ความแตกต่างระหว่าง Co-Branding กับ Co-Marketing

ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูงในปัจจุบัน การใช้ประโยชน์จากความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสำเร็จ และกลยุทธ์ยอดนิยมในปัจจุบันเราจะได้ยินคำว่าการทำ Co-Branding และ Co-Marketing ซึ่งต่างก็เป็นหนึ่งในวิธีการขยายโอกาสทางธุรกิจในอนาคต ซึ่งแต่ละกลยุทธ์มีข้อได้เปรียบที่แตกต่างกันออกไป ผมจะมาสรุปความความแตกต่างระหว่าง 2 คำให้อ่านกันในบทความนี้ครับ

What's next?

Co-Branding คืออะไร

Co-Branding หรือ การสร้างแบรนด์ร่วมกันถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาด ที่หมายถึงการวางตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ของแบรนด์ตั้งแต่ 2 แบรนด์ขึ้นไปเพื่อพยายามเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์ (Brand Awareness) Link ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นการร่วมมือกันการสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ โดยใช้อัตลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Identity) Link การใช้ประโยชน์จากจุดแข็งและทรัพยากรของกันและกัน เช่น ความเชี่ยวชาญ เงินทุน โลโก้ ธีมสีของแบรนด์ ภาพลักษณ์ของแบรนด์ และองค์ประกอบอื่นๆ โดยมีเป้าหมายหลักคือการได้รับประโยชน์จากชื่อเสียงและฐานลูกค้าของกันและกัน ในทางกลับกันก็สามารถนำไปสู่การเข้าถึงตลาดที่กว้างขึ้น และสร้างให้เกิดความภักดีของลูกค้าสำหรับทุกแบรนด์ที่ร่วมมือกัน การทำ Co-Branding ถือว่ามีข้อดีหลายประการซึ่งช่วยให้แบรนด์ได้รับความสนใจมากขึ้นและมีส่วนสนับสนุนให้เกิดยอดขายที่มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เป็นแบรนด์ขนาดเล็กหากมีการตัดสินใจที่จะทำงานร่วมกับแบรนด์ที่ใหญ่กว่า ก็จะยิ่งช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการเติบโตทางธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น เช่น

  • BMW + Louis Vuitton
    การร่วมมือกันของแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์อย่าง BMW และแบรนด์แฟชั่นดีไซเนอร์ระดับโลกอย่าง Louis Vuitton ในแคมเปญ “The Art of Travel Car” ที่อาจไม่ใช่การจับคู่ที่โดดเด่นที่สุด แต่หากลองมองดูดีๆทั้ง 2 แบรนด์ก็มีบางอย่างที่เหมือนกัน ด้วยการมุ่งเน้นไปที่ความหรูหรามีคุณภาพและความเป็นสายท่องเที่ยว ความล้ำสมัยอันเป็นสัญลักษณ์แห่งนวัตกรรมด้านยานยนต์อย่าง BMW และกระเป๋าอันเป็นเอกลักษณ์ของ Louis Vuitton จึงนับเป็นการจับคู่กันอย่างลงตัว เพราะทั้งคู่ให้ความสำคัญกับความหรูหราและความเป็นแบรนด์ดั้งเดิม ที่มีชื่อเสียงและขึ้นชื่อเรื่องงานฝีมือคุณภาพสูง

    คุณค่าที่มีร่วมกันของทั้ง 2 แบรนด์นี้ (Shared Values) จึงทำให้เกิดความร่วมมือครั้งสำคัญ กับรถสปอร์ต BMW รุ่น i8 กับกระเป๋าเดินทาง Louis Vuitton ที่เป็นกระเป๋าชุดพิเศษ 4 ชิ้นที่ทำมาได้ลงตัวพอดีกับชั้นวางสัมภาระท้ายรถ แม้ว่าทั้ง 4 ชิ้นจะมีราคาสูงถึง 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯก็ตาม แต่ราคานี้ก็เหมาะสมกับลูกค้าเป้าหมาย เนื่องจาก BMW i8 มีราคาเริ่มต้นที่ 135,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายระดับ High-end ด้วยกันทั้งคู่ การออกแบบและรูปลักษณ์ของกระเป๋ายังลงตัวและเข้ากับภาพลักษณ์ของ BMW อีกด้วย ทั้งโฉบเฉี่ยว ดุดัน มีคุณภาพสูง และบางส่วนของกระเป๋าก็ใช้คาร์บอนไฟเบอร์ วัสดุคอมโพสิตที่แข็งแกร่งแต่เบา ซึ่งสอดคล้องไปกับ BMW i8 ด้วยเช่นกัน
BMW i8 + Louis Vuitton

Source: https://www.lvmh.com/news-documents/news/innovative-collaboration-from-louis-vuitton-and-bmw/

  • Onitsuka Tiger + Doitung
    โอนิซึกะ ไทเกอร์ แบรนด์รองเท้าแฟชั่นสัญชาติญี่ปุ่นที่ผสมผสานแฟชั่นกับกีฬา และมรดกของแบรนด์เข้ากับนวัตกรรม ร่วมกับโครงการพัฒนาดอยตุงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ผลิตรองเท้าคอลเลกชันพิเศษจากความสัมพันธ์ไร้พรมแดนของ 2 แบรนด์จาก 2 สัญชาติที่เชื่อมั่นในนโยบายเดียวกัน คือ การสนับสนุนงานฝีมือท้องถิ่นและสร้างความยั่งยืนในสังคม ดอยตุงออกแบบลวดลายและผลิตผ้าทั้งหมดด้วยการทอด้วยมืออย่างพิถีพิถันตั้งแต่การปั่นด้ายไปจนถึงขึ้นรูปแบบของลวดลาย ทำให้มีเนื้อสัมผัสที่นุ่มกว่าผ้าที่ทอด้วยเครื่องจักร จากนั้นโอนิซึกะ ไทเกอร์ จึงนำผ้าไปผลิตรองเท้าสามรุ่นยอดนิยมอย่าง MEXICO 66™, MEXICO 66™ PARATY และ SERRANO™ โดยมีทั้งหมด 5 ลายด้วยกัน
Onitsuka Tiger + Doitung

Source: https://www.doitung.com/doitung-x-onitsukatiger-collection/

>> รู้จักประเภทของ Co-Branding เพื่อเสริมแกร่งให้ธุรกิจ Link <<


ประโยชน์ของการทำ Co-Branding

Co-Branding ไม่ใช่เป็นแค่เพียงการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจในระยะยาว แต่ก็ยังช่วยสร้างให้เกิดการมีส่วนร่วมของลูกค้าและเป็นการขยายฐานลูกค้าที่มีมากขึ้น และมันก็มีประโยชน์อยู่หลายอย่าง เช่น

1. เพิ่มโอกาสการเข้าถึงแบรนด์

หากคุณเลือกแบรนด์ที่จะเป็นพันธมิตรด้วยและตรวจสอบอย่างแน่ใจแล้วว่าคุณทั้งคู่มีกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกัน สิ่งนี้จะช่วยให้แบรนด์ของคุณยังคงความมีคุณค่าที่เป็นแกนหลักของแบรนด์อยู่ และยังดึงดูดกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆที่ไม่คุ้นเคยกับแบรนด์ของคุณ การร่วมมือกันระหว่างแบรนด์อย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้คุณสามารถบริหารเงินลงทุนในตลาดใหม่ได้ง่ายกว่าการทำด้วยตัวเองและยังได้ส่วนแบ่งในตลาดใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีกด้วย

2. ช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าปัจจุบัน

สำหรับลูกค้าประจำหรือลูกค้าที่เป็นกลุ่ม Loyalty Customer Link จะเกิดความประทับใจกับความพยายามในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆผ่านการทำ Co-Branding เพราะมันจะช่วยเติมชีวิตชีวาให้กับแบรนด์ของคุณ และยังอาจช่วยให้คุณสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆที่ลูกค้าในปัจจุบันของคุณกำลังเผชิญอยู่ได้อีกเช่นกัน ลูกค้าจะชื่นชมและให้การสนับสนุนแบรนด์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องอยู่เสมอ และการทำ Co-Branding ก็คือหนึ่งในกลยุทธ์ที่ดีมากที่สุดวิธีหนึ่งนั่นเอง

3. เพิ่มระดับความคิดสร้างสรรค์

การผสมผสานความร่วมมือระหว่างแบรนด์จะนำพาสิ่งที่ดีเข้ามาเสมอ เพราะแต่ละแบรนด์ต่างๆมีแนวคิดและแนวทางที่มีเอกลักษณ์ในแบบเฉพาะของตัวเอง และเมื่อนำมาผสมผสานกันในรูปแบบ Co-Branding จะทำให้เกิดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆในเชิงสร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดความน่าตื่นเต้นและสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า

4. การพูดถึงแบรนด์ในเชิงบวกมากขึ้น

ความรู้สึกที่ผู้คนมีต่อแบรนด์ถือเป็นกุญแจสำคัญของการประสบความสำเร็จ ยิ่งหากเกิดการพูดถึงและเกิดอารมณ์ความรู้สึกร่วมกับแบรนด์ในเชิงบวกมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลเชิงบวกต่อแบรนด์มากขึ้นเท่านั้น และการทำ Co-Branding ก็มีส่วนช่วยตรงจุดนี้เช่นกัน ซึ่งมันก็จะนำไปสู่การมีชื่อเสียงที่ดี (Reputation) เพราะทุกๆครั้งที่มีการขยับขยายกิจกรรมของแบรนด์ ก็มักจะนำอะไรใหม่ๆให้คนได้พูดถึงอยู่เสมอ และหากความร่วมมือที่เกิดขึ้นได้สร้างอะไรดีๆ ก็จะกลายเป็นการพูดถึงในเชิงบวกที่มากขึ้นโดยเฉพาะบนโลก Social Media นั่นเอง

5. ประหยัดงบประมาณ

สองหัวมักจะดีกว่าหัวเดียวเสมอครับเพราะหากคุณทำธุรกิจเพียงลำพัง คุณอาจต้องลงทุนงบประมาณด้านต่างๆค่อนข้างมาก แต่หากคุณมีพันธมิตรที่มาช่วยในการโปรโมทธุรกิจผ่านการทำ Co-Branding ก็มักจะเกิดความร่วมมือในการสนับสนุนด้านการลงทุนร่วมกัน โดยอาจจะเป็นเงินทุน งบการตลาด และเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็จะออกมาในรูปแบบของ 50/50 เรียกได้ว่าได้ทั้งพันธมิตร ได้ทั้งความแปลกใหม่ ได้ทั้งฐานลูกค้าใหม่ๆ และยังช่วยเรื่องประหยัดค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆไปอีกด้วย

What's next?

Co-Marketing คืออะไร

Co-Marketing หรือ ความร่วมมือกันทางการตลาดที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ตั้งแต่ 2 แบรนด์ขึ้นไป ที่มีกลุ่มเป้าหมายคล้ายกันมารวมตัวกันเพื่อโปรโมทผลิตภัณฑ์หรือบริการของกันและกัน ซึ่งต่างจาก Co-Branding ตรงที่ Co-Marketing ไม่ได้ส่งผลให้เกิดการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ แต่จะมุ่งเน้นไปที่ความพยายามทางการตลาดร่วมกันเพื่อเพิ่มการมองเห็นแบรนด์ (Brand Visibility) การมีส่วนร่วมของลูกค้า และส่วนแบ่งการตลาด โดยองค์ประกอบพื้นฐานของ Co-Marketing คือ 1. ทรัพยากรที่ใช้ร่วมกัน 2. การใช้งบประมาณการตลาดร่วมกัน 3. ใช้ความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์ร่วมกัน และ 4. ช่องทางการจัดจำหน่ายร่วมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม เช่น การโปรโมทคอนเทนต์ร่วมกันผ่านช่องทาง Own Media ของตัวเอง การแจก Free Sample ควบคู่ไปกับสินค้าของตัวเอง หรือการทำ Cross Promotion ร่วมกัน โดยการทำ Co-Marketing นั้นส่วนใหญ่จะมีระยะเวลาที่ชัดเจนตามเคมเปญกระตุ้นในช่วงเวลาต่างๆ ไม่ได้เป็นความร่วมมือในระยะยาวเหมือนลักษณะของ Co-Branding เช่น

  • Taco Bell + Doritos
    การร่วมกันของแบรนด์อาหารจานด่วนอย่าง Taco Bell และขนมขบเคี้ยวอย่าง Doritos ในการโปรโมทผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่ชื่อ Doritos Locos Tacos กลายเป็นอาหารจานด่วนราคาถูกที่ผู้คนโหยหา ทำให้ Taco Bell ขายได้มากกว่า 100 ล้านชิ้นใน 10 สัปดาห์แรก และพุ่งทยานไปถึง 600 ล้านชิ้น ในช่วงระยะเวลาเพียง 1 ปี ทำให้พวกเขาต้องจ้างคนงานเพิ่ม 15,000 คน เพื่อให้ทันกับปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้น ทั้ง 2 แบรนด์ให้บริการลูกค้ากลุ่มเดียวกัน (คนหนุ่มสาวที่กระหายอาหารราคาถูก) แต่พวกเขาไม่ได้แข่งขันกันเองแบบจริงๆจังๆ
Doritos Locos Tacos

Source: https://www.fastcompany.com/3015680/with-600m-sold-taco-bell-unveils-the-fiery-doritos-locos-taco

ประโยชน์ของการทำ Co-Marketing

Co-Marketing มีประโยชน์ที่ไม่ได้ต่างจาก Co-Branding มากนัก แต่จะสร้างให้เกิดผลทางด้านการตลาดอย่างสูงสุด และแน่นอนครับว่ามันมีความเสี่ยงในระดับที่ต่ำกว่า เรามาดูประโยชน์ทั้งหมดกันครับ

1. ประหยัดค่าใช้จ่าย

การทำ Co-Marketing จะช่วยกันในเรื่องต้นทุนค่าใช้จ่ายทางการตลาด เพื่อให้มั่นใจว่าจะใช้ทรัพยากรต่างๆให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นด้านกำลังคน ต้นทุนทางการตลาด และเรื่องอื่นๆ

2. ขยายการเข้าถึงฐานลูกค้าใหม่ๆ

ช่วยให้แบรนด์ต่างๆสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าของกันและกันได้มากขึ้น และขยายการมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆที่สนใจในสินค้าหรือบริการ

3. สร้างแคมเปญด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ

เกิดความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานร่วมกัน ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาแคมเปญการตลาดเชิงเทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่จะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคผ่านคอนเทนต์ที่สดใหม่และน่าสนใจ และยังสร้างให้เกิดการรับรู้ในความเป็นแบรนด์ที่ทันสมัย เช่น Interactive Content ในแบบออนไลน์ การนำเทคโนโลยีที่สร้าง Immersive Experience Link มาใช้ เช่น AI, AR, VR

4. เกิด Word-of-Mouth ในเวลาอันรวดเร็ว

ด้วยการกระตุ้นแคมเปญในรูปแบบต่างๆจะสร้างให้เกิดการบอกต่อแบบปากต่อปาก (Word-of-Mouth) ได้รวดเร็วมากขึ้น โดยการบอกแบบปากต่อปากนั้นก็จะกระจายไปในทุกๆแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น Social Media, Online หรือแม้แต่สื่อโทรทัศน์ก็ตาม


ตารางสรุปให้เห็นความแตกต่างระหว่าง Co-Branding
และ Co-Marketing

ประเด็นCo-BrandingCo-Marketing
คำอธิบายการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยมีชื่อแบรนด์ที่หลากหลายเพิ่มขึ้นร่วมกันส่งเสริมผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีอยู่
วัตถุประสงค์แนะนำสิ่งใหม่ๆในตลาดเน้นส่งเสริมการขาย
ความเสี่ยงและประโยชน์ความเสี่ยงสูงแต่ก็ได้ผลตอบแทนสูง หากสร้างผลิตภัณฑ์ออกมาได้ดีความเสี่ยงต่ำเพราะเน้นการลงทุนเฉพาะด้านการตลาด
การรับรู้จากลูกค้าการรับรู้ผ่านผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ผสมผสานกันอย่างมีเอกลักษณ์การรับรู้จะขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาด
การนำไปปฏิบัติค่อนข้างซับซ้อนเพราะเกี่ยวข้องกับพัฒนาสิ่งต่างๆร่วมกันค่อนข้างง่ายกว่าเพราะส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องการประสานงานด้านกลยุทธ์ทางการตลาด
การจัดสรรทรัพยากรใช้ทรัพยากรที่สำคัญๆสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการจัดจำหน่ายส่วนใหญ่จะเป็นการใช้ทรัพยากรที่เกี่ยวกับการตลาดโดยเฉพาะ
ระยะเวลาความร่วมมือในระยะยาวเพราะต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆขึ้นมาอาจเป็นทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ขึ้นอยู่กับแคมเปญที่ตั้งขึ้น
อัตลักษณ์ของแบรนด์เป็นได้ทั้งการผสมผสานร่วมกันให้เกิดรูปแบบใหม่ และการใช้จุดเด่นของแต่ละแบรนด์มาพัฒนาเป็นรูปแบบใหม่แต่ละแบรนด์ยังคงใช้อัตลักษณ์ของตัวเอง
กลุ่มเป้าหมายจับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ที่ร่วมกันเข้าถึงวงกว้างมากกว่าโดยยึดตามฐานของลูกค้าเดิมเป็นหลัก
การแบ่งปันรายได้แบ่งปันรายได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่แบ่งปันต้นทุนร่วมกัน แต่รายได้จะแยกจากกัน
ด้านกฎหมายและข้อกำหนดข้อตกลงที่ครอบคลุมเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาและผลกำไรข้อตกลงเกี่ยวกับทรัพยากรที่ใช้ด้านการตลาด

ทั้งรูปแบบของ Co-Branding และ Co-Marketing ต่างก็มอบโอกาสอันมีค่าสำหรับธุรกิจเพื่อบรรลุผลประโยชน์ร่วมกัน การทำ Co-Branding เหมาะอย่างยิ่งสำหรับบริษัทที่ต้องการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และสร้างข้อเสนอใหม่ๆทางการตลาด โดยการผสมผสานจุดแข็งของแต่ละแบรนด์ ในทางตรงกันข้าม Co-Marketing เหมาะสำหรับธุรกิจที่มุ่งขยายการเข้าถึงและปรับปรุงประสิทธิภาพทางการตลาดโดยไม่ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หากคุณเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้ก็จะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจและใช้ประโยชน์ จากความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อการเติบโตและความสำเร็จได้อย่างเหมาะสมมากที่สุดนั่นเองครับ


Share to friends


Related Posts

รู้จักรูปแบบ Brand Extension ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโต

Brand Extension หรือการที่แบรนด์พัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆออกมา ภายใต้ชื่อแบรนด์ที่อาจเป็นชื่อเดิมหรือชื่อใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายขอบเขตธุรกิจของตนไปพร้อมกับการรักษาความภักดีของลูกค้าที่มีอยู่


รู้จักประเภทของ Co-Branding เพื่อเสริมแกร่งให้ธุรกิจ

การทำธุรกิจในทุกๆวันเริ่มมีความยากมากยิ่งขึ้น เพราะการเติบโตของเทคโนโลยีและคู่แข่งรวมถึงความต้องการของลูกค้าในหลากหลายกลุ่ม นักการตลาดก็จำเป็นต้องการกลยุทธ์เมื่อสร้างความแตกต่างและพยายามยึดส่วนแบ่งทางการตลาดให้ได้มากที่สุด และหนึ่งในวิธีที่จะช่วยสร้างให้แบรนด์นั้นกลายเป็นที่รู้จักและอยู่ในตลาดได้อย่างยาวนาน นั่นก็คือการเชื่อมสายสัมพันธ์กับแบรนด์อื่นๆเพื่อสร้างให้เกิดความน่าสนใจที่สามารถเพิ่มทั้งฐานลูกค้าเดิมรวมไปถึงฐานลูกค้าใหม่ หรือที่เราเรียกกันว่า Co-Branding นั่นเองครับ


Branding Trends ในปี 2024 เทคโนโลยีกับความยั่งยืนที่สร้างคุณค่าเพื่อผู้บริโภคและโลกใบนี้

มีหลากหลายบริบทเปลี่ยนแปลงไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเกิดการแข่งขันในภาคธุรกิจที่มีการเติบโตของธุรกิจประเภทสตาร์ทอัพ (Startup Business) ในสายต่างๆอย่างมากมายมหาศาล ประกอบกับการแข่งขันในการทำการตลาดที่หนักหน่วง



copyright 2024@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์