสดงออกมาได้ในระหว่างขั้นตอนการสัมภาษณ์งาน เมื่อผู้สัมภาษณ์งานมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจจ้างงาน โดยพิจารณาจากข้อมูลผู้สมัครคนล่าสุดที่พวกเขาสัมภาษณ์

แนวทางการแก้ไข

  • จดบันทึกให้ละเอียด
    จดบันทึกโดยละเอียดระหว่างการสัมภาษณ์ในแต่ละครั้งและนำมาทบทวนในภายหลัง วิธีนี้สามารถช่วยให้คุณติดตามผู้สมัครที่เข้าตาได้ไม่ว่าคุณจะสัมภาษณ์พวกเขาเมื่อใดก็ตาม
  • พัอผ่อนสมองบ้าง
    การสัมภาษณ์แบบติดต่อกันอาจทำให้คุณเกิดความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ ซึ่งมีแนวโน้มที่คุณจะได้รับผลกระทบจากอคติเกี่ยวกับความใหม่ ดังนั้นคุณควรหยุดพักระหว่างการสัมภาษณ์ เพื่อให้สมองของคุณมีเวลาผ่อนคลาย ซึมซับ และจดจำข้อมูลได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

การแก้ไขและลดในเรื่องของอคตินั้นเป็นเรื่องที่ดีที่ควรนำมาปรับใช้ครับ ไม่ว่าจะเป็นการสรรหาบุคลากร การทำงานร่วมกันเป็นทีม หรือการที่เรานำมาใช้กับชีวิตประจำวัน ซึ่งแน่นอนครับว่ามันไม่สามารถนำมาใช้ได้กับทุกสถานการณ์ โดยบางครั้งมันก็มีเงื่อนไขต่างๆที่ทำให้เราในฐานะที่มีบทบาทหน้าที่ที่ต้องเผชิญที่แตกต่างกันในแต่ละสายอาชีพ และในช่วงปี 2017 นั้น ก็มีผลสำรวจจากประเทศอังกฤษซึ่งได้ค้นพบว่าผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลเพียงหนึ่งในสาม (32%) รู้สึกมั่นใจว่าพวกเขาไม่มีอคติในการจ้างพนักงานใหม่ โดยเกือบครึ่งกว่า (48%) ยอมรับว่าการมีอคติในตัวเองส่งผลต่อการเลือกผู้สมัคร ในขณะที่ 20% กล่าวว่าพวกเขาไม่แน่ใจว่าอคติส่งผลต่อการตัดสินใจของพวกเขาหรือไม่ โดยในหลายๆธุรกิจและในหลายประเทศก็มีวิธีการที่แตกต่างกันในการจัดการและลดในเรื่องของอคติ และมันก็มีวิธีที่เรียกว่า Blind Recruitment หรือการสมัครงานแบบที่ไม่ต้องใส่สถานศึกษา อายุ เพศ หรือแม้แต่รูปถ่าย แต่เน้นที่ประสบการณ์และทักษะก็เพียงพอ ซึ่งสามารถช่วยในการลดอคติลงได้เช่นเดียวกัน


Share to friends


Related Posts

วิธีพัฒนา AQ ทักษะสำคัญสำหรับการทำงานยุคใหม่

AQ (Adversity Quotient) หรือ ที่เราเรียกกันว่าความฉลาดในการแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นความสามารถของบุคคลในการแก้ไขปัญหาและเอาชนะความยากลำบาก ที่สะท้อนถึงความยืดหยุ่น ความพากเพียร และความสามารถในการปรับตัวเมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายและอุปสรรค


บทบาทสำคัญที่ผู้นำต้องมีในการทำงาน

ปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจคือการมีผู้นำที่ดีมีวิสัยทัศน์ก้าวไกล โดยผู้นำนั้นมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องอาศัยการบริหารทั้งงานที่ต้องให้บรรลุเป้าหมายปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสม รวมไปถึงการบริหารจัดการพนักงานภายในทีมงานและภายในองค์กรให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบทบาทที่ว่านั้นก็มีอยู่ด้วยกัน 9 ประการ


เข้าใจบุคลิกภาพทั้ง 16 แบบกับวิธีการทำงานให้ราบรื่น

ในการทำงานนั้นคุณจะต้องเจอและสัมผัสกับคนหลากหลายประเภทที่มีทั้งความเหมือนและความต่างทั้งในด้านทักษะการทำงาน ทัศนคติในการทำงาน ลักษณะนิสัยส่วนตัวรวมไปถึงนิสัยในการทำงานทั้งส่วนบุคคลและการทำงานเป็นทีม ซึ่งการรู้จักและเข้าใจลักษณะนิสัยในแต่ละแบบนั้นจะช่วยให้คุณสามารถคัดกรอง มอบหมายงาน จัดการบริหารทีมงาน รวมไปถึงการพัฒนาทักษะด้านต่างๆ



copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์