ปัญหาหรือความเจ็บปวดใจของลูกค้าหรือที่เราเรียกกันว่า Customer Pain Point ถือเป็นปัญหาที่ใหญ่มากที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับผลิตภัณฑ์ บริการ หรือตัวของแบรนด์และธุรกิจไม่วันใดก็วันหนึ่ง โดยปัญหาเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกๆขั้นตอนของทั้งการเดินทางของลูกค้า (Customer Journey) ตั้งแต่การรู้จักและการค้นพบผลิตภัณฑ์ (Awareness & Discover) ไปจนถึงการสนับสนุนหลังการซื้อ (Advocacy) หรืออาจเกิดขึ้นจากการใช้งานตัวสินค้า และการได้รับการบริการที่ไม่ประทับใจ และด้วยการระบุรูปแบบของ Customer Pain Point ได้อย่างชัดเจน ก็จะช่วยให้คุณมองเห็นและจัดการกับปัญหาเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า (Customer Satisfaction) และสร้างความภักดีที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น (Brand Loyalty) เรามาดูรูปแบบของ Customer Pain Point พร้อมคำอธิบายในบทความนี้กันครับ
รูปแบบของ Customer Pain Point
Customer Pain Point สามารถจัดกลุ่มเป็นรูปแบบต่างๆตามความท้าทายที่เกิดขึ้น โดยแต่ละรูปแบบจะเน้นย้ำถึงลักษณะเฉพาะที่ลูกค้าอาจพบเจอกับความไม่พึงพอใจ ความผิดหวัง ความไม่สะดวก หรือความเจ็บปวดใจ จนอาจนำไปสู่ความรู้สึกไม่ดีกับประสบการณ์ส่วนตัว ภาพรวมของแบรนด์ และตัวของธุรกิจ ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 7 รูปแบบ ดังนี้
1. ความเจ็บปวดจากตัวผลิตภัณฑ์ (Product Pain Point)
ปัญหาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ หมายถึง ปัญหาเฉพาะที่ลูกค้าเผชิญอยู่เมื่อใช้งานผลิตภัณฑ์ โดยปัญหาเหล่านี้อาจเกิดจากการออกแบบ การใช้งาน ประสิทธิภาพ หรือความทนทาน ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลกระทบต่อมูลค่าของผลิตภัณฑ์ ที่สามารถแยกย่อยแบ่งออกได้เป็น 8 ประเภท ดังนี้
- ความเจ็บปวดจากฟังก์ชั่นการทำงาน (Functional Pain Point)
ปัญหาด้านการใช้งานเกิดขึ้นเมื่อผลิตภัณฑ์ไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ หรือไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ ปัญหาเหล่านี้อาจทำให้ผู้ใช้งานหรือผู้บริโภคหงุดหงิดอย่างมาก จนกระตุ้นให้พวกเขาค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาทางอื่น
ตัวอย่าง- ประสิทธิภาพของสินค้าต่ำ
ลองนึกภาพหากเราซื้อสมาร์ทโฟนที่บอกว่าเป็นแบรนด์ที่มี “ประสิทธิภาพสูง” แต่สุดท้ายพบว่าสมาร์ทโฟนทำงานช้าลงอย่างมากเมื่อใช้หลายๆแอปฯพร้อมกัน เพราะเมื่อลูกค้าไว้ใจกับคำมั่นสัญญาและการสื่อสารถึงเรื่อง “ประสิทธิภาพ” แต่อุปกรณ์นั้นไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังเหล่านี้ได้ ก็จะนำไปสู่ความไม่ถึงพอใจได้ - คุณสมบัติไม่เพียงพอต่อความต้องการ
แอปฯสำหรับแก้ไขรูปภาพอาจขาดฟีเจอร์ที่จำเป็นขั้นพื้นฐาน เช่น การตัดหรือการลบพื้นหลัง ทำให้ผู้ใช้งานต้องสลับไปมาระหว่างหลายๆแอปฯเพื่อทำงานให้สำเร็จ และด้วยความไม่ครบถ้วนของแอปฯนี้ ทำให้เกิดความหงุดหงิดเวลาใช้งานและเลิกใช้งานได้ในที่สุด
วิธีแก้ไข
1. วิจัยตลาดและสำรวจความคิดเห็นอย่างละเอียด เพื่อทำความเข้าใจสิ่งที่ลูกค้าคาดหวังจากผลิตภัณฑ์ของคุณ
2. อัปเดตผลิตภัณฑ์เป็นประจำเพื่อให้ความมั่นใจว่า จะได้ปรับปรุงและการแก้ไขข้อบกพร่องที่มี
3. รวบรวมความคิดเห็นของผู้ใช้งานหรือผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่า ฃผลิตภัณฑ์นั้นสอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ
- ประสิทธิภาพของสินค้าต่ำ
- ความเจ็บปวดจากการใช้งาน (Usability Pain Point)
ปัญหาด้านการใช้งานที่เกิดขึ้นเมื่อผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานนั้น ทำให้ลูกค้าสับสนและเกิดความเข้าใจยาก โดยแม้ว่าตัวผลิตภัณฑ์จะใช้งานได้จริงแต่การออกแบบอาจทำได้ไม่ดี หรืออาจได้คำแนะนำที่ไม่ชัดเจน ก็สามารถขัดขวางประสบการณ์ดีๆของลูกค้าได้
ตัวอย่าง- Interface ใช้งานยาก
แอปฯออกกำลังกายอาจแสดงข้อมูลที่ดูยากและไม่มีคำแนะนำที่ชัดเจน ส่งผลให้ผู้ใช้งานไม่แน่ใจว่าจะติดตามความความคืบหน้าในการออกกำลังกายของตนอย่างไร ปัญหานี้สามารถลดระดับการใช้งานลงได้ - การออกแบบที่ไม่ดีพอ
เครื่องใช้ในครัวเรือน เช่น เครื่องไมโครเวฟมีปุ่มเยอะแยะมากมาย และมีป้ายกำกับเป็นศัพท์ทางเทคนิค อาจทำให้ลูกค้าที่ต้องการอุ่นอาหารอย่างรวดเร็วเกิดความหงุดหงิดได้
วิธีแก้ไข
1. ลดความซับซ้อนของการออกแบบโดยคำนึงถึงผู้ใช้งานเป็นอันดับแรก มุ่งเน้นสิ่งที่ลูกค้าต้องการและวิธีที่พวกเขาใช้งานผลิตภัณฑ์
2. ใช้ภาพแนะนำ วีดิโอช่วยสอน และคู่มืออธิบายการใช้งานได้ชัดเจน เพื่อทำให้การเริ่มต้นการใช้งานนั้นราบรื่นมากยิ่งขึ้น
3. ทดสอบผลิตภัณฑ์กับผู้ใช้จริง และรวบรวมความคิดเห็นเพื่อนำมาปรับแต่งการใช้งานให้ดีกว่าเดิม
- Interface ใช้งานยาก
- ความเจ็บปวดจากความไม่คงทน (Durability Pain Point)
ปัญหาเหล่านี้เกิดจากการที่ผลิตภัณฑ์ไม่สามารถอยู่ได้นานเท่าที่ลูกค้าคาดหวัง หรือทนทานต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันอย่างที่ควรจะเป็น ความทนทานนั้นมักจะเกี่ยวข้องกับคุณภาพเสมอ เพราะเมื่อสินค้าไม่คงทนตามที่คาดเอาไว้ลูกค้าจะรู้สึกว่าสูญเสียเงินไปเปล่าๆกับผลิตภัณฑ์ของคุณ
ตัวอย่าง- ความเปราะบาง
หูฟังราคาแพงคู่หนึ่งเกิดพังเอาดื้อๆหลังจากตกจากที่สูงแค่เพียง 1 เมตร ซึ่งเน้นให้เห็นถึงคุณภาพของวัสดุที่ไม่ดี เพราะลูกค้าคาดหวังว่าผลิตภัณฑ์ที่มีราคาระดับพรีเมี่ยม จะมีความยืดหยุ่นและคงทนมากกว่านี้ - อายุการใช้งานสั้น
เครื่องใช้ในครัวหยุดทำงานเอาเฉยๆหลังจากผ่านไปแค่ 2-3 เดือน ทำให้เกิดความไม่สะดวกสบาย ส่งผลให้ลูกค้าต้องใช้เวลาและเงินในการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่
วิธีแก้ไข
1. ใช้วัสดุที่ทนทานและมีใบรับรองการตรวจสอบคุณภาพระหว่างการผลิต
2. เสนอการรับประกันหรือแผนบริการเพิ่มเติม เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า
3. สื่อสารผลการทดสอบความทนทานเพื่อสร้างความไว้วางใจ และเพิ่มความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์
- ความเปราะบาง
- ความเจ็บปวดจากความไม่เข้ากัน (Compatibility Pain Point)
ปัญหาด้านความเข้ากันได้เกิดขึ้นเมื่อผลิตภัณฑ์ ไม่สามารถทำงานร่วมกับระบบเดิมที่มีอยู่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์อื่นๆที่ทำให้ลูกค้าใช้ได้อย่างไม่ราบรื่น เช่น ระบบ iOS กับ Android
ตัวอย่าง- ข้อจำกัดด้านอุปกรณ์
เมื่อคุณซื้ออุปกรณ์สมาร์ทโฮมที่เชื่อมต่อกับ Wi-Fi หรือเคื่องมือบางชิ้น แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับใช้ไม่ได้จริงหรืออาจใช้แล้วไม่เข้ากัน ทำให้เกิดความไม่เสถียรขึ้น - ข้อจำกัดการเชื่อมต่อ
เครื่องมือหรือโปรแกรมไม่สามารถ Sync กับแอปฯมือถือบางรุ่นหรือบางระบบได้ เช่น Google Calendar ซึ่งทำให้เกิดความไม่สะดวกสบายในการใช้งาน
วิธีแก้ไข
1. ตรวจสอบความเข้ากันได้ข้าม Platform ข้ามระบบ หรือข้าม Device ในระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์
2. ให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับอุปกรณ์และระบบที่รองรับ
3. ปรับปรุงผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอเพื่อเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีและมาตรฐานใหม่ๆ
- ข้อจำกัดด้านอุปกรณ์
- ความเจ็บปวดจากความไม่ปลอดภัย (Safety Pain Point)
ปัญหาด้านความปลอดภัยเป็นปัญหาสำคัญมากที่สุดปัญหาหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก หรืออาจเป็นเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์วิกฤต เช่น วัสดุที่ไม่ทนต่อความร้อน อุปกรณ์ไม่มีระบบตัดไฟ โดยการขาดคุณสมบัติด้านความปลอดภัย หรือการรับรู้ถึงความเสี่ยงและความอันตราย ก็อาจส่งผลให้สูญเสียความไว้วางใจจากลูกค้าและผู้ใช้งาน หรือที่แย่ไปกว่านั้นก็คือผลทางกฎหมายที่อาจตามมา
ตัวอย่าง- ความปลอดภัยของเด็ก
ของเล่นมีชิ้นส่วนขนาดเล็กที่ถอดออกได้ อาจก่อให้เกิดอันตรายจากการกลืนและสำลัก ทำให้เกิดความกังวลอย่างมากสำหรับผู้ปกครอง - ความปลอดภัยเกี่ยวกับระบบไฟฟ้า
พาวเวอร์แบงค์เกิดความร้อนสูงเกินไป หรือเกิดประกายไฟระหว่างการชาร์จ ทำให้เกิดความเสี่ยงจากไฟไหม้จนผู้ใช้งานรู้สึกไม่ปลอดภัย
วิธีแก้ไข
1. ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในการออกแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อให้มั่นใจว่าสอดคล้องกับมาตรฐานอุตสาหกรรม
2. แสดงฉลากความปลอดภัยและคำแนะนำที่ชัดเจน สำหรับการใช้งานที่เหมาะสม
3. ดำเนินการทดสอบผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด เพื่อระบุและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
- ความปลอดภัยของเด็ก
- ความเจ็บปวดจากความไม่พร้อม (Availability Pain Point)
ปัญหาด้านความพร้อมใช้งานจะเกิดขึ้นเมื่อลูกค้าไม่สามารถค้นหาหรือซื้อสินค้าได้ โดยอาจมีสาเหตุมาจากการมีสต็อกที่จำกัด เกิดข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ หรือการจัดจำหน่ายที่ไม่ทั่วถึงและไม่ดีพอควร
ตัวอย่าง- สต๊อกสินค้าหมดบ่อยครั้ง
แบรนด์ที่ทำผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าอาจเกิดกระแสไวรัลเรื่องสินค้าขาดสต๊อกอยู่บ่อยครั้ง สร้างความหงุดหงิดให้กับลูกค้าเป็นประจำจนอาจทำให้ลูกค้าหันไปหาคู่แข่งแทน - อุปสรรคทางภูมิศาสตร์
ผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีบางประเภทอาจมีเฉพาะในบางประเทศ ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงบางพื้นที่จนสร้างความรู้สึกไม่ดีกับลูกค้าได้
วิธีแก้ไข
1. ใช้เครื่องมือหรือระบบเพื่อคาดการณ์ความต้องการของลูกค้า ในการจัดการสต๊อกสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. ขยายเครือข่ายการขายรวมถึงช่องทางการจัดจำหน่าย และพิจารณาช่องทาง E-Commerce เพื่อเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น
3. จัดเตรียมทางเลือกอื่นๆ เช่น การสั่งซื้อล่วงหน้า เพื่อบริหารจัดการกับความคาดหวังของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
- สต๊อกสินค้าหมดบ่อยครั้ง
- ความเจ็บปวดด้านสุนทรีย์ศาสตร์ (Aesthetic Pain Point)
ปัญหาด้านสุนทรียศาสตร์เกิดขึ้นเมื่อลูกค้าไม่ชอบรูปร่างหน้าตา ที่เน้นไปในเรื่องของการออกแบบผลิตภัณฑ์ ที่ส่งผลกระทบต่ออารมณ์และความรู้สึก สิ่งนี้มีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่งในแทบจะทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่น เทคโนโลยี หรือการตกแต่งบ้าน
ตัวอย่าง- การออกแบบที่ล้าสมัย
การออกแบบแล็ปท็อปขนาดใหญ่อาจดูไม่น่าดึงดูดสำหรับลูกค้าวัยรุ่นที่อายุน้อย ที่ชื่นชอบอุปกรณ์ที่ดูทันสมัยและพกพาง่าย - ขาดการปรับแต่งที่เหมาะสม
แบรนด์รถยนต์ที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนสีของเบาะหรือการตกแต่งภายใน ก็อาจพลาดกลุ่มคนที่ชอบความแตกต่างและความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคล
วิธีแก้ไข
1. ศึกษาแนวโน้มการออกแบบผลิตภัณฑ์ ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า
2. เสนอตัวเลือกการปรับแต่งแบบ Customization เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกถึงความพิเศษแบบเฉพาะตัว
3. เน้นย้ำความสวยงามที่น่าดึงดูดของผลิตภัณฑ์ ด้วยการสื่อสารและนำเสนอผ่านภาพและเสียงที่ดึงดูดเชิงอารมณ์
- การออกแบบที่ล้าสมัย
- ความเจ็บปวดด้านการขาดซึ่งประสิทธิภาพ (Performance Pain Point)
ปัญหาด้านประสิทธิภาพเกิดขึ้นเมื่อผลิตภัณฑ์ไม่สามารถตอบสนองความเร็ว ความแม่นยำ หรือความน่าเชื่อถือได้
ตัวอย่าง- อายุการใช้งานแบตเตอรี่สั้น
Smartwatch ระดับไฮเอนด์ที่ต้องชาร์จทุกวัน ทำให้ผู้ใช้งานไม่สะดวกในระหว่างการเดินทาง - ฟังก์ชันการทำงานไม่สอดคล้องกัน
หุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่ไม่สามารถทำความสะอาดเฉพาะบางพื้นที่ได้ จนสร้างให้เกิดความไม่ไว้วางใจต่อความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์
วิธีแก้ไข
1. มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในระหว่างการวิจัยและพัฒนา
2. จัดให้มีการอัปเดตซอฟต์แวร์เป็นประจำเพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง หรือเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
3. สื่อสารประสิทธิภาพและข้อเด่นๆของผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจน เพื่อให้สอดคล้องกับความคาดหวังที่แท้จริง
- อายุการใช้งานแบตเตอรี่สั้น
2. ความเจ็บปวดด้านการเงิน (Financial Pain Point)
ลูกค้ามักจะรู้สึกถึงความตึงเครียดทางการเงิน เมื่อผลิตภัณฑ์หรือบริการถูกมองว่าแพงจนเกินไป ขาดคุณสมบัติและคุณค่าที่ชัดเจน หรือมีต้นทุนที่ไม่น่าจะสมเหตุสมผลเท่าที่ควร ทำให้ปัญหาทางการเงินอาจกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตลาดและผู้บริโภคที่มีความอ่อนไหวด้านราคา (Price Sensitive) ตัวอย่างเช่น
- การสมัครสมาชิกราคาแพง
บริษัทซอฟต์แวร์แห่งหนึ่งเสนอค่าสมัครสมาชิกรายเดือนในราคา 1,999 บาท แต่ลูกค้าจำนวนมากใช้ฟีเจอร์นี้เพียงแค่ 30% โดยไม่มีทางเลือกอื่นๆที่ถูกกว่าจึงจำเป็นต้องใช้ต่อไป - ค่าธรรมเนียมที่แอบซ่อนอยู่
สายการบินโฆษณาราคาตั๋วขั้นพื้นฐานในราคาที่ต่ำ แต่มีการเพิ่มค่าใช้จ่ายที่แอบซ่อนอยู่สำหรับการเลือกที่นั่ง ค่าสัมภาระ และค่าอาหาร - การเปรียบเทียบราคา
ลูกค้าค้นพบว่าคู่แข่งเสนอผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกันในราคาที่ต่ำกว่า ทำให้พวกเขาตั้งคำถามถึงคุณค่าของผลิตภัณฑ์ของคุณ
วิธีแก้ปัญหา
- การกำหนดราคาที่โปร่งใส
แจกแจงต้นทุนอย่างชัดเจนในหน้าใบแจ้งหนี้และหน้าที่มีการนำเสนอราคา และเน้นสิทธิประโยชน์ที่เชื่อมโยงกับแต่ละระดับราคา - มีแผนการชำระเงินที่ยืดหยุ่น
แนะนำตัวเลือกการผ่อนชำระ แผนรายเดือน หรือแผนรายปีแบบมีส่วนลด เพื่อแบ่งเบาภาระทางการเงินของลูกค้า - สร้างมูลค่าเพิ่ม
เพิ่มหรือรวมสิทธิพิเศษต่างๆ เช่น การทดลองใช้ฟรี ส่วนลด หรือข้อเสนอแบบรวม ที่ทำให้ราคาดูสมเหตุสมผลมากขึ้น
3. ความเจ็บปวดจากประสิทธิภาพ (Productivity Pain Point)
เมื่อปัญหาด้านประสิทธิภาพที่เกิดจากการผลิต ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่ากำลังเสียเวลาหรือไม่สามารถใช้งานผลิตภัณฑ์ รวมถึงบริการของคุณได้อย่างที่ควรจะเป็น เช่น
- ซอฟต์แวร์ไม่มีประสิทธิภาพ
ระบบ CRM ที่ให้ผู้ใช้งานมานั่งอัปเดต แก้ไข หรือเพิ่มเติมงานด้วยตนเอง โดยทั้งหมดไม่ได้เชื่อมโยงหรือ Sync ให้ทำงานได้ง่ายขึ้น และประมวลผลออกมาเป็นรายงานที่ไม่ครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ - การรอที่เนิ่นนาน
ส่วนงานบริการลูกค้าบอกว่าจะได้รับการแก้ไขปัญหาภายใน 30 นาที แต่ปรากฎว่าผ่านไป 4 ชั่วโมง ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า - อินเทอร์เฟซผู้ใช้งานที่ซับซ้อน
แพลตฟอร์มวิเคราะห์ธุรกิจมีแดชบอร์ดแสดงผลที่มากจนเกินไป ทำให้ผู้ใช้ค้นหาข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้งานได้ยากกว่าเดิม
วิธีแก้ปัญหา
- ระบบอัตโนมัติ
การใช้ระบบอัตโนมัติ เช่น การบันทึกเอกสารอัตโนมัติ การ Sync ข้อมูลอัตโนมัติ หรือการสร้างรูปแบบรายงานเพียงแค่คลิกเดียว - การปรับปรุงกระบวนการ
ออกแบบขั้นตอนการทำงานใหม่เพื่อลดขั้นตอนให้สั้นและกระชับ เช่น การชำระเงินแบบหน้าเดียวใน E-Commerce Platform - การช่วยเหลือที่เข้าถึงให้มากขึ้น
จัดเตรียมคำถามที่พบบ่อย (Frequency Ask Questions – FAQs) ที่รวมคำตอบเบื้องต้นให้ลูกค้าและผู้ใช้งาน สามารถแก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้อย่างรวดเร็ว การทำ Video Tutorial ที่บอกวิธีใช้งานหรือการแก้ไขปัญหา หรือการเพิ่มตัวเลือกแบบ Live Chat ในการพูดคุยแบบตรงๆและชัดเจนมากยิ่งขึ้น
4. ความเจ็บปวดจากกระบวนการแย่ๆ (Process Pain Point)
ปัญหาเหล่านี้เกิดจากการที่ลูกค้าต้องดิ้นรนและทุกข์ทน กับกระบวนการที่ไม่มีประสิทธิภาพหรือกระบวนการที่ออกแบบมาไม่ดีพอ ซึ่งนำไปสู่ความยุ่งยากในระหว่างการพูดคุย การสื่อสาร และการสร้างปฏิสัมพันธ์กับธุรกิจของคุณ เช่น
- กระบวนการชำระเงินที่ยุ่งยากซับซ้อน
ร้านค้าออนไลน์ให้ลูกค้าสร้างบัญชี โดยมีระบบการยืนยันอีเมล์ และป้อนข้อมูลหลายรายการ ก่อนไปสู่กระบวนการชำระเงิน - ประสบการณ์ที่ไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน
แอปพลิเคชั่นธนาคารมีตัวอักษรขนาดเล็ก และการที่จะกดแต่ละเมนูนั้นดูซับซ้อน ทำให้ผู้ใช้งานทำธุรกรรมได้ยาก - การเชื่อมต่อที่ไร้ประสิทธิภาพ
ลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางออนไลน์ แต่ไม่สามารถคืนสินค้าที่ร้านค้าได้ เนื่องจากขาดการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน้าร้านและระบบออนไลน์
วิธีแก้ปัญหา
- การทดสอบกับผู้ใช้งานจริง
ทดสอบกระบวนการทั้งหมดกับผู้ใช้จริงอยู่เป็นประจำ เพื่อระบุจุดที่อาจสร้างให้เกิดความบกพร่อง สร้างความรำคาญ สร้างความไม่พอใจ และสร้างความยากต่อการใช้งาน - การบูรณาการทุกช่องทางแบบ Omni-Channel
รับประกันกับลูกค้าให้ได้ว่าคุณจะสร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นแบบไร้รอยต่อ ระหว่างการซื้อสินค้าและการสื่อสารบนโลกออนไลน์กับหน้าร้านค้า - ลดความซับซ้อนให้น้อยลง
ทำให้ผู้ใช้งานสามารถทำธุรกรรมได้ง่ายที่สุดภายในคลิกเดียว หรือมีแบบฟอร์มที่ใช้ป้อนข้อมูลอัตโนมัติ และการออกแบบที่เรียบง่ายสบายตา
5. ความเจ็บปวดจากไม่ได้รับการสนับสนุน (Support Pain Point)
ปัญหาด้านการสนับสนุนเกิดขึ้นเมื่อลูกค้าไม่ได้รับความช่วยเหลือ หรือคำแนะนำที่เพียงพอระหว่างการค้นหาข้อมูลและอาจเกิดจากช่วงการใช้งานผลิตภัณฑ์หรือบริการ โดยอาจเป็นเพราะทีมงานไม่ตอบสนองอย่างรวดเร็ว การขาดความรู้และความเชี่ยวชาญ หรืออาจเกิดจากความพร้อมที่จำกัด เช่น
- การตอบกลับทางอีเมล์ล่าช้า
ลูกค้าส่งอีเมล์สอบถามข้อมูลแต่ได้รับคำตอบหลังจาก 72 ชั่วโมงไปแล้ว ซึ่งกินเวลาและเกินความคาดหมายไปมาก - ทีมงานที่ไม่เต็มใจช่วยเหลือ
ลูกค้าโทรติดต่อฝ่ายสนับสนุนและมีการโอนสายไปมาหลายครั้ง ก่อนที่จะพบคนที่มีข้อมูลที่แท้จริง - ลูกค้าไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้
ลูกค้าพยายามหาคำตอบสำหรับคำถามทั่วๆไป แต่บริษัทไม่เตรียมชุดคำถามที่พบบ่อย (FAQs) เพื่อให้ลูกค้าแก้ไขปัญหาเบื้องต้น
วิธีแก้ปัญหา
- การสนับสนุนหลายในหลากหลายช่องทาง
การสนับสนุนโดยคนที่เกี่ยวข้อง การใช้แชทบอท หรือการพูดคุยผ่านฟอรั่มต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน - การมีส่วนร่วมในเชิงรุก
ส่งรายละเอียดการติดตามผลในขั้นตอนต่างๆ และมีการอัปเดตข้อมูลให้ทราบเมื่อแก้ไขปัญหาแล้วเสร็จในแต่ละขั้นตอน - เสริมศักยภาพพนักงาน
ฝึกอบรมทีมสนับสนุนเพื่อจัดการกับปัญหาต่างๆ สร้างให้เกิดความเชี่ยวชาญในแต่ละประเด็น ด้วยความเห็นอกเห็นใจลูกค้าเป็นสำคัญ
6. ความเจ็บปวดด้านอารมณ์ความรู้สึก (Emotional Pain Point)
ประเด็นปัญหาทางอารมณ์ที่เชื่อมโยงกับความรู้สึกของลูกค้า ซึ่งในช่วงระหว่างการพูดคุยและสร้างปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ ทำให้เกิดอารมณ์ในเชิงลบ เช่น ความหงุดหงิด ความคับข้องใจ ความหวาดระแวง หรือความเฉยเมย ที่อาจเกิดขึ้นได้จากประสบการณ์ที่ไม่ดี เช่น
- ถูกมองว่าเป็นแค่คนทั่วๆไป
ลูกค้าได้รับอีเมล์แคมเปญการตลาดที่เขียนคำขึ้นต้นว่า “เรียน ลูกค้า” แทนที่จะเป็นชื่อของลูกค้า ทำให้พวกเขารู้สึกว่าถูกประเมินค่าต่ำเกินไปหรืออาจรู้สึกว่าเป็นเพียงแค่ลูกค้าธรรมดาๆ ทั้งๆที่เป็นลูกค้าประจำและใช้จ่ายสนับสนุนกับแบรนด์ไปปีละหลายหมื่นบาท - การไม่รักษาสัญญา
บริษัทจัดส่งเงื่อนไขการรับประกันสินค้าและอธิบายรายละเอียดอย่างชัดเจน แต่บริษัทไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้นๆซ้ำแล้วซ้ำอีก - ยัดเยียดข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องที่มากจนเกินไป
แคมเปญโฆษณาที่ส่งมาไม่มีการแบ่งแยกว่าลูกค้าต้องการข้อมูลอะไร ทำให้ส่งข้อมูลทุกอย่างที่ลูกค้าไม่ต้องการ ทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายและเริ่มจะไม่ชอบขึ้นมา
วิธีแก้ปัญหา
- การทำ Personalization
ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อส่งโปรโมชั่นและข้อเสนอแบบเฉพาะเจาะจงและตรงใจ เพื่อให้เหมาะกับความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าแต่ละคน - ความคงเส้นคงวา
มีการแจ้งทุกครั้งที่มีการอัปเดตหรือปรับเปลี่ยนข้อมูลต่างๆอย่างสม่ำเสมอ - ทำการตลาดแบบครอบคลุมมากขึ้น
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการทำและการสื่อสารแคมเปญ จะโดนใจผู้ชมที่หลากหลายมากขึ้น โดยนำเสนอให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ และมุมมองที่หลากหลายด้วยการแบ่งเนื้อหาให้ชัดเจน
7. ความเจ็บปวดจากความไม่สะดวกสบาย (Convenience Pain Point)
ปัญหาด้านความสะดวกสบายเกิดขึ้นเมื่อผลิตภัณฑ์หรือบริการไม่สามารถเข้าถึงได้ อาจเกิดจากความยากในการใช้งาน ความยากในการค้นหาข้อมูล การมีจำหน่ายในเวลาที่จำกัดมากจนเกินไป และขายในสถานที่ที่เข้าไม่ถึง เช่น
- ข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์
บริการจัดส่งอาหารมีให้บริการเฉพาะในเมืองใหญ่ๆเท่านั้น ทำให้ลูกค้าในแถบชานเมืองหรือชนบทไม่ได้รับบริการอย่างทั่วถึง - ข้อจำกัดที่มากจนเกินไป
ธุรกิจสปาวางตารางการนัดหมายเฉพาะในช่วงเวลาทำการปกติเท่านั้น ซึ่งทำให้ลูกค้าที่ทำงานประจำรู้สึกไม่สะดวกจะใช้บริการ - บรรจุภัณฑ์ที่ใช้งานยาก
สินค้าต้องใช้กรรไกร มีด หรือใช้แรงมากจนเกินไปในการเปิด ทำให้เกิดความหงุดหงิดใจ
วิธีแก้ปัญหา
- เพิ่มการเข้าถึง
ร่วมมือกับเครือข่ายท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นการขนส่ง หรือตัวแทนผู้จัดจำหน่ายในพื้นที่ เพื่อเข้าถึงตลาดที่กว้างมากขึ้น - มีตัวเลือกที่มากพอ
เสนอการนัดหมายในช่วงเย็นและวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือขยายเวลาเพื่อให้บริการลูกค้าได้มากกว่าเดิม - ทำบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน
ออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้เปิดง่ายมากขึ้นกว่าเดิม หรือมีอุปกรณ์เสริมในการช่วยเปิด
ตารางสรุป Pain Point หากแบ่งตามรูป (Type) แบบและประเภท (Category)
รูปแบบ (Type) | ประเภท (Category) | ตัวอย่าง | วิธีแก้ไข |
Functional | Product | ซอฟต์แวร์ขาดฟีเจอร์สำคัญๆ | เพิ่มช่องให้ลูกค้าแสดงความเห็นในการเพิ่มเติมฟีเจอร์ใหม่ๆ ผ่านการอัปเดตผลิตภัณฑ์ หรือผ่านช่องทางการสื่อสารแคมเปญอื่นๆ |
Financial | Service / Experience | ค่าสมาชิกสูงจนเกินไป | เพิ่มตัวเลือกด้านราคาแบบไล่ระดับลงมา |
Productivity | Product / Service | การทำงานแบบ Manual ทำให้ลดประสิทธิภาพลง | ปรับงานบางอย่างด้วยการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ |
Process | Service / Experience | ขั้นตอนการชำระเงินยุ่งยากวุ่นวาย | ลดวิธีการชำระเงินให้สั้นลง เช่น หากเป็นช่องทางออนไลน์ให้ทำการปรับกระบวนการชำระเงินให้เหลือภายใน 2 หน้า |
Support | Service / Experience | รอพนักงานตอบกลับนานกว่า 3 ชั่วโมง | สอนและแนะนำพนักงานถึงข้อกำหนดในการตอบกลับลูกค้า หรืออาจนำ Chatbot มาใช้ในบางกรณี |
Emotional | Experience | พูดและดูแลเหมือนเป็นลูกค้าทั่วๆไป | ปรับการส่งข้อมูลต่างๆให้เป็นแบบ Personalize รวมถึงการพูดคุยแบบเป็นส่วนตัวมากขึ้น |
Convenience | Product / Experience | มีผลิตภัณฑ์ขายแค่ในเมือง | เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ |
ด้วยการทำความเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงในปัญหาหรือความเจ็บปวดของลูกค้า (Pain Point) จะทำให้คุณสามารถจัดการกับปัญหาเหล่านั้นอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทำให้ธุรกิจต่างๆสามารถเปลี่ยนจากความท้าทายให้กลายเป็นโอกาส ด้วยการใช้ความเห็นอกเห็นใจและความเข้าใจ (Empathy) เพื่อนำมาวิเคราะห์และหวิธีแก้ปัญหาอย่างตรงจุด จนสามารถสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์และธุรกิจของคุณในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้ ซึ่งทำให้ลูกค้ารู้สึกมีคุณค่าและกลายเป็นผู้สนับสนุนแบรนด์และธุรกิจของคุณในอนาคตอย่างยาวนานนั่นเอง