
ทุกวันนี้ AI ได้เปลี่ยนแปลงห้องเรียนทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่แพลตฟอร์มการเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคล ไปจนถึงการให้เกรดอัตโนมัติ อีกทั้งยังกลายเป็นครูสอนพิเศษได้อีก ที่กำลังปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ของนักเรียน นักศึกษา และวิธีการสอนของครูอาจารย์ ไปอย่างสิ้นเชิง และเทคโนโลยีนี้นำมาซึ่งคำถามที่สำคัญแบบเร่งด่วน ก็คือ “AI เป็นเครื่องมือที่เสริมสร้างการศึกษา หรือเป็นภัยคุกคามที่บ่อนทำลายการเรียนรู้ของมนุษย์กันแน่” เช่นเดียวกับเทคโนโลยีอันทรงพลังทุกชนิด และ AI ในการศึกษาก็มีทั้ง 2 ด้าน โดยมีด้านที่เป็นโอกาสและด้านที่ต้องระมัดระวัง ที่ผมจะพาผู้อ่านมาทำความเข้าใจทั้ง 2 ด้านนี้ เพื่อนำ AI มาใช้ในห้องเรียนและการเรียนการสอนอย่างชาญฉลาดมากขึ้นครับ

พลังของ AI ในฐานะเครื่องมือการเรียนรู้
1. การเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคลในวงกว้าง
การปรับแต่งการเรียนรู้ในระดับนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลยในห้องเรียนแบบดั้งเดิม ซึ่งครูหนึ่งคนต้องดูแลนักเรียนถึง 30 – 50 คน แต่ด้วย AI นักเรียนทุกคนจึงมี “ติวเตอร์ส่วนตัว” ที่พร้อมใช้งานตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน เพื่อเติมเต็มช่องว่างความรู้ในทันทีที่ต้องการ ระบบ AI สามารถวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน ความเร็วในการเรียนรู้ และรูปแบบการเรียนรู้ที่นักเรียนแต่ละคนชื่นชอบ จากนั้นจึงปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับความต้องการเหล่านั้น สิ่งนี้คือ ความสามารถที่เปลี่ยนแปลงเกมการศึกษาอย่างแท้จริง ตัวอย่างเช่น
- Duolingo ที่ใช้ AI เพื่อปรับบทเรียนภาษา ให้เหมาะกับประสิทธิภาพของผู้ใช้แต่ละคน เช่น หากผู้ใช้สับสนระหว่างคำนามกับคำกริยา ระบบจะเพิ่มแบบฝึกหัดที่เน้นเรื่องนั้นเป็นพิเศษ
- Khan Academy’s AI Tutor (Khanmigo) ทำหน้าที่เป็นติวเตอร์ส่วนตัวที่ให้คำใบ้ และคำอธิบายทีละขั้นตอนตามการตอบสนองของนักเรียนแต่ละคน แทนที่จะให้คำตอบสำเร็จรูป ระบบจะช่วยให้นักเรียนคิดหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง
2. การให้ข้อเสนอแนะและการประเมินผลอย่างชาญฉลาด
เครื่องมือตรวจให้คะแนนด้วย AI ไม่เพียงแต่สามารถตรวจข้อสอบปรนัยได้ในทันที แต่ยังก้าวหน้าไปถึงขั้น “สามารถให้ข้อเสนอแนะที่มีคุณภาพกับเรียงความและงานเขียนได้” สิ่งนี้ช่วยลดภาระงานด้านการบริหารจัดการของครูได้อย่างมาก ทำให้ครูมีเวลาเพิ่มขึ้นในการทำสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือ “การให้คำปรึกษา การสร้างแรงบันดาลใจ และการสร้างสรรค์กิจกรรมการเรียนรู้” แทนที่จะใช้เวลาหลายชั่วโมงไปกับการตรวจกระดาษ ตัวอย่างเช่น
- Turnitin มีเครื่องมือ AI ที่สามารถตรวจจับข้อผิดพลาดในการเขียน และการคัดลอกผลงาน (Plagiarism) พร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงด้านความซื่อสัตย์ทางวิชาการ
- Gradescope (โดย OpenAI) ช่วยให้ครูสามารถให้เกรดได้เร็วขึ้น และมีความสม่ำเสมอมากขึ้น ทำให้ครูลดภาระงานธุรการลงได้

3. การเข้าถึงและความเท่าเทียม
ระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI ช่วยเหลือนักเรียนที่มีความทุพพลภาพด้านต่างๆ ทำให้การศึกษาเปิดกว้างสำหรับทุกคนมากขึ้น แอปพลิเคชันต่างๆที่เกิดขึ้นทำให้การศึกษา สามารถเข้าถึงได้และมีความ “เท่าเทียม” กันมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา เพราะพวกเขาทลายกำแพงการเรียนรู้ที่เกิดจากข้อจำกัดทางกายภาพ หรือความบกพร่องในการเรียนรู้เฉพาะทาง ตัวอย่างเช่น
- เครื่องมือแปลงเสียงเป็นข้อความ (Speech-to-Text) เช่น Google’s Live Transcribe ที่ช่วยเหลือนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
- เครื่องมือแปลงข้อความเป็นเสียงพูด (Text-to-Speech) เช่น Microsoft’s Immersive Reader ช่วยเหลือนักเรียนที่มีภาวะดิสเล็กเซีย (Dyslexia) ในการทำความเข้าใจข้อความ

ด้านมืดของ AI เมื่อ AI กลายเป็นภัยคุกคาม
1. ความซื่อสัตย์ทางวิชาการและการโกง
เครื่องมือ AI เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI) เช่น ChatGPT, Gemini หรือ Claude สามารถสร้างและเขียนเรียงความ การบ้าน หรือแม้แต่รายงานการวิจัยได้อย่างง่ายดาย สิ่งนี้ทำให้เส้นแบ่งระหว่าง “การเรียนรู้” กับ “การจ้างบุคคลภายนอกทำแทน” (Outsourcing) เลือนรางลงอย่างมาก นักเรียนอาจละเลยกระบวนการคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ ซึ่งเป็น “หัวใจสำคัญของการศึกษา” โดยงานวิจัยในปี 2024 จาก Stanford พบว่า นักเรียนกว่า 50% ยอมรับว่าใช้ AI ในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย และบ่อยครั้งก็ไม่ได้อ้างอิงแหล่งที่มา แม้ว่า AI จะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ได้ แต่การนำไปใช้ในทางที่ผิดจะเปลี่ยนให้มันกลายเป็น “ทางลัดทางปัญญา” (Intellectual Shortcut) ที่ไม่ได้นำไปสู่การพัฒนาตนเอง
2. การลดทอนทักษะและการพึ่งพามากเกินไป
เมื่อ AI กลายเป็นแหล่งข้อมูลหลักในการหาคำตอบ นักเรียน / นักศึกษา ก็มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียทักษะสำคัญๆไป ที่เปรียบได้กับการที่ GPS ทำให้ความสามารถในการจดจำเส้นทางของผู้คนอ่อนแอลง AI ก็อาจทำให้ “การนำทางทางความคิด” หรือ “ความสามารถในการคิดอย่างอิสระ” ของนักเรียน / นักศึกษา อ่อนแอลงได้ หากเกิดการพึ่งพา AI ในการค้นหาคำตอบและสรุปข้อมูลมากเกินไป พวกเขาจะไม่ได้ฝึกฝนทักษะการค้นคว้า และเชื่อมโยงข้อมูลด้วยตนเอง ตัวอย่างทักษะที่อาจสูญเสียไป เช่น
- การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking)
- ทักษะความสามารถในการแก้ปัญหา (Problem-Solving Ability)
- ความคิดสร้างสรรค์และการแสดงออก (Creativity and Self-Expression)

3. ข้อกังวลด้านจริยธรรม ความเป็นส่วนตัว และอคติ
ระบบ AI รวบรวมข้อมูลจำนวนมหาศาล ตั้งแต่ผลการเรียนไปจนถึงพฤติกรรมส่วนตัว ซึ่งหากจัดการไม่ดีก็อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ได้ สิ่งนี้ คือ ข้อถกเถียงเชิงจริยธรรมที่ว่า “AI จะต้องทำหน้าที่รับใช้การศึกษา ไม่ใช่เข้าควบคุมการศึกษา” การออกแบบระบบจะต้องโปร่งใสและยุติธรรม เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องมือเหล่านี้จะไม่สร้างอคติ หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของนักเรียน เช่น
- การละเมิดความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
- อคติทางอัลกอริทึมที่อาจเข้าข้างกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือรูปแบบการเรียนรู้บางอย่าง ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียม
- นักเรียนจะรู้สึกว่าตนเองถูกติดตามตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา
AI กับการเป็นเครื่องมือ (Tool) vs. AI กับภัยคุกคาม (Threat)
มุมมองด้าน | AI ในฐานะเครื่องมือ (Tool) | AI ในฐานะภัยคุกคาม (Threat) |
---|---|---|
การเรียนรู้ | ปรับให้เข้ากับเฉพาะบุคคลได้ ครอบคลุม และเข้าถึงได้ทุกคน | การพึ่งพามากเกินไป ทำให้สูญเสียทักษะ การคิด |
การสอน | ประหยัดเวลา สนับสนุนการให้ข้อมูลเชิงลึก | เข้ามาแทนที่บทบาทหลักของครู (ทำให้ลดคุณค่าลง) |
จริยธรรม | ความโปร่งใสและความยุติธรรม | การคัดลอกผลงาน (Plagiarism) และอคติ ที่เกิดขึ้น |
การเข้าถึง | สนับสนุนผู้เรียนที่หลากหลาย | ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูล |
ผลลัพธ์ | การทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาด | การเรียนรู้ที่ผิวเผิน (Shallow Learning) |

มิติทางจิตวิทยาและสังคม (Psychological and Social Dimensions)
AI ในห้องเรียนไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ด้านการเรียนรู้เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อ “ความรู้สึกของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้” ด้วย ดังนี้
1. กรอบความคิดของนักเรียน (Student Mindset)
ปฏิกิริยาของนักเรียนต่อ AI นั้นแตกต่างกันไป ดังนี้
- แรงจูงใจและความเป็นโค้ช
นักเรียน / นักศึกษาบางคนพบว่า AI เป็นเครื่องมือที่สร้างแรงจูงใจ เหมือนกับการมีโค้ชส่วนตัว ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือและคำแนะนำได้ตลอดเวลา สิ่งนี้อาจช่วยลดความเครียด ในการถามคำถามที่รู้สึกว่าโง่ต่อหน้าชั้นเรียน - ความรู้สึกถูกข่มขู่และความมั่นใจลดลง
นักเรียนบางคนรู้สึกถูกข่มขู่จากความสามารถของ AI พวกเขามีความเชื่อว่า “AI ฉลาดกว่าฉัน” ซึ่งอาจนำไปสู่ “ภาวะคนไม่คู่ควร” (Imposter Syndrome) หรือทำให้ความมั่นใจในความสามารถของตนเองลดลงได้ หากนักเรียนรู้สึกว่างานที่ทำออกมาไม่ดีเท่าที่ AI ทำได้ พวกเขาอาจหมดกำลังใจที่จะพยายามอย่างเต็มที่
2. อัตลักษณ์ของครูผู้สอน (Teacher Identity)
บุคลากรทางการศึกษาต้องเผชิญกับความท้าทายทางอารมณ์และจิตใจ ในการรักษาบทบาทและความสำคัญของตนเองในโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพราะเมื่อ AI สามารถจัดการงานเชิงข้อมูล และการตรวจให้คะแนนได้ดีและเร็วกว่า ครูจึงต้อง “นิยามบทบาทของตนเองใหม่” จากเดิมที่เป็น “ผู้ถ่ายทอดข้อมูล” มาเป็น
- ผู้อำนวยความสะดวกในการทำความเข้าใจ
ครู / อาจารย์ จะช่วยให้นักเรียน / นักศึกษา เชื่อมโยงข้อมูลเข้ากับโลกแห่งความเป็นจริง สอนวิธีการตั้งคำถามที่เหมาะสม และนำทางการสนทนาที่ซับซ้อน - ผู้ปลูกฝังความเห็นอกเห็นใจและค่านิยม
สิ่งเหล่านี้ คือ ทักษะความเป็นมนุษย์ (Human Skills) ที่ AI ไม่สามารถทำซ้ำได้ เช่น การสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัว การสร้างชุมชนในห้องเรียน การสอนคุณธรรมจริยธรรม และการพัฒนามิติด้านอารมณ์และสังคมของนักเรียน
ดังนั้น บทบาทของครูจึงเปลี่ยนไปเป็นการ “ให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์” ในการศึกษามากขึ้น

ความสมดุลของครู + AI = การศึกษาที่เสริมพลัง (Augmented Education)
AI ไม่ควรเข้ามาแทนที่ครู / อาจารย์ แต่ควรเข้ามาเสริมพลังแทน เมื่อนักเรียน / นักการศึกษาใช้ AI ในฐานะ “ผู้ช่วย” (Assistant) ไม่ใช่ “ตัวแทน” (Substitute) ห้องเรียนจะสามารถ เปลี่ยนแปลงไปสู่สภาพแวดล้อมที่มีพลวัตและมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ การรวมกันของสติปัญญาทางอารมณ์ (EQ) และประสบการณ์ของมนุษย์ (ครู / อาจารย์) กับความสามารถในการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ของ AI ทำให้เกิดรูปแบบการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด หรือที่เรียกว่า Augmented Education ได้
1. ตัวอย่างรูปแบบ “ครูที่ได้รับการเสริมพลัง” กับ “Augmented Teacher Model”
ในกระทรวงศึกษาธิการของสิงคโปร์ (Singapore’s Ministry of Education) ครูได้รับการฝึกอบรมให้ใช้เครื่องมือ AI เพื่อ
- สร้างแบบทดสอบแบบปรับเปลี่ยนได้
ซึ่งปรับระดับความยากง่ายตามประสิทธิภาพของนักเรียนแต่ละคนได้โดยอัตโนมัติ - วิเคราะห์ข้อมูลการมีส่วนร่วมของนักเรียน
เพื่อทำความเข้าใจว่านักเรียนคนใดกำลังประสบปัญหา หรือมีความเบื่อหน่ายในบทเรียน - แนะนำบทเรียนแก้ไขเฉพาะบุคคล
ด้วยจัดหาเนื้อหาที่นักเรียนแต่ละคนจำเป็นต้องทบทวนเป็นพิเศษ
ในรูปแบบนี้ “ครูยังคงเป็นผู้แนะนำและที่ปรึกษา” (Guides and Mentors) ที่ให้การสนับสนุนทางอารมณ์ และพัฒนาการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) ส่วน AI จะจัดการงานซ้ำๆหรืองานวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งช่วยประหยัดเวลาอันมีค่าของครู ทำให้ครูสามารถมุ่งเน้นไปที่การสร้างแรงบันดาลใจ และการสอนที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นมากกว่าได้
2. ตัวอย่างหลักสูตร “ความรู้ด้าน AI” ของฟินแลนด์
ประเทศฟินแลนด์ได้ริเริ่มนำหลักสูตร “ความรู้ด้าน AI” (AI Literacy) เข้าสู่โรงเรียน โดยสอนให้นักเรียนเข้าใจว่า AI ทำงานอย่างไร และวิธีการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ แนวทางนี้ปฏิบัติต่อ AI ไม่ใช่ในฐานะภัยคุกคาม แต่เป็นทักษะการรู้หนังสือที่จำเป็น เช่นเดียวกับการอ่านหรือคณิตศาสตร์ การที่นักเรียนรู้เท่าทันและเข้าใจเครื่องมือ AI ตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้พวกเขาเติบโตขึ้นเป็นพลเมืองดิจิทัล (Digital Citizen) ที่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ได้อย่างชาญฉลาด และมีจริยธรรม แทนที่จะตกเป็นเหยื่อของการใช้งานในทางที่ผิด


การบูรณาการ AI อย่างมีความรับผิดชอบ
การใช้ AI ในการศึกษาจะประสบความสำเร็จได้นั้น หัวใจสำคัญ คือ “การออกแบบเชิงจริยธรรม” และ “การนำไปใช้อย่างรอบคอบ” เพื่อให้แน่ใจว่า AI ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ ไม่ใช่เป็นสิ่งบ่อนทำลาย และการที่เราจะนำ AI มาใช้ในห้องเรียนได้อย่างมีประสิทธิผลนั้น ก็จำเป็นต้องมีนโยบายที่ชัดเจนดังต่อไปนี้
- ความโปร่งใส (Transparency)
ทั้งนักเรียนและครูควรมีความเข้าใจและ “เปิดเผยอย่างชัดเจนเมื่อมีการใช้ AI” ในงานหรือการเรียนการสอน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ AI ในการร่างโครงสร้างเรียงความ หรือการใช้ AI ในการตรวจให้คะแนน การเปิดเผยนี้เป็นรากฐานของความซื่อสัตย์ทางวิชาการ และช่วยให้ทุกคนเห็นคุณค่าของงานที่สร้างสรรค์โดยมนุษย์อย่างแท้จริง - ความรู้ด้าน AI (AI Literacy)
เราต้องไม่สอนนักเรียนเพียงแค่ “วิธีใช้ AI” เท่านั้น แต่ต้องสอน “วิธีการทำงานของ AI” ด้วย การสอนเรื่องอคติของอัลกอริทึม ข้อจำกัดของข้อมูล และผลกระทบทางจริยธรรม จะช่วยให้นักเรียนสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้ได้อย่างมีวิจารณญาณ ไม่ใช่เชื่อถือตามที่ AI บอกทั้งหมด - การประเมินผลที่สมดุล (Balanced Evaluation)
การประเมินผลควรผสมผสานระหว่างงานที่ “ได้รับความช่วยเหลือจาก” AI (AI-assisted) และงานที่ “ประเมินโดยมนุษย์” (Human-assessed) ตัวอย่างเช่น ครูอาจให้นักเรียนใช้ AI ในการรวบรวมข้อมูล แต่ต้องใช้ความคิดของมนุษย์ในการวิเคราะห์เชิงลึก และการนำเสนอในชั้นเรียน วิธีนี้จะช่วยให้มั่นใจว่านักเรียนยังคงพัฒนาทักษะการคิดที่ซับซ้อนอยู่ - การศึกษาด้านจริยธรรมดิจิทัล (Digital Ethics Education)
โรงเรียนต้องส่งเสริมความรับผิดชอบ และความซื่อสัตย์ทางวิชาการโดยตรงในยุคดิจิทัล โดยสอนนักเรียนถึงผลกระทบในระยะยาว ของการโกงหรือการพึ่งพา AI มากเกินไป การเน้นย้ำถึง “ความสำคัญของความเป็นเจ้าของทางปัญญา” ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างพลเมืองที่มีคุณธรรม - นโยบายการปกป้องข้อมูล (Data Protection Policies)
ควรมีนโยบายที่เข้มงวดเพื่อ “จำกัดการรวบรวมข้อมูลของนักเรียนโดย AI” และต้องแน่ใจว่าได้รับ “ความยินยอม” จากนักเรียนและผู้ปกครอง การจัดการข้อมูลอย่างปลอดภัยเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพื่อป้องกันการละเมิดความเป็นส่วนตัว หรือการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลไปในทางที่ผิด

Case Studies กับการใช้ AI ในภาคการศึกษา
เรามาดูกรณีศึกษา (Case Studies) ที่แสดงให้เห็นว่า AI ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การสอนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และการสนับสนุนนักเรียน / นักศึกษาในวงกว้างได้อีกด้วย
มหาวิทยาลัยรัฐจอร์เจีย
มหาวิทยาลัยแห่งนี้ใช้ AI Chatbot ชื่อ “Pounce” เพื่อตอบคำถามของนักศึกษาตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน คำถามเหล่านี้มักเป็นคำถามทั่วไปเกี่ยวกับกระบวนการสมัครเรียน การเงิน หรือกำหนดเวลา และผลลัพธ์ที่ได้ คือ “อัตราการลงทะเบียนเรียนสำเร็จเพิ่มขึ้น 22%” และมีนักศึกษาที่ยกเลิกการลงทะเบียน (Dropouts) ลดลงอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่เห็น ก็คือ AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ทำให้เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยไม่ต้องเสียเวลาตอบคำถามซ้ำๆ และมีเวลามากขึ้นในการให้คำปรึกษาและดูแลนักศึกษาที่มีปัญหาซับซ้อนอื่นๆ ตัวอย่างหนึ่งของการใช้ AI Chatbots เช่น การใช้ AI Chatbots ที่มีชื่อว่า “PolsPounce” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองแบบสุ่มควบคุม (Randomized Controlled Trial) ในวิชารัฐศาสตร์ (Political Science 1101) โดย Chatbots จะส่งข้อความแจ้งเตือนโดยตรงเกี่ยวกับงานที่มอบหมาย เนื้อหาในชั้นเรียน และการสนับสนุนทางวิชาการผ่านข้อความ (Text Messages)

Image Source: https://www.gsu.edu/
มหาวิทยาลัยรังสิต
มหาวิทยาลัยรังสิตได้นำ ChatGPT มาใช้ในวิชาการตลาดและการสื่อสาร โดยนักศึกษาสามารถใช้ AI เพื่อช่วยในการสร้างแนวคิด (Ideation) และวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นได้ โดยนักศึกษาต้องส่งรายงานการสะท้อนความคิด (Reflection Reports) ที่อธิบายว่าพวกเขาใช้ AI ช่วยในส่วนใดบ้าง และกระบวนการคิดของมนุษย์ยังคงมีบทบาทสำคัญอย่างไร และผลลัพธ์ที่ได้ คือ “ความคิดสร้างสรรค์ของงานดีขึ้น” พร้อมทั้ง “ยกระดับความตระหนักด้านจริยธรรม” ในการใช้เครื่องมือ AI การใช้ AI ร่วมกับการสะท้อนความคิด (Reflection) เป็นการเปลี่ยน AI จาก “เครื่องมือโกง” เป็น “ผู้ช่วยคิด” ที่จำเป็นต้องมีวิจารณญาณกำกับ

Image Source: https://www.rsu.ac.th/
โรงเรียนมัธยมในประเทศญี่ปุ่น
โรงเรียนมัธยมในญี่ปุ่นใช้โปรแกรมเรียนภาษาอังกฤษที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อวิเคราะห์ความแม่นยำของการออกเสียงและไวยากรณ์ โดย AI จะสร้างรายงานโดยละเอียด เกี่ยวกับจุดบกพร่องของนักเรียนแต่ละคน จากนั้นครูจะใช้รายงานเหล่านี้เพื่อ “ให้การฝึกสอนเฉพาะบุคคล” (Personalized Coaching) และผลลัพธ์ที่ได้ คือ อัตราการมีส่วนร่วมในบทเรียนสูงขึ้น และผลคะแนนสอบดีขึ้น โดยที่ AI ไม่ได้แทนที่ครู แต่ช่วยให้ครูทำงานได้แม่นยำขึ้น

การประเมินผลด้วย AI ในโรงเรียนประเทศอังกฤษ
โรงเรียนหลายแห่งในอังกฤษเริ่มใช้ AI เพื่อช่วยตรวจให้คะแนนเรียงความเบื้องต้น โดยเฉพาะงานที่มีปริมาณมาก โดย AI จะให้คะแนนตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น โครงสร้างประโยค ความสอดคล้องของย่อหน้า และการใช้คำศัพท์ สิ่งนี้ช่วยลดความเหนื่อยล้าของครู (Teacher Burnout) และช่วยให้ครูสามารถมุ่งเน้นไปที่การให้ข้อเสนอแนะเชิงคุณภาพ (Qualitative Feedback) เกี่ยวกับ “ความลึกซึ้งของการคิดและมุมมอง” ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ทำได้ไม่ดีเท่ามนุษย์

แพลตฟอร์มการเรียนรู้แบบปรับตัว (Adaptive Learning Platform) ในอินเดีย
EdTech Start-up หลายแห่งในอินเดียใช้แพลตฟอร์ม AI เพื่อสอนวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ให้กับนักเรียนในชนบท โดยแพลตฟอร์มจะปรับระดับของโจทย์ และคำอธิบายโดยอัตโนมัติแบบเรียลไทม์ หากนักเรียนตอบถูก ระบบจะเพิ่มความซับซ้อนขึ้น หากตอบผิด ระบบจะย้อนกลับไปสอนแนวคิดพื้นฐานอีกครั้ง วิธีนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่า “การศึกษาที่มีคุณภาพสูงสามารถเข้าถึงได้” แม้ในพื้นที่ที่ขาดแคลนครูผู้เชี่ยวชาญ โดยผลที่ได้รับ คือ นักเรียนที่ใช้โปรแกรม Adaptive Learning ในวิชาคณิตศาสตร์เป็นระยะเวลาประมาณ 17 เดือน “มีอัตราการเรียนรู้เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า” เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม นักเรียนกลุ่มที่อ่อนแอที่สุด (เช่น เกรด 6 และ 7) ได้รับประโยชน์มากที่สุด โดยมีผลการเรียนรู้เทียบเท่ากับการเรียนในระบบปกติเพิ่มขึ้นถึง 1.9 ปี

AI ในห้องเรียนและการศึกษา ไม่ใช่ทั้งผู้ร้ายและผู้กอบกู้แต่อย่างใด แต่เป็น “กระจกสะท้อน” ถึงทางเลือกที่เราจะใช้มัน โดยหากการศึกษามุ่งเน้นเพียงแค่ “ประสิทธิภาพ” (Efficiency) ตัวของ AI เองก็อาจจะกลายเป็นภัยคุกคามได้ แต่ถ้าการศึกษามุ่งเน้นที่ “การสร้างความรู้แจ้ง” (Enlightenment) ตัวของ AI เองก็จะกลายเป็นพันธมิตรทางการเรียนรู้ ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่มนุษยชาติเคยรู้จักมาได้นั่นเอง
Sources:
https://news.gsu.edu/2022/03/21/classroom-chatbot-improves-student-performance-study-says/
https://www.ntu.edu.sg/nie/news-events/news/detail/moe-s-newest-ai-tools-and-how-schools-are-using-them
https://sulava.com/en/artificial-intelligence/ai-literacy-fundamentals-a-new-free-course-to-support-ai-know-how
https://aiexpert.network/ai-integration-in-japans-education-sector/
https://www.thehindu.com/news/national/personalised-adaptive-learning-in-ap-led-to-better-math-learning-outcomes-finds-study/article70026994.ece