AI-Generated-of-woman-biting-chocolate-with-happy-face

ด้วยสภาพตลาดในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการแข่งขันอย่างรุนแรง ทำให้แบรนด์ต่างๆต้องต่อสู้กันอย่างหนัก เพื่อแย่งชิงความสนใจของผู้บริโภค ที่ถูกถาโถมไปด้วยข้อความโฆษณานับร้อยๆชิ้นในทุกๆวัน ทำให้แบรนด์ต้องสร้างความโดดเด่นและเป็นที่จดจำ ที่ไม่ใช่เพียงแค่เป็นแบรนด์ที่ “ดูดี” เท่านั้น แต่ยังต้องเป็นแบรนด์ที่สามารถสร้างประสบการณ์เชิงลึก ให้เกิดกับประสาทสัมผัสทั้ง 5 หรือที่เราเรียกว่า “Sensory Branding” และในบทความนี้ผมจะพาผู้อ่านมารู้จักกับ Sensory Branding ครับว่ามันทำงานอย่างไร และช่วยให้แบรนด์สร้างความผูกพันที่ลึกซึ้งได้อย่างไร

Sensory Branding คืออะไร

การสร้างแบรนด์ผ่านประสาทสัมผัส (Sensory Branding) คือ กลยุทธ์ที่ใช้ประสาทสัมผัสของมนุษย์ ตั้งแต่ 1 อย่างขึ้นไปจากทั้งหมด 5 อย่าง ได้แก่ การมองเห็น (Sight) การได้ยิน (Sound) การได้กลิ่น (Smell) การลิ้มรส (Taste) และการสัมผัส (Touch) เพื่อสร้างประสบการณ์เชิงบวกและน่าจดจำเกี่ยวกับแบรนด์ (Brand Experience) แทนที่จะมุ่งเน้นเพียงแค่การสร้างเอกลักษณ์ทางภาพ เช่น โลโก้ สีสัน เพียงอย่างเดียว โดย Sensory Branding มุ่งหวังที่จะให้เกิด

  • กระตุ้นอารมณ์ (Emotions Trigger)
    มนุษย์ตัดสินใจโดยใช้อารมณ์เป็นหลัก การกระตุ้นประสาทสัมผัสสามารถปลุกอารมณ์ และความรู้สึกที่เกี่ยวข้องกับความสุข ความสบาย ความตื่นเต้น หรือความสงบเงียบ ทำให้ผู้บริโภครู้สึกเชื่อมโยงกับแบรนด์ได้ในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เช่น กลิ่นกาแฟหอมๆในร้านอาจทำให้ลูกค้า รู้สึกผ่อนคลายและอยากใช้เวลานานขึ้น
  • สร้างความเชื่อมโยง (Associations)
    การเชื่อมโยงระหว่างประสาทสัมผัสกับแบรนด์ จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ (Brand Image) Link ที่ชัดเจนและแตกต่างในใจผู้บริโภค เมื่อใดก็ตามที่ผู้บริโภคสัมผัสกับสิ่งกระตุ้นทางประสาทสัมผัส ที่เชื่อมโยงกับแบรนด์นั้นๆ พวกเขาก็จะนึกถึงแบรนด์นั้นขึ้นมาทันที เช่น เสียงเพลงที่เปิดในร้านเสื้อผ้าแฟชั่น อาจสร้างภาพลักษณ์ของความทันสมัยและความหรูหรา
  • ฝังความทรงจำลงในจิตใต้สำนึก (Subconscious Mind)
    ประสาทสัมผัสมีอิทธิพลอย่างมากต่อความทรงจำของเรา เมื่อประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสถูกเชื่อมโยงกับแบรนด์ ความทรงจำเหล่านั้นจะถูกเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก ทำให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์ได้ง่ายขึ้นและในระยะยาว แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้คิดถึงแบรนด์นั้นอย่างมีสติก็ตาม เช่น เนื้อสัมผัสของบรรจุภัณฑ์ที่ให้ความรู้สึกพรีเมียม อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสินค้าของแบรนด์นั้นมีคุณภาพสูง

ผลลัพธ์ของการใช้ Sensory Branding จะเปลี่ยนปฏิสัมพันธ์แบบธรรมดาๆ ให้กลายเป็น “ประสบการณ์ที่ดื่มด่ำจากหลากหลายประสาทสัมผัส” (Immersive Experience) ซึ่งจะช่วยเสริมสร้าง “ความชื่นชอบในตัวแบรนด์” (Brand Preference) Link และ “ความภักดีต่อแบรนด์” (Brand Loyalty) Link ได้อย่างยั่งยืน

ลักษณะของ Sensory Branding

1. การกระตุ้นหลากหลายประสาทสัมผัส (Multi-Sensory Engagement)

ยิ่งมีการใช้สิ่งกระตุ้นทางประสาทสัมผัส ที่หลากหลายและเข้มข้นมากเท่าไหร่ ความทรงจำและความเชื่อมโยงระหว่างผู้บริโภคกับแบรนด์ ก็จะยิ่งแข็งแกร่งและน่าจดจำมากขึ้นเท่านั้น โดยหากลองนึกถึงการเข้าไปในร้านกาแฟ ที่ไม่ได้มีแค่ภาพลักษณ์ที่สวยงาม แต่ยังมีกลิ่นกาแฟหอมกรุ่น เสียงเพลงเบาๆที่ผ่อนคลาย และสัมผัสของแก้วกาแฟอุ่นๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนทำงานร่วมกันเพื่อสร้างประสบการณ์ที่สมบูรณ์แบบ

2. ความสอดคล้องในทุกจุดสัมผัส (Consistency Across Touchpoints)

สิ่งกระตุ้นทางประสาทสัมผัสที่ใช้ จะต้องสอดคล้องกับคำมั่นสัญญาของแบรนด์ (Brand Promise) Link ตัวอย่างเช่น แบรนด์สินค้าหรูจะใช้กลิ่น เสียง และเนื้อสัมผัส ที่สอดคล้องกับการสื่อถึงความพิเศษและความประณีต ในทุกๆจุดที่ลูกค้าจะสัมผัสกับแบรนด์ (Brand Touchpoints) ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้าน บรรจุภัณฑ์ หรือแม้กระทั่งโฆษณาออนไลน์ การรักษาความสอดคล้องนี้สำคัญมาก เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคเกิดความสับสน และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ชัดเจนของแบรนด์

3. การเชื่อมโยงทางอารมณ์ (Emotional Connection)

ประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสสามารถกระตุ้น การตอบสนองทางอารมณ์ได้อย่างน่าเชื่อถือ มากกว่าข้อความที่เน้นเหตุผลเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลิ่นและเสียง เป็นตัวกระตุ้นความทรงจำและความรู้สึกได้อย่างทรงพลัง บางครั้งเพียงแค่ได้กลิ่นน้ำหอมบางชนิดหรือได้ยินเพลงที่คุ้นเคย ก็สามารถพาเราย้อนกลับไปในอดีต และสัมผัสกับความรู้สึกเหล่านั้นอีกครั้งได้ แบรนด์ที่เข้าใจสิ่งนี้จะสามารถใช้ประสาทสัมผัส เพื่อสร้างความผูกพันทางอารมณ์กับผู้บริโภค ซึ่งนำไปสู่ความภักดีที่ยั่งยืน

4. ความโดดเด่น (Distinctiveness)

การสร้าง “เอกลักษณ์ทางประสาทสัมผัส” ที่ได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดี จะช่วยให้แบรนด์แตกต่างจากคู่แข่งได้ หากลองนึกถึงเสียงเครื่องยนต์ของรถจักรยานยนต์อย่าง Harley-Davidson ที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งทำให้คนรู้จักแม้จะไม่ได้มองเห็น หรือกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่อบอวลอยู่ในร้าน Abercrombie & Fitch ที่กลายเป็นส่วนหนึ่ง ของประสบการณ์การช้อปปิ้งของแบรนด์ สิ่งเหล่านี้คือ “ลายเซ็น” (Signature) ทางประสาทสัมผัส ที่ทำให้แบรนด์ไม่เหมือนใครและยากที่จะลืม

5. ความแนบเนียน (Subtlety)

Sensory Branding จะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อมันถูกใช้ในลักษณะที่ แนบเนียนและกลมกลืนที่ไม่ใช่การรบกวน โดยการใช้ประสาทสัมผัสควรเป็นไปอย่างธรรมชาติ และสร้างประสบการณ์ที่ดี โดยที่ผู้บริโภคอาจไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกกระตุ้นเลยด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น แสงไฟที่อบอุ่นในร้านอาหารที่ช่วยสร้างบรรยากาศสบายๆ หรือวัสดุของบรรจุภัณฑ์ที่ให้สัมผัสแบบพรีเมียม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ควรเสริมประสบการณ์โดยรวม ไม่ใช่โดดเด่นจนกลายเป็นสิ่งรบกวนความสนใจหลัก

แบรนด์ประเภทใดบ้างที่ควรใช้ Sensory Branding

แม้ว่าแบรนด์ทุกประเภทจะสามารถ นำองค์ประกอบทางประสาทสัมผัสมาใช้ได้ แต่กลยุทธ์การทำ Sensory Branding จะทรงพลังเป็นพิเศษสำหรับแบรนด์ ดังต่อไปนี้

1. ธุรกิจค้าปลีกและการบริการ (Retail and Hospitality)

ธุรกิจเหล่านี้มีโอกาสโดยตรงในการสร้างบรรยากาศที่ดื่มด่ำ (Immersive Atmosphere) ให้กับลูกค้าในพื้นที่จริง ซึ่งจะกระตุ้นให้ลูกค้าใช้เวลาอยู่ในสถานที่นั้นนานขึ้นและเกิดความรู้สึกดี ตัวอย่างเช่น

  • ร้านค้าที่มีการจัดแสงที่อบอุ่น มีดนตรีบรรเลงเบาๆ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวของร้าน สามารถทำให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลาย และอยากเดินชมสินค้ามากขึ้น
  • โรงแรมที่มีกลิ่นประจำที่ล็อบบี้ ผ้าปูที่นอนที่ให้สัมผัสนุ่มสบาย รวมไปถึงเสียงน้ำพุที่ล็อบบี้ ล้วนสร้างความรู้สึกน่าพักผ่อนมากขึ้น

ตัวอย่างแบรนด์ที่โดดเด่นในการใช้ Sensory Branding เช่น

  • Starbuck ที่ใช้กลิ่นหอมของกาแฟ ดนตรีแนวแจ๊สคลอเบาๆ และสัมผัสที่ให้ความรู้สึกสบาย (Cozy Textures) ภายในร้าน สิ่งเหล่านี้ร่วมกันสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น และเชื้อเชิญให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลาย และอยากใช้เวลาในร้านนานขึ้น
  • Abercrombie & Fitch ที่ผสมผสานกลิ่นน้ำหอมที่เป็นเอกลักษณ์ การจัดแสงสลัวๆ และดนตรีแนวคลับ (Club-like Music) เพื่อสร้างบรรยากาศที่ทันสมัย มีชีวิตชีวา และกระตุ้นความรู้สึกเย้ายวน
  • Lush Cosmetics ที่ผสมผสานภาพที่โดดเด่นสะดุดตา ของผลิตภัณฑ์สีสันสดใส กลิ่นหอมจากธรรมชาติที่หลากหลาย และเนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์ที่สามารถจับต้องได้ในร้าน เพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สนุกสนานและน่าตื่นเต้น
  • W Hotels ที่ใช้กลิ่นประจำโรงแรมที่เป็นเอกลักษณ์ เพลย์ลิสต์เพลงที่คัดสรรมาอย่างดี และการจัดแสงเพื่อสร้างบรรยากาศที่สื่อถึงไลฟ์สไตล์หรูหรา ทันสมัย และมีชีวิตชีวา
AI-Generated-image-of-barista-brewing-coffee

2. แบรนด์หรู (Luxury Brand)

สำหรับแบรนด์หรูระดับพรีเมียม ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่น รถยนต์หรู เครื่องประดับ การใช้ Sensory Branding เป็นสิ่งสำคัญในการยกระดับการรับรู้ถึงความพิเศษและหรูหรา ด้วยการใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูงและให้สัมผัสที่ดี เช่น หนังแท้ กลิ่นน้ำหอมเฉพาะของแบรนด์ หรือแม้แต่เสียง “คลิก” ของกระเป๋าที่ปิดสนิท ซึ่งล้วนเป็นรายละเอียดเล็กๆ ที่ส่งเสริมภาพลักษณ์ของความประณีตและคุณค่าที่เหนือกว่า

ตัวอย่างแบรนด์ที่โดดเด่นในการใช้ Sensory Branding เช่น

  • Chanel ที่โดดเด่นด้วยน้ำหอมอันเป็นเอกลักษณ์ บรรจุภัณฑ์ที่ให้สัมผัสแบบพรีเมียม และการนำเสนอภาพลักษณ์แบบ Minimal Luxury ที่สื่อถึงความสง่างามเหนือกาลเวลา (Timeless Elegance)
  • Rolls-Royce ที่ให้ความสำคัญกับกลิ่นเฉพาะของห้องโดยสาร การเก็บเสียงภายในรถ (Soundproofing) ที่สมบูรณ์แบบ และวัสดุภายในที่ให้สัมผัสหรูหรา ทั้งหมดนี้ตอกย้ำถึงความเหนือระดับและความประณีต
  • Hermès กับการเน้นที่เนื้อสัมผัสของหนังอันประณีต การตกแต่งร้านที่สง่างาม และการแสดงให้เห็นถึงฝีมือหัตถศิลป์ (Artisanal Craftsmanship) ที่ลูกค้าสามารถมองเห็นและสัมผัสได้ ซึ่งบ่งบอกถึงคุณภาพและความพิถีพิถัน
AI_Generated_Image_of_Luxury_Watch

3. อาหารและเครื่องดื่ม (Food and Beverage)

สำหรับร้านอาหาร ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป เครื่องดื่ม ธุรกิจในกลุ่มนี้สามารถใช้ประโยชน์ จากรสชาติและกลิ่นเพื่อสร้างการเชื่อมโยงทางอารมณ์ได้ในทันที เพราะโดยธรรมชาติแล้วกลิ่นและรสชาติ เป็นประสาทสัมผัสที่เชื่อมโยงกับความทรงจำและอารมณ์โดยตรง เช่น

  • กลิ่นหอมของขนมปังที่อบสดใหม่ สามารถดึงดูดลูกค้าเข้าร้านเบเกอรี่ได้ทันที
  • รสชาติที่คุ้นเคยของเครื่องดื่มแก้วโปรด สามารถสร้างความรู้สึกสบายใจและผ่อนคลาย
  • เสียงซ่าของเครื่องดื่มน้ำอัดลมก็สามารถทำให้รู้สึกสดชื่นได้

ตัวอย่างแบรนด์ที่โดดเด่นในการใช้ Sensory Branding เช่น

  • McDonald’s ที่ใช้กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของอาหาร เสียงเพลงโฆษณาที่ติดหู (Iconic Jingle) และการใช้สีแดง-เหลืองที่โดดเด่นในการนำเสนออัตลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Identity) Link ซึ่งทั้งหมดนี้สร้างการจดจำและกระตุ้นความอยากอาหาร
  • Cinnabon ที่ใช้กลิ่นอบเชยอันเป็นเอกลักษณ์ เพื่อดึงดูดผู้คนที่เดินผ่านไปมาให้เข้ามาในร้าน และสร้างความอยากรับประทานทันที
  • Coca-Cola กับเสียงของการเปิดขวด อัตลักษณ์สีแดงที่โดดเด่น และรูปทรงขวดที่เป็นเอกลักษณ์ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่ทำให้ผู้บริโภค รู้สึกสดชื่นและสร้างความคุ้นเคย
  • Nespresso ที่เน้นการทดลองชิมในร้าน เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของเครื่องชงกาแฟ และบรรยากาศในร้านที่มีกลิ่นกาแฟหอมกรุ่น เพื่อสร้างประสบการณ์การดื่มกาแฟที่หรูหราและเฉพาะตัว
Coca-Try-Not-To-Hear-This-Print-Ad

Image Source: https://www.famouscampaigns.com/2019/05/try-not-to-hear-these-coca-cola-print-ads/

4. ยานยนต์ (Automotive)

ในอุตสาหกรรมยานยนต์การใช้ เสียง สัมผัส และกลิ่นของวัสดุ ที่สามารถบ่งบอกถึงคุณสมบัติ ภาพลักษณ์ และช่วยเสริมความรู้สึกเชิงอารมณ์ได้อย่างชัดเจน เช่น

  • เสียงปิดประตูรถที่แน่นหนา บ่งบอกถึงความแข็งแรง และความปลอดภัยของรถยนต์หรู
  • สัมผัสของพวงมาลัยหนังแท้ หรือเบาะหนังที่นุ่มสบาย ที่สื่อถึงคุณภาพและความหรูหรา
  • กลิ่นรถใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละแบรนด์ สามารถสร้างความประทับใจ และความพึงพอใจให้กับเจ้าของรถได้

ตัวอย่างแบรนด์ที่โดดเด่นในการใช้ Sensory Branding เช่น

  • BMW ที่ให้ความสำคัญกับเสียงเครื่องยนต์ที่ดุดันแต่มีพลัง กลิ่นหนังภายในห้องโดยสาร และการควบคุมที่ให้สัมผัสที่ดี ทั้งหมดนี้ตอกย้ำถึงประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้น
  • Tesla กับการเน้นการออกแบบภายในที่เรียบง่าย เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์ไฟฟ้าอันเงียบสงบ และการออกแบบอินเทอร์เฟซที่ลงตัว เพื่อสื่อถึงความล้ำสมัยและเทคโนโลยี
  • Porsche กับเสียงเครื่องยนต์คำราม เนื้อสัมผัสของเบาะที่นั่งที่ปรับแต่งได้ และกลิ่นเฉพาะตัวของรถสปอร์ต ล้วนเสริมสร้างความเป็นสปอร์ตและความเร้าใจในการขับขี่
AI-Generated-Image-of-sportcar-on-the-road

5. เทคโนโลยีและอิเล็กทรอนิกส์ (Technology and Electronics)

ผู้ผลิตสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า กับเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น เสียงเปิดเครื่องของคอมพิวเตอร์ หรือเสียงแจ้งเตือนของสมาร์ทโฟน รวมถึงการตอบสนองแบบสัมผัส เช่น การสั่นของโทรศัพท์เมื่อพิมพ์คีย์บอร์ด หรือการกดปุ่มที่มีการตอบสนองที่น่าพอใจ สิ่งเหล่านี้ช่วยสร้างอัตลักษณ์ให้กับแบรนด์ (Brand Identity) Link ได้อย่างชัดเจน ทำให้ผู้บริโภคจดจำและเชื่อมโยงกับแบรนด์ได้ง่ายขึ้น

ตัวอย่างแบรนด์ที่โดดเด่นในการใช้ Sensory Branding เช่น

  • Apple ที่โดดเด่นด้วยบรรจุภัณฑ์ระดับพรีเมียม สัมผัสของวัสดุที่นุ่มนวลและเรียบลื่น และเสียงที่มีความละเอียดอ่อน เช่น เสียงคลิกของปุ่ม หรือเสียงแจ้งเตือนที่คุ้นเคย ทั้งหมดนี้สร้างประสบการณ์ที่หรูหราและใช้งานง่าย
  • Sony PlayStation ที่เน้นการตอบสนองแบบสัมผัสของจอยสติ๊ก เสียงเปิดเครื่องที่เป็นเอกลักษณ์ และเสียงในเกม เพื่อเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกม
  • Bang & Olufsen ที่นำเสนอภาพลักษณ์ที่หรูหราและทันสมัย คุณภาพเสียงที่เที่ยงตรงสูง และการใช้วัสดุระดับพรีเมียม ซึ่งสะท้อนถึงงานฝีมือและประสิทธิภาพที่เหนือกว่า
AI_Generated_Image_of_Smartphone_on_Table

6. ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล (Personal Care)

แบรนด์เครื่องสำอาง สกินแคร์ ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ แชมพู มีบทบาทสำคัญในการสร้างประสบการณ์ความสุข ความรู้สึกผ่อนคลาย ความไว้วางใจ เช่น

  • กลิ่นหอมของแชมพูหรือโลชั่น สามารถสร้างความรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย
  • เนื้อสัมผัสของครีมบำรุงผิวที่ซึมซาบเร็ว และไม่เหนียวเหนอะหนะ สร้างความรู้สึกสบาย และเชื่อมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์
  • ฟองสบู่ที่นุ่มนวลและละเอียดอ่อน ให้ประสบการณ์การอาบน้ำที่น่ารื่นรมย์

ตัวอย่างแบรนด์ที่โดดเด่นในการใช้ Sensory Branding เช่น

  • Aesop ที่โดดเด่นด้วยบรรจุภัณฑ์ที่แตกต่าง กลิ่นหอมแนวเอิร์ธโทนที่เป็นเอกลักษณ์ และการตกแต่งร้านที่เรียบง่ายแต่มีสไตล์ ซึ่งสร้างความรู้สึกเป็นธรรมชาติและความมีรสนิยม
  • Dove ที่เน้นเนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์ที่เนียนนุ่ม กลิ่นที่อ่อนโยน และการนำเสนอภาพลักษณ์ของ “ความงามที่แท้จริง” (Real Beauty) ซึ่งสร้างความรู้สึกอ่อนโยนและน่าเชื่อถือ
  • Spa Cenvaree กับการสร้างบรรยากาศที่โดดเด่น ด้วยกลิ่นหอมสมุนไพรไทย เสียงที่เงียบสงบในห้องทรีตเมนต์ และการจัดแสงที่อบอุ่น เพื่อประสบการณ์การผ่อนคลายที่สมบูรณ์แบบ
AI-Generated_Image_of_Personal_Care_Products

Sensory Branding กับแคมเปญการตลาด

Sensory Branding ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การออกแบบร้านค้า หรือบรรจุภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังสามารถและควรจะถูกนำมาใช้เป็นองค์ประกอบเชิงกลยุทธ์ใน “แคมเปญการตลาด” (Marketing Campaign) อีกด้วย และหากทำได้ออกมาได้อย่างดี จะสามารถช่วยเพิ่มการจดจำโฆษณา กระตุ้นอารมณ์ หรือแม้กระทั่งกลายเป็นกระแสไวรัลได้ โดยแคมเปญเหล่านี้จงใจกระตุ้นประสาทสัมผัสตั้งแต่หนึ่งอย่างขึ้นไปผ่านสื่อ การจัดกิจกรรม หรือประสบการณ์ต่างๆ เรามาดูตัวอย่างแบรนด์ที่ใช้ Sensory Branding กับแคมเปญการตลาดกันครับ

McDonald’s – Smells Like McDonald’s

แคมเปญนี้มาจากประเทศเนเธอร์แลนด์ โดย McDonald’s ติดตั้งป้ายโฆษณา ที่สามารถปล่อยกลิ่นเฟรนช์ฟรายส์ที่อุ่นๆออกมา โดยไม่มีโลโก้หรือข้อความใดๆ มีเพียงแค่แผงสีแดงและเหลืองเท่านั้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการจดจำในทันที ผ่านกลิ่นเพียงอย่างเดียว เสริมสร้างอัตลักษณ์ของแบรนด์และความอยากอาหาร แคมเปญนี้สร้างกระแสไวรัลและได้รับความสนใจบนโซเชียลมีเดีย ที่พิสูจน์ให้เห็นว่ากลิ่นนั้นทรงพลังเพียงใด แม้จะไม่มีภาพหรือข้อความใดๆในงานโฆษณาก็ตาม

Video Source: https://youtu.be/UKBw1W1yXZc


Burger King – The Moldy Whopper

ในแคมเปญวิดีโอไวรัลนี้ Burger King แสดงให้เห็นเบอร์เกอร์ Whopper ที่เน่าเปื่อยไปเรื่อยๆ เป็นเวลากว่า 30 วัน เพื่อเน้นย้ำถึงการเลิกใช้สารกันบูดสังเคราะห์ Burger King เน้นจุดเน้นทางประสาทสัมผัส ด้วยการมองเห็นภาพการเน่าเปื่อย เนื้อสัมผัสที่คาดการณ์ได้ และความรู้สึกไม่สบายทางอารมณ์ ซึ่งเป็นการใช้ภาพที่สร้างความตกใจ เพื่อเน้นย้ำความโปร่งใสของแบรนด์และส่วนผสมจากธรรมชาติ

Video Source: https://youtu.be/f9B9HGQsx0k


Coca-Cola – Zero Sugar

โฆษณาชิ้นนี้ของ Coca-Cola เน้นประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสของเครื่องดื่ม ที่ใช้เสียงการเปิดขวดอันเป็นเอกลักษณ์ ภาพการรินน้ำ Coke เสียงของน้ำในแก้ว เสียงแข็งที่กระทบกัน เสียงซ่าของโซดา เสียงการดื่มที่ให้ความรู้สึกสดชื่น แคมเปญนี้ถ่ายทอดประสบการณ์การดื่ม Coca-Cola Zero Sugar ผ่านการกระตุ้นประสาทสัมผัสที่หลากหลาย ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความสดชื่นและรสชาติของเครื่องดื่มได้ แม้จะยังไม่ได้ลิ้มรสเลยก็ตาม

Video Source: https://youtu.be/9OZkOlwTqIw


Sensory Branding ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การออกแบบพื้นที่ หรือจุดสัมผัสทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังสามารถแทรกซึมอยู่ในแคมเปญการตลาดของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นป้ายโฆษณาที่ส่งกลิ่นหอม เสียง “ซ่า” ของอาหารในวิดีโอ หรือประสบการณ์ทางดนตรีที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) โดยที่คุณอาจไม่จำเป็นต้องสัมผัสกับผลิตภัณฑ์โดยตรงก็สามารถ “รู้สึก” ถึงแบรนด์ได้ และนี่คือพลังของการใช้ Sensory Branding กับแคมเปญการตลาดสมัยใหม่นั่นเอง


Share to friends


Related Posts

กลยุทธ์การสร้างความผูกพันด้วยการทำ Emotional Branding

กลยุทธ์ในการทำธุรกิจสำหรับยุคใหม่ คือ การสร้างแบรนด์ที่ทำให้เกิดความผูกพันเชิงอารมณ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า หรือที่เราเรียกว่า Emotional Branding โดยหากแบรนด์ของคุณสามารถสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ได้มากเท่าไหร่ ก็สามารถการันตีได้เลยครับว่าแบรนด์ของคุณจะมีโอกาสถูกจดจำ และนำไปสู่การขายสินค้าหรือบริการได้มากกว่าแบรนด์ที่ไม่มีการสร้างความผูกพันธ์เชิงอารมณ์ใดๆเลย


การทำ Branding Design ให้โดดเด่นไม่เหมือนใคร

Branding Design หรือการออกแบบการสร้างแบรนด์ถือเป็นจุดเริ่มต้นของกรอบความคิดในการออกแบบแบรนด์หรือสร้างแบรนด์ใหม่ๆเพื่อแจ้งเกิดในตลาด ซึ่งการออกแบบการสร้างแบรนด์นั้นจะส่งผลโดยตรงกับมุมมองของลูกค้า และปลายทางของมันนั้นก็คือการเติบโตและความสำเร็จของแบรนด์


การทำ 360 Degree Branding เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้า

การสร้างแบรนด์แบบ 360 องศา (360 Degree Branding) คือ ความพยายามในการสร้างแบรนด์ที่รวมเอกลักษณ์ของแบรนด์ไว้ในแนวทางแบบองค์รวม เพื่อให้แบรนด์สามารถติดต่อและอยู่ในสายตาของลูกค้าได้ตลอดเวลา โดยทั้งหมดนั้นก็เกี่ยวกับการสร้างปรัชญาของแบรนด์ที่โดดเด่นซึ่งมีลูกค้าหรือผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง (Customer / Consumer Centric)



triangle
copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์