Working-team-planning-project

เมื่อคนส่วนใหญ่นึกถึงการสร้างแบรนด์ (Branding) พวกเขาก็มักจะนึกถึงการมีโลโก้ การทำโฆษณา และแคมเปญการตลาดในรูปแบบต่างๆ ที่ทำให้คนจดจำได้และสร้างยอดขายอย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่ความสำเร็จที่แท้จริงของแบรนด์เริ่มต้นจากตัวบริษัทเอง หรือที่เราเรียกว่าการสร้างแบรนด์ภายใน (Internal Branding) ซึ่งเป็นกระบวนการในการปรับจูนพนักงานของคุณให้มีความสอดคล้องกับค่านิยม (Core Values) วิสัยทัศน์ (Vision) และภารกิจ (Mission) ของแบรนด์ ซึ่งเป็นรากฐานที่สนับสนุนทุกสิ่งที่บริษัททำสู่ภายนอก

หากธุรกิจใดก็ตามเพิกเฉยต่อการสร้างแบรนด์ภายใน (Internal Branding) จะทำให้องค์กรและธุรกิจอ่อนแอลง ซึ่งแน่นอนครับว่าจะส่งผลต่อขวัญและกำลังใจของพนักงาน จนส่งผลสู่การทำธุรกิจกับกลุ่มคนภายนอกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมจะพาผู้อ่านมาเจาะลึกครับว่าทำไมการสร้างแบรนด์ภายใน (Internal Branding) จึงมีความสำคัญต่อการทำธุรกิจ และจะเกิดความเสี่ยงอะไรบ้างหากมองข้ามไป รวมถึงวิธีที่บริษัทที่ประสบความสำเร็จ ได้ใช้ประโยชน์จากการสร้างแบรนด์ภายในที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือ และหากใครยังไม่เข้าใจคำว่า Internal Branding ผมแนะนำให้ลองเข้าไปอ่านได้ที่บทความนี้ก่อนครับ >>> ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการทำ Internal Branding

What's next?

4 เหตุผลสำคัญที่ Internal Branding ถึงมีความสำคัญขั้นสุด

การสร้างแบรนด์ภายใน (Internal Branding) คือ การทำให้พนักงานเข้าใจและเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ (Vision) พันธกิจ (Mission) และคุณค่าขององค์กร (Core Values) ซึ่งจะช่วยให้พนักงานไม่ได้เพียงแค่ “ทำงาน” แต่ยัง “รู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง” ของแบรนด์อย่างแท้จริง และเมื่อองค์กรมีการสร้างแบรนด์ภายในที่ดี (Internal Branding) พนักงานจะกลายเป็นผู้สนับสนุนแบรนด์ (Brand Advocates) ช่วยถ่ายทอดตัวตนของแบรนด์ไปยังลูกค้าอย่างจริงใจและต่อเนื่อง แต่หากละเลยการสร้างแบรนด์ภายใน พนักงานจะขาดแรงจูงใจส่งผลให้ประสบการณ์ของลูกค้าไม่เป็นไปตามที่แบรนด์ต้องการ และทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ดูไม่จริงใจ และทั้ง 4 ข้อต่อไปนี้ คือ เหตุผลว่าทำไมการสร้างแบรนด์ภายในองค์กร (Internal Branding) จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสำเร็จในระยะยาว

1. พนักงานคือทูตหรือตัวแทนของแบรนด์ (Employees as Brand Ambassadors)

พนักงานของคุณคือผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า คู่ค้าทางธุรกิจ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นกลุ่มแรกๆ หากพวกเขาไม่เข้าใจหรือไม่สามารถสะท้อนคุณค่าของแบรนด์ (Core Values) ได้ จะทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันในภาพลักษณ์ขององค์กร ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของลูกค้าลดลง ตัวอย่างเช่น หากแบรนด์ของคุณเน้นเรื่องการบริการที่อบอุ่นและเป็นกันเอง แต่พนักงานให้บริการแบบแข็งกระด้าง ไม่มีรอยยิ้ม ลูกค้าจะรับรู้ถึงความไม่ตรงกันระหว่างคำโฆษณากับประสบการณ์จริง

2. สร้างความสม่ำเสมอในทุกจุดสัมผัส (Consistency Across Touchpoints)

เมื่อพนักงานเข้าใจและเชื่อมั่นในแบรนด์ของคุณ พวกเขาจะช่วยรักษาประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) ให้มีความสอดคล้องกัน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ การเข้ามาใช้บริการที่ร้าน หรือการติดต่อผ่านฝ่ายบริการลูกค้า ตัวอย่างเช่น แบรนด์ระดับโลกอย่าง Apple ให้ความสำคัญกับการอบรมพนักงาน เพื่อให้สามารถถ่ายทอดประสบการณ์ของแบรนด์ได้อย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าลูกค้าจะเดินเข้าร้าน Apple Store ที่ประเทศใด พวกเขาจะได้รับการบริการที่เป็นมิตร มีความรู้ และช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมอยู่เสมอ

3. วัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง (Stronger Company Culture)

การสร้างแบรนด์ภายในที่ดีช่วยให้พนักงานรู้สึกถึงเป้าหมายที่ชัดเจน และมีความผูกพันกับองค์กรมากขึ้น และสิ่งนี้ก็นำไปสู่ระดับการมีส่วนร่วมที่สูง ส่งผลให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยลดอัตราการลาออกของพนักงาน บริษัทที่มีวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง เช่น Google หรือ Zappos ก็ใช้แนวทางการสร้างแบรนด์ภายในที่ชัดเจน โดยให้พนักงานรู้สึกว่าพวกเขามีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์และส่งเสริมคุณค่าขององค์กร ผลลัพธ์ที่ได้คือพนักงานที่มีความสุขและสามารถส่งต่อพลังบวกให้กับลูกค้า

4. การทำงานสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร (Better Alignment with Goals)

พนักงานที่เข้าใจและมีความสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ (Vision) และพันธกิจ (Mission) ของแบรนด์ จะมีแนวโน้มที่จะทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กรในระยะยาว พวกเขาจะไม่เพียงแค่ “ทำตามคำสั่ง” แต่จะลงมือทำด้วยความเข้าใจว่าแต่ละบทบาทของพวกเขาส่งผลต่อความสำเร็จของบริษัทอย่างไร ตัวอย่างเช่น Patagonia แบรนด์เสื้อผ้าที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ได้สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนให้พนักงานมีแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อมเหมือนกับแบรนด์ ส่งผลให้พนักงานทำงานด้วยความมุ่งมั่น และสามารถถ่ายทอดจุดยืนของแบรนด์ออกไปยังลูกค้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ

Group-of-marketing-team-have-a-meeting

ผลกระทบของการละเลยการทำ Internal Branding

หลายองค์กรและหลายธุรกิจให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ภายนอก (External Branding) เช่น การตลาด การโฆษณา และการสื่อสารไปยังลูกค้า แต่กลับมองข้ามการสร้างแบรนด์ภายใน (Internal Branding) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จในระยะยาว หากพนักงานไม่ได้รับการสื่อสารที่ชัดเจน พวกเขาอาจไม่สามารถถ่ายทอดแบรนด์ออกไปยังลูกค้าได้อย่างถูกต้อง ซึ่งนำไปสู่ความสับสนของลูกค้า การบริการที่ไม่สอดคล้องกัน และแม้กระทั่งการสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวแบรนด์ (Brand Trust) และต่อไปนี้ คือ ผลกระทบสำคัญที่อาจเกิดขึ้นเมื่อธุรกิจละเลยการสร้างแบรนด์ภายใน (Internal Branding)

1. ความไม่สอดคล้องกันของการสื่อสาร (Misaligned Messaging)

เมื่อพนักงานไม่เข้าใจแบรนด์อย่างแท้จริง พวกเขาอาจสื่อสารข้อความที่ขัดแย้งกับสิ่งที่บริษัทต้องการนำเสนอ ซึ่งอาจทำให้ลูกค้าเกิดความสับสน และรู้สึกว่าแบรนด์ไม่มีความน่าเชื่อถือ ตัวอย่างเช่น หากบริษัทมีค่านิยมเรื่อง “ความยั่งยืน” แต่พนักงานฝ่ายขายกลับไม่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่ใช้ถุงพลาสติกที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ สิ่งเหล่านี้อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ไม่ได้ยึดมั่นในสิ่งที่พูด

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

  • การตลาดที่ลงทุนไปอาจสูญเปล่า เพราะพนักงานไม่สามารถส่งต่อสารที่สอดคล้องกัน
  • แบรนด์ดูไม่น่าเชื่อถือเพราะคำพูดและการกระทำไม่ตรงกัน
  • ลูกค้าเกิดความสับสนและไม่มั่นใจในอัตลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Identity)

2. ขวัญกำลังใจของพนักงานตกต่ำ (Low Employee Morale)

เมื่อพนักงานรู้สึกว่าแบรนด์ไม่มีความหมายสำหรับพวกเขา หรือไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างแบรนด์ พวกเขาอาจขาดแรงจูงใจและความทุ่มเทในการทำงาน ลองนึกถึงองค์กรที่มีค่านิยมเรื่อง “การทำงานเป็นทีม” แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม หรือขาดการสื่อสารที่ดีจากผู้บริหาร พนักงานจะรู้สึกว่าคำพูดขององค์กรเป็นเพียงแค่ “สโลแกน” เหมือนการโปรโมทสินค้าสวยๆที่ไม่มีผลในทางปฏิบัติจริง สิ่งนี้จะทำให้พวกเขาขหาดความผูกพันกับองค์กร

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

  • พนักงานทำงานอย่างขาดแรงจูงใจส่งผลต่อคุณภาพของงาน
  • อัตราการลาออกสูงขึ้นเพราะพนักงานไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร
  • วัฒนธรรมองค์กรอ่อนแอและยากต่อการสร้างทีมที่แข็งแกร่ง

3. ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ไม่สม่ำเสมอ (Inconsistent Customer Experience)

หากพนักงานจากแต่ละแผนกไม่ได้รับการอบรมเกี่ยวกับแบรนด์และแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน อาจเกิดสถานการณ์ที่ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาติดต่อกับใคร ตัวอย่างเช่น ลูกค้าคนหนึ่งโทรไปสอบถามเรื่องผลิตภัณฑ์กับฝ่ายบริการลูกค้า และได้รับข้อมูลว่ามีโปรโมชั่นลดราคา แต่เมื่อเดินเข้าไปซื้อที่ร้านกลับได้รับข้อมูลที่ขัดแย้งกันว่าไม่มีส่วนลดใดๆ สิ่งนี้จะสร้างความไม่พอใจให้กับลูกค้า และอาจทำให้พวกเขาเลือกที่จะไม่กลับมาใช้บริการอีก

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

  • ลูกค้าไม่สามารถคาดเดาประสบการณ์ที่ได้รับจากแบรนด์ได้
  • ความเชื่อมั่นในตัวแบรนด์ลดลงเพราะการบริการไม่มีมาตรฐาน
  • แบรนด์อาจสูญเสียลูกค้าประจำ และได้รับรีวิวเชิงลบจากประสบการณ์ที่ไม่ดี

4. ดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีคุณภาพได้ยาก (Difficulty Attracting and Retaining Talent)

องค์กรที่ไม่สามารถสื่อสารคุณค่าของแบรนด์ไปยังพนักงานภายในได้ มักจะประสบปัญหาในการดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถ เพราะพนักงานที่มีคุณภาพมักมองหาสถานที่ทำงานที่มีเป้าหมายชัดเจน และสอดคล้องกับค่านิยมของพวกเขา ตัวอย่างเช่น บริษัทที่อ้างว่าให้ความสำคัญกับ “การพัฒนาศักยภาพพนักงาน” แต่กลับไม่มีโครงการฝึกอบรม หรือไม่มีโอกาสให้พนักงานเติบโตในสายงาน อาจทำให้บุคลากรที่มีความสามารถเลือกไปทำงานกับองค์กร ที่มีความชัดเจนด้านวัฒนธรรมและการพัฒนาอาชีพมากกว่า

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

  • การสรรหาพนักงานใหม่ทำได้ยากขึ้น เพราะองค์กรไม่มีจุดขายที่ชัดเจน
  • พนักงานที่มีความสามารถสูงอาจลาออกไปทำงานที่อื่น
  • ค่าใช้จ่ายในการจ้างและฝึกอบรมพนักงานใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
A-Woman-Feel-Stress-with0her-work

What's next?

ตัวอย่างความผิดพลาดจากการละเลยการทำ Internal Branding อย่างต่อเนื่อง

วิกฤตทางวัฒนธรรมของ Uber

ในช่วงกลางทศวรรษ 2010 Uber เผชิญกับเรื่องอื้อฉาวหลายครั้ง รวมถึงข้อกล่าวหาเรื่องวัฒนธรรมในที่ทำงาน จนกลายเป็นวัฒนธรรมการทำงานที่เป็นพิษ (Toxic Workplace Culture) แม้จะมีการสร้างแบรนด์ภายนอกที่แข็งแกร่งในฐานะ Innovative Disruptor ก็ตาม แต่บริษัทก็ล้มเหลวในการปรับแนวทางปฏิบัติภายใน ให้สอดคล้องกับคำมั่นสัญญาที่ออกสู่ภายนอก ความไม่สอดคล้องกันนี้นำไปสู่ความเสียหายต่อชื่อเสียง ลูกค้าไม่ไว้วางใจ สู่การเปลี่ยนแปลงความเป็นผู้นำในตลาด

Uber-Logo-in-front-of-office

Source: https://www.theculturefix.works/blog/super-pumped-the-history-of-uber-s-company-culture

Wells Fargo กับเรื่องอื้อฉาวในวงการธนาคาร

ในปี 2016 พนักงานของ Wells Fargo ซึ่งเป็นธุรกิจธนาคารการเงินได้เปิดบัญชีปลอมหลายล้านบัญชี เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการขายเชิงรุก ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่ขัดแย้งโดยตรงกับคำมั่นสัญญาของธนาคารที่ให้ลูกค้ามาเป็นอันดับแรก ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดความสอดคล้องภายในกับค่านิยมที่ระบุไว้ของแบรนด์ ประกอบกับความกดดันที่ต้องจัดลำดับความสำคัญ ของผลประโยชน์ในระยะสั้น มากกว่าพฤติกรรมที่มีจริยธรรม

Wells-Fargo

Source: https://www.fox5atlanta.com/news/wells-fargo-to-pay-3b-to-resolve-probes-into-fake-accounts

What's next?

วิธีสร้าง Internal Branding ให้แข็งแกร่ง

อย่างที่ผมอธิบายไว้ข้างต้นครับว่าการสร้างแบรนด์ภายใน (Internal Branding) ไม่ใช่แค่เรื่องของการทำให้พนักงานรู้จักชื่อหรือโลโก้ของบริษัท แต่เป็นกระบวนการที่ทำให้พนักงานเข้าใจและซึมซับคุณค่า (Core Values) วิสัยทัศน์ (Vision) และพันธกิจ (Mission) จนสามารถนำไปใช้จริงในทุกแง่มุมของการทำงาน หากองค์กรสามารถสร้าง Internal Branding ได้ดี พนักงานจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์และมีความเข้าใจในตัวธุรกิจอย่างแท้จริง จนเกิดความภาคภูมิใจและพร้อมส่งต่อประสบการณ์ที่ดีไปยังลูกค้า แต่ในทางกลับกันหากละเลยการทำ Internal Branding ก็อาจนำไปสู่การสื่อสารที่ไม่สอดคล้องกัน ทำให้ขาดแรงจูงใจและสูญเสียความสามารถในการแข่งขันได้ เรามาดูแนวทางในการสร้างแบรนด์ภายในให้แข็งแกร่งกันครับ

1. กำหนดค่านิยมหลักของแบรนด์ให้ชัดเจน (Define Your Brand’s Core Values)

ค่านิยมหลักของแบรนด์ (Core Values) เป็นเสมือน “เข็มทิศ” ที่กำหนดทิศทางในการดำเนินธุรกิจและการปฏิบัติงานของพนักงาน หากค่านิยมเหล่านี้ไม่มีความหมายที่ชัดเจน หรือไม่ได้ถูกนำมาใช้จริง อาจทำให้พนักงานไม่เข้าใจว่าแบรนด์ของตนยืนหยัดไปเพื่ออะไร

แนวทางปฏิบัติ

  • กำหนดค่านิยมที่มีความหมายและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง
  • จัดประชุมเชิงปฏิบัติการหรือทำแบบสำรวจ เพื่อให้พนักงานมีส่วนร่วมในการกำหนดค่านิยมขององค์กร
  • สร้างแผนงานที่แสดงให้เห็นว่าแต่ละค่านิยมจะถูกนำไปใช้ในชีวิตการทำงานอย่างไร

ตัวอย่างเช่น Patagonia ซึ่งให้ความสำคัญกับ “ความยั่งยืน” ที่ไม่ใช่แค่คำพูดสวยๆ แต่สะท้อนในทุกด้านของการทำธุรกิจ ตั้งแต่กระบวนการผลิต การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แคมเปญรณรงค์ให้คนซ่อมเสื้อผ้าแทนการซื้อใหม่ ไปจนถึงการสนับสนุนให้พนักงานเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสังคม

Patagonia-Sustainability

Source: https://www.patagonia.com/environmental-responsibility-materials/

2. สื่อสารแบรนด์ให้ชัดเจนและต่อเนื่อง (Clearly Communicate)

การสื่อสารเป็นหัวใจสำคัญของ Internal Branding พนักงานต้องได้รับข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์อย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่แค่ในวันปฐมนิเทศ (Orientation) ในการต้อนรับพนักงานใหม่เพียงเท่านั้น แต่ต้องเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตลอดการทำงาน

แนวทางปฏิบัติ

  • จัดการประชุมประจำเดือนหรือไตรมาสเพื่ออัปเดตเกี่ยวกับแบรนด์
  • ใช้ช่องทางภายในองค์กร เช่น อินทราเน็ต อีเมล์ หรือวิดีโอ เพื่อสื่อสารเกี่ยวกับแบรนด์
  • ใช้การถ่ายทอดแบบ Storytelling เพื่อเชื่อมโยงแบรนด์กับพนักงาน ผ่านเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจในแบบต่างๆ

ตัวอย่างเช่น Google ที่มักจะเล่าเรื่องราวของพนักงานที่ใช้เทคโนโลยีของ Google เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกบนโลก ซึ่งช่วยให้พนักงานรู้สึกว่าพวกเขามีส่วนร่วมในการสร้างความเปลี่ยนแปลงทุกครั้ง

3. ผู้นำต้องเป็นแบบอย่างที่ดี (Lead by Example)

วัฒนธรรมองค์กรจะไม่สามารถแข็งแกร่งได้ หากผู้นำไม่ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี การกระทำของผู้บริหารต้องสะท้อนถึงค่านิยมของแบรนด์ (Core Values) และสอดคล้องกับสิ่งที่บริษัทพยายามจะถ่ายทอดให้กับพนักงาน

แนวทางปฏิบัติ

  • ผู้นำควรใช้ค่านิยมของแบรนด์เป็นแนวทางในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ
  • สื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์กับพนักงานเพื่อสร้างความไว้วางใจ
  • ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมองค์กรไม่ใช่แค่ผลกำไร

ตัวอย่างเช่น Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft ที่เปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรจากการแข่งขันภายใน มาเป็นการทำงานร่วมกันโดยเน้นเรื่อง “การเติบโตและการเรียนรู้” สิ่งนี้ช่วยให้พนักงานทุกระดับรู้สึกว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร

Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft

Source: https://www.channelnewsasia.com/business/microsoft-ceo-satya-nadella-tech-jobs-industry-3079681

4. ยกย่องและให้รางวัลแก่พนักงานที่ทำงานได้สอดคล้องกับแบรนด์ (Recognize and Reward Alignment)

พนักงานที่สะท้อนค่านิยมของแบรนด์อย่างชัดเจน ควรได้รับการยอมรับและให้รางวัล ไม่ว่าจะเป็นคำชม การให้โบนัส หรือการโปรโมท เพื่อกระตุ้นให้พนักงานคนอื่นๆปฏิบัติตาม

แนวทางปฏิบัติ

  • จัดโปรแกรม “พนักงานตัวอย่าง” ที่แสดงให้เห็นถึงค่านิยมของแบรนด์
  • ใช้ระบบรางวัล เช่น โบนัส หรือสิทธิพิเศษสำหรับพนักงานที่ทำงานตามแนวทางของแบรนด์
  • เผยแพร่เรื่องราวของพนักงานที่เป็นแบบอย่าง ผ่านช่องทางการสื่อสารภายในองค์กร

ตัวอย่างเช่น Zappos ที่ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมองค์กร พวกเขามีโปรแกรมให้รางวัลแก่พนักงานที่แสดงถึง “การบริการที่เหนือความคาดหมาย” ซึ่งช่วยสร้างวัฒนธรรมที่แข็งแกร่ง

zappos-philosophy-of-delivering-happiness

Source: https://chatra.com/books/customer-service-excellence-examples/02-zappos-and-the-path-to-customer-happiness/

5. จัดการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง (Ongoing Training and Development)

Internal Branding ไม่ใช่โครงการที่ทำเพียงครั้งเดียวแล้วจบไป แต่ต้องเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตลอดเวลาผ่านการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะ

แนวทางปฏิบัติ

  • จัดอบรมเกี่ยวกับแบรนด์และวัฒนธรรมองค์กรเป็นระยะ
  • ใช้วิธีการที่หลากหลาย เช่น Workshop, Role-Playing หรือ Simulation เพื่อให้พนักงานเข้าใจค่านิยมของแบรนด์
  • สร้างโปรแกรมการเรียนรู้ออนไลน์หรือคลังความรู้ภายในองค์กร

ตัวอย่างเช่น Disney ที่มี Disney University เพื่อฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กร และการให้บริการตามมาตรฐานของแบรนด์

DisneyCollegeProgram

Source: https://jobs.disneycareers.com/job/orlando/disney-college-program/391/76310468736


จำนวนการโฆษณาหรือการตลาดสู่ภายนอก ไม่สามารถชดเชยการละเลยต่อการสร้างแบรนด์ภายในได้ แบรนด์ที่แข็งแกร่งนั้นถูกสร้างขึ้นจากภายในโดยพนักงานที่เข้าใจ เชื่อมั่น และนำเอาคุณค่าของแบรนด์มาใช้ เมื่อละเลยการสร้างแบรนด์ภายใน ก็นำไปสู่การส่งข้อความและการสื่อสารที่ไม่สอดคล้องกัน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความไม่พอใจของลูกค้า และอาจลามไปถึงชื่อเสียงที่มัวหมองได้ แบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับการจัดระเบียบภายใน จะสร้างรากฐานอันทรงพลังสำหรับความสำเร็จ และสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความไว้วางใจระหว่างลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดนั่นเอง


Share to friends


Related Posts

ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการทำ Internal Branding

ธุรกิจสมัยใหม่จะเติบโตได้อย่างยั่งยืนนั้นก็ต้องไม่ลืมเรื่องของการสร้างแบรนด์ (Branding) ซึ่งมันจะช่วยให้ธุรกิจของคุณนั้นเกิดความแตกต่างในจิตใจของผู้บริโภคและมีความโดดเด่นในตลาดที่ไม่เหมือนใคร และโดยส่วนใหญ่ธุรกิจต่างๆมักจะมุ่งเน้นไปในเรื่องของการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งและเป็นที่รู้จักกับผู้คนภายนอก (External Branding) แต่น้อยธุรกิจที่จะให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์จากภายใน


ประโยชน์ของการสื่อสารภายในองค์กร (Internal Communication)

หากจะทำการสื่อสารเพื่อส่งมอบคุณค่าดีๆและเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพกับลูกค้าหรือคู่ค้าทางธุรกิจ คุณต้องไม่ลืมเรื่องของการสื่อสารภายในองค์กร (Internal Communication) ด้วยเช่นกัน เพราะมันเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังและรากฐานแห่งความสำเร็จที่หลายๆองค์กรนั้นมองข้ามไป


ความแตกต่างระหว่าง Brand Purpose, Vision และ Mission

ความสามารถของแบรนด์ในการสร้างความแตกต่างที่โดดเด่นไม่เหมือนใครจากคู่แข่งในตลาด และกระตุ้นให้พนักงานในองค์กรมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนธุรกิจในยุคปัจจุบันนั้นมีความซับซ้อนและยากกว่าเดิมที่ผ่านมา ซึ่งการขับเคลื่อนแบรนด์หรือธุรกิจในยุคนี้นั้นมันมากกว่าคำว่าการทำกำไร แต่มันคือการที่ต้องตอบลูกค้าให้ได้ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร เราเป็นใคร การมีอยู่ของเรามันช่วยให้สังคมและสิ่งแวดล้อมน่าอยู่ขึ้นอย่างไร



copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์