AI_Generated_Image_of_CEO_Interviewing_with_Press

เราอยู่ในยุคแห่งการเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์และโซเชียลมีเดีย ที่การสื่อสารไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวอีกต่อไป แบรนด์และธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ คือ ความสามารถในการสื่อสารอย่างสม่ำเสมอ (Consistently) สอดคล้อง (Coherently) และมีกลยุทธ์ (Strategically) ผ่านทุกๆจุดสัมผัส (Touchpoints) ช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงสื่อที่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่าย (Paid Media) และสื่อที่เราได้รับมาโดยธรรมชาติ (Earned Media) ที่ต้องให้ความสำคัญทั้งภายในและภายนอกองค์กร

และนี่คือจุดที่แผนการสื่อสารแบบ 360 องศา (360-Degree Communication Plan) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ ซึ่งเป็นแนวทางแบบองค์รวม ที่มีการบูรณาการ และทำในเชิงกลยุทธ์ ที่จะช่วยให้มั่นใจว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) Link ทุกคน จะได้รับข้อความหรือสารที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะผ่านช่องทางหรือแพลตฟอร์มใดก็ตาม ผมจะพาผู้อ่านมาเจาะลึกถึงวิธีการสร้างแผนการสื่อสารแบบ 360 องศา ที่สอดคล้องโดยตรงกับเป้าหมายทางธุรกิจ เพื่อให้ลองไปพัฒนาและปรับใช้กับองค์กรของตัวเองกันครับ

ความหมายของแผนการสื่อสารแบบ 360 องศา

แผนการสื่อสารแบบ 360 องศา (360-Degree Communication Plan) คือ กลยุทธ์ที่ครอบคลุมแบบรอบด้าน ซึ่งปรับสารหรือข้อความ (Message) ให้สอดคล้องกันผ่านทุกแพลตฟอร์ม รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกๆกลุ่ม (Stakeholders) Link ที่ครอบคลุมทั้ง ลูกค้า พนักงาน พันธมิตร นักลงทุน สื่อมวลชน และสาธารณชน โดยใช้ส่วนผสมแบบบูรณาการของสื่อที่แบรนด์เป็นเจ้าของ (Owned Media) สื่อที่เกิดจากการพูดถึงโดยธรรมชาติ (Earned Media) สื่อที่เกิดจากการแบ่งปัน (Shared Media) รวมไปถึงสื่อที่ต้องเสียค่าใช้จ่าย (Paid Media) เพื่อสร้างความสม่ำเสมอและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และหากการสื่อสารไม่ได้เชื่อมโยงกับเป้าหมายทางธุรกิจ ก็จะกลายเป็นอุปสรรคในการทำธุรกิจในหลายๆมิติ โดยประโยชน์ของการมีแผนการสื่อสารแบบ 360 องศา (360-Degree Communication Plan) ก็มีหลักๆ ดังนี้

  • สนับสนุนวิสัยทัศน์และพันธกิจ (Vision & Mission) ของธุรกิจ
  • ขับเคลื่อนวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ (Strategic Objectives) เช่น การขยายตลาด การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ การบริหารจัดการชื่อเสียง
  • เพิ่มประสิทธิภาพการประสานงาน และการดำเนินการภายในองค์กร (Internal Alignment and Execution)
  • วัดผลกระทบที่แท้จริงกับตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงานหลัก (KPIs) ที่เชื่อมโยงกับผลลัพธ์ทางธุรกิจ
  • เตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤตหรือการเปลี่ยนแปลงเชิงรุก (Proactive Crisis / Change Preparation)

องค์ประกอบหลักของแผนการสื่อสารแบบ 360 องศา

1. รากฐานเป้าหมายทางธุรกิจ (Business Goal Foundation)

เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจให้ชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมายขององค์กร (Corporate Goals) เช่น

แปลงเป้าหมายเหล่านั้นให้เป็นวัตถุประสงค์ด้านการสื่อสาร (Communication Objectives) เช่น

  • เพิ่มการรับรู้ (Awareness) ขึ้น 40% ในตลาดใหม่
  • เปลี่ยนการรับรู้ต่อแบรนด์ (Brand Perception) จาก “ราคาเข้าถึงได้” (Affordable Price) เป็น “ราคาแบบพรีเมียม” (Premium Price)
  • เพิ่มความผูกพันของพนักงานภายในองค์กร (Internal Employee Engagement) ขึ้น 25%

หลักการตั้งเป้าหมายก็ต้องตั้งเป้าหมายแบบ SMART Goal Link คือ ต้องมีความเฉพาะเจาะจง (Specific) วัดผลได้ (Measurable) บรรลุผลได้ (Achievable) มีความเกี่ยวข้อง (Relevant) และมีกรอบเวลาชัดเจน (Time-bound)

AI_Generated_Image_of_Manager_Presenting_Business_Growth_to_Employees

2. จัดกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและกลุ่มเป้าหมาย (Stakeholder & Audience Mapping)

ระบุคนทุกกลุ่มที่คุณต้องสื่อสารด้วย และสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญ เพื่อนำมาปรับสารของคุณให้เข้ากับมุมมองที่ว่า “ฉันจะได้อะไรจากสิ่งนี้” (What’s in it for me?) ของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย เช่น

Stakeholdersสิ่งที่ต้องการและประเด็นที่สนใจช่องทางการสื่อสารหลัก
ลูกค้า (Customers)คุณค่าในตัวผลิตภัณฑ์​ และความน่าเชื่อถือของแบรนด์Social Media, Email, Website
พนักงาน (Employees)วิสัยทัศน์ บทบาทที่ชัดเจน แรงจูงใจระบบ Intranet, Townhall, Email
พันธมิตรและคู่ค้า
(Partners / Distributors)
เครื่องมือสนับสนุนการขาย การอัปเดตข่าวสาร การสร้างการจดจำให้กับธุรกิจระบบเว็บไซต์, งาน Event ต่างๆ, Email และ Application
นักลงทุน (Investors)ศักยภาพของธุรกิจ ความโปร่งใส่ในการบริหารงานรายงานผู้ถือหุ้น, การทำ PR,
การประชุมผู้ถือหุ้น
สื่อและผู้มีอิทธิพล
(Media / Influencers)
เรื่องราวของแบรนด์ ข่าวสารกิจกรรมต่างๆPress Release, Press Conference,
Media Briefing, Social Media, Email
สาธารณชนทั่วไป
(General Public)
ชื่อเสียงที่ดี กิจกรรมเพื่อสังคม ความโปร่งใสการทำ PR, Social media, การจัด Event

3. สร้างแกนหลักของสาร / ข้อความ (Crafting the Core Message)

พัฒนา “สาร / ข้อความ” เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่สื่อสารออกไปนั้นจะมีความสอดคล้องกัน โดยประกอบไปด้วยเสา 3 ส่วน คือ

3.1 Main Brand Message (หลังคาบ้าน)

การแสดงคำมั่นสัญญาของแบรนด์ในประโยคเดียว เช่น “บูรณาการเทคโนโลยีอย่างราบรื่น เพื่อทำให้ชีวิตประจำวันของคุณง่ายขึ้นและดียิ่งขึ้น”

3.2 Pillars (เสาหลักที่เป็นส่วนสนับสนุนหลังคาบ้าน)

จุดพิสูจน์หลัก เช่น ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี บริการที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ผลกระทบระดับโลก

  • ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี
    • มุ่งเน้นการบูรณาการ AI และ IoT ที่ล้ำสมัย
    • เน้นนวัตกรรมและการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต
  • การออกแบบที่เน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง
    • อินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและประสบการณ์ส่วนบุคคล
    • ให้ความสำคัญกับความง่ายในการใช้งานและการเข้าถึง
  • ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่ได้รับการปรับปรุง
    • การปกป้องข้อมูลที่แข็งแกร่งและการเชื่อมต่อที่ปลอดภัย
    • สร้างความไว้วางใจผ่านความโปร่งใสและการควบคุม

3.3 Foundation (ฐานรากหรือข้อความสนับสนุน)

การนำข้อมูล คำพูด กรณีศึกษา เรื่องราว คำรับรอง มาใช้สนับสนุนความน่าเชื่อถือในส่วนที่เป็น “เสาหลัก”

  • ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี
    • ข้อมูล เช่น “การประมวลผลโดย AI ของเราช่วยลดการใช้พลังงานได้มากถึง 20%”
    • คำพูดจากนักวิเคราะห์ด้านเทคโนโลยี เช่น “TechLife Solutions เป็นผู้นำนวัตกรรมบ้านอัจฉริยะ”
    • ตัวอย่างเช่น “ระบบไฟอัจฉริยะของเราปรับให้เข้ากับความชอบของผู้ใช้ ช่วยประหยัดเวลาและพลังงาน”
  • การออกแบบที่เน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง
    • คำรับรองจากลูกค้า เช่น “แอปฯใช้งานง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ แม้แต่คนที่ไม่ถนัดเทคโนโลยีก็ทำได้”
    • เรื่องราว เช่น “เราออกแบบระบบควบคุมด้วยเสียง จากสังเกตว่าครอบครัวมีปฏิสัมพันธ์กับบ้านของพวกเขาอย่างไร”
    • ข้อมูลสถิติ เช่น “ผู้ใช้ 95% รายงานว่าการจัดการบ้านง่ายขึ้น”
  • ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่ได้รับการปรับปรุง
    • ข้อมูล เช่น “มี Protocol การเข้ารหัสแบบ end-to-end ที่ได้มาตรฐานอุตสาหกรรม”
    • เรื่องราว เช่น “เราทำงานร่วมกับทีมวิศวกรที่มีจริยธรรม เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์”
    • คำพูดจากลูกค้า เช่น “TechLife Solutions ให้ความสำคัญกับการปกป้องข้อมูลผู้ใช้เหนือสิ่งอื่นใด”
Photo_of_A_Man_Writing_Paper

4. กลยุทธ์การเลือกช่องทางการสื่อสาร (Communication Channel Strategy)

นำแบบจำลอง PESO Model มาใช้วิเคราะห์ เพื่อจัดโครงสร้างการสื่อสารผ่านช่องต่างๆ ได้แก่

  • สื่อที่คุณเป็นเจ้าของ (Owned Media)
    ช่องทางที่คุณควบคุมเนื้อหาและวิธีการนำเสนอได้ทั้งหมด เช่น
    • เว็บไซต์
    • บล็อก
    • จดหมายข่าวทางอีเมล์
    • ช่องทาง Social Media ของธุรกิจ
  • สื่อที่เกิดจากการพูดถึงโดยธรรมชาติ (Earned Media)
    การประชาสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจากความสนใจของผู้อื่นต่อแบรนด์ของคุณ หรือการที่คนอื่นๆนำไปพูดต่อในสิ่งต่างๆ เช่น
    • การรายงานข่าวของสื่อมวลชน
    • การรีวิว (Review) ของลูกค้า
    • การบอกต่อแบบปากต่อปาก (Word-of-Mouth)
    • การพูดถึงจากบรรดา Influencer (ที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ)
  • สื่อที่ถูกแบ่งปัน (Shared Media)
    การสนทนาและการมีส่วนร่วมกับผู้ชมบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น
    • การแชร์ต่อข้อความหรือแสดงความคิดเห็นบน Facebook, LinkedIn, Instagram, YouTube, Threads หรือ TikTok
    • การแชร์ต่อข้อความหรือแสดงความคิดเห็นใน Group หรือ Community
  • สื่อที่ต้องจ่ายเงิน (Paid Media)
    ช่องทางที่คุณต้องจ่ายเงินเพื่อเข้าถึงผู้ชม เช่น
    • โฆษณาบน Google, Facebook, TikTok
    • เนื้อหาที่ได้รับการสนับสนุนในรูปแบบ Sponsor
    • การจ้าง Influencer ในการโปรโมทธุรกิจ
Realistic_logo_of_FB_IG_TikTok_YouTube_on_the_wall

5. การวางแผนคอนเทนต์ (Content Plan)

ขั้นของการวางแผนการทำคอนเทนต์ว่าจะนำคอนเทนต์แบบใด สื่อสารผ่านช่องทางใด ในเวลาใดที่เหมาะสมที่สุด โดยจำเป็นต้องทำเป็นปฏิทินการวางแผนคอนเทนต์ (Content Calendar) ทั้งแบบรายเดือน รายไตรมาส หรืออาจเป็นรายปี เราลองมาดูตัวอย่างการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของธุรกิจ TechLife Solutions กันครับ

เป้าหมาย (Goal)ช่องทาง (Channel)รูปแบบคอนเทนต์ (Content Format)เวลาในการเผยแพร่ (Time)
เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Owned + PaidTeaser Video, Blog Post, Landing Page, Display Adsก่อนเปิดตัว 2 สัปดาห์
สร้างความเชื่อมั่นในตัวแบรนด์Earned + SharedTestimonial Video, PR Article, Influencerช่วงก่อนและระหว่างเปิดตัวในสัปดาห์แรก
ให้ความรู้กับลูกค้าOwned + SharedHow-to Video, Infographic, Carousel1-2 สัปดาห์หลังเปิดตัว
จูงใจพนักงานOwned (Internal)CEO Vision, Newslettersช่วง 1-2 สัปดาห์ ระหว่างการเปิดตัว

ตัวอย่าง Content Plan สำหรับธุรกิจ TechLife Solutions

1. สื่อที่คุณเป็นเจ้าของ (Owned Media)

  • เว็บไซต์ (Website)
    • ข้อความ – การใช้ข้อความหลักที่เน้นคุณค่าของแบรนด์ และการสนับสนุนลูกค้า เช่น “บูรณาการเทคโนโลยีอย่างราบรื่น เพื่อทำให้ชีวิตประจำวันของคุณง่ายและดียิ่งขึ้น”
    • รูปแบบ – ปรากฎบนหน้าผลิตภัณฑ์ บทความ คำถามที่พบบ่อย แบบฟอร์มติดต่อ กรณีศึกษา การสาธิตวิดีโอ
  • บทความ (Blogs)
    • ข้อความ – ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี การออกแบบที่เน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง เคล็ดลับด้านความปลอดภัย
    • รูปแบบ – บทความเกี่ยวกับแนวโน้มบ้านอัจฉริยะ คู่มือการใช้งาน เรื่องราวความสำเร็จของลูกค้า การอัปเดตผลิตภัณฑ์ เบื้องหลังของผลิตภัณฑ์
  • จดหมายข่าวทางอีเมล์ (E-Newsletter)
    • ข้อความ – ข้อเสนอสุดพิเศษ เคล็ดลับที่เป็นประโยชน์ ข่าวสารชุมชน
    • รูปแบบ – การแนะนำผลิตภัณฑ์ การส่งเสริมการขาย เนื้อหาให้ความรู้ด้านต่างๆ
  • Social Media (Facebook, Instagram, YouTube, Line Official)
    • ข้อความ – การแสดงผลิตภัณฑ์ เคล็ดลับการใช้งาน การมีส่วนร่วมกับลูกค้า ข่าวสารกิจกรรมต่างๆของแบรนด์
    • รูปแบบ – รูปภาพและวิดีโอแสดงผลิตภัณฑ์ เนื้อหาให้ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะ การไลฟ์สดถาม-ตอบปัญหาต่างๆ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด การตอบคำถามลูกค้าผ่านช่องทาง Social Media ต่างๆ

2. สื่อที่เกิดจากการพูดถึงโดยธรรมชาติ (Earned Media)

  • การรายงานข่าวของสื่อมวลชน (Press)
    • ข้อความ – ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี คุณสมบัติที่เป็นนวัตกรรม ผลกระทบเชิงบวก
    • รูปแบบ – ข่าวประชาสัมพันธ์ บทสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการทำ Scoop พิเศษ
  • รีวิวจากลูกค้า (Customer Reviews)
    • ข้อความ – การออกแบบที่ดี คุณภาพของผลิตภัณฑ์ ความพึงพอใจของลูกค้า
    • รูปแบบ – ตัวอย่างรีวิวผลิตภัณฑ์ คำรับรองของลูกค้า การทำ Before & After
  • การบอกต่อแบบปากต่อปาก (Word-of-Mouth)
    • ข้อความ – ประสบการณ์การใช้งานเชิงบวก การแก้ปัญหา การสนับสนุนชุมชน
    • รูปแบบ – การพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนและครอบครัว
  • การพูดถึงโดย Influencer (ที่ไม่ได้รับค่าตอบแทน)
    • ข้อความ – แนะนำคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ อธิบายความมีประโยชน์ของผลิตภัณฑ์
    • รูปแบบ – การรีวิว การทดลองใช้ การเปรียบ Before & After

3. สื่อที่ถูกแบ่งปัน (Shared Media)

  • Facebook, LinkedIn, Instagram
    • ข้อความ – คุณสมบัติและประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ ความรู้ด้านนวัตกรรม
    • รูปแบบ – รูปภาพ วิดีโอ เรื่องราว บล็อก
  • ความคิดเห็นบน YouTube, Threads, TikTok
    • ข้อความ – การสาธิตการใช้ผลิตภัณฑ์อย่างรวดเร็ว นำเสนอคุณสมบัติผลิตภัณฑ์
    • รูปแบบ – วิดีโอสั้น รูปภาพ Infographics

4. สื่อที่ต้องจ่ายเงิน (Paid Media)

  • โฆษณาบน Google และ Facebook
    • ข้อความ – คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ โปรโมชั่น สร้างการรับรู้ในตัวแบรนด์
    • รูปแบบ – Keywords Search, Display Banner, Shopping Ads, Remarketing
  • Sponsor Ads
    • ข้อความ – ประโยชน์ของผลิตภัณฑ์
    • รูปแบบ – บทความ Social Media Post, Influencer Marketing
  • การโฆษณาบน Social Media
    • ข้อความ – การสาธิตผลิตภัณฑ์ โปรโมชั่นส่งเสริมการขาย
    • รูปแบบ – Messenger Inbox Ads, Carousel Ads, Video Ads, Lead Generation
  • Influencer Marketing
    • ข้อความ – การรีวิวผลิตภัณฑ์ การโชว์ไลฟ์สไตล์
    • รูปแบบ – โพสต์และวิดีโอ
AI_Generated_Image_of_Laptop_with_Content_Planner_on_Screen

6. แผนการสื่อสารภายใน (Internal Communication Plan)

พนักงาน คือ ผู้สนับสนุนแบรนด์ที่ทรงพลังที่สุดของคุณ (Powerful Brand Advocates) ที่จำเป็นต้องอธิบายถึงรายละเอียด ดังนี้

  • วัตถุประสงค์ (Objective) ต้องชัดเจน สร้างแรงจูงใจ สร้างให้เกิดการมีส่วนร่วม
  • กลวิธี (Tactics)
    • ข่าวอัปเดตจากผู้นำองค์กร และการแบ่งปันวิสัยทัศน์
    • การประชุมรวมของทีมงาน และจัดประชุมรับฟังความคิดเห็น
    • โปรแกรมการเรียนรู้แบบเกม (Gamification) Link หรือ Ambassador Program Link
    • แคมเปญที่สร้างโดยพนักงาน ที่แสดงให้เห็นถึงความสุขในการทำงาน

7. การวัดผล (Measurement & KPIs)

เพื่อให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพก็จำเป็นต้องระบุตัวชี้วัดและวิธีการวัดผลที่เหมาะสม เช่น

วัตถุประสงค์การสื่อสาร
(Communication Objective)
ตัวอย่างตัวชี้วัด
(KPIs Example)
ผลกระทบต่อธุรกิจ
(Business Impact)
เพิ่มการรับรู้ให้กับแบรนด์Web Traffic รวมถึงการพูดถึงในสื่อต่างๆการระลึกถึงแบรนด์ (Recall) และข่าวสารที่เกิดขึ้น (Media Coverage)
เพิ่มการมีส่วนร่วมClick Rate จำนวนการคอมเม้นท์ และการแชร์สร้าง Conversion และ Brand Loyalty
เพิ่มความสอดคล้องภายในองค์กรคะแนนการสำรวจพนักงาน อัตราการร่วมกิจกรรมต่างๆการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และรักษาอัตราการคงอยู่ของพนักงาน
สร้างความมั่นใจในตัวแบรนด์Sentiment Analysis รวมถึง Net Promoter Score (NPS)ความน่าเชื่อถือในตัวแบรนด์ รวมถึงการสนับสนุนธุรกิจ

8. สร้างความร่วมมือระหว่างแผนก (Department Collaboration)

การสื่อสารแบบ 360 องศาต้องอาศัยความร่วมมือกันในหลายแผนก เพื่อให้เกิดความสอดคล้องและความเข้าใจในทิศทางเดียวกัน ด้วยการจัดประชุมข้ามสายงานเพื่อประสานงานและทำงานร่วมกัน และใช้ Dashboard ประมวลผลร่วมกันเพื่อรวมทุกอย่างให้เป็นหนึ่งเดียว เช่น

  1. ฝ่ายการตลาด (Marketing)
    รับผิดชอบในการกำหนดข้อความของแบรนด์ (Brand Message) โทนเสียง (Tone of Voice) และเรื่องราว (Story) เชิงกลยุทธ์ในทุกๆช่องทาง ฝ่ายการตลาดมีหน้าที่สร้างแคมเปญ การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ ทำข้อเสนอคุณค่า และขับเคลื่อนการรับรู้ในตัวแบรนด์ โดยพวกเขาต้องทำให้แน่ใจว่าข้อความที่จะสื่อสารทั้งหมด มีความสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ และจัดเตรียมแนวทางการสื่อสารให้แผนกอื่นๆนำไปปรับใช้
  2. ฝ่ายขาย (Sales)
    ต้องการข้อความที่ชัดเจนและเน้นประโยชน์ ที่สอดคล้องกับแคมเปญในปัจจุบัน โดยทีมขายจำเป็นต้องใช้เอกสารสรุปข้อมูลการแข่งขันและคู่แข่ง เอกสารด้านการขาย Template เอกสารต่างๆ ความสอดคล้องกันจะช่วยให้มั่นใจได้ว่า พวกเขาสามารถเสริมเรื่องราวที่ฝ่ายการตลาดเริ่มต้น และปิดการขายกับลูกค้าได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
  3. ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (Human Resources)
    ทีมที่ช่วยสร้างประสบการณ์ภายในองค์กรและสื่อสารออกสู่ภายนอก ไปยังผู้ที่มีศักยภาพที่อยากเข้ามาร่วมงานด้วย พวกเขาต้องทำให้โฆษณาในการสรรหาบุคลากร การปฐมนิเทศพนักงานใหม่ และทำแคมเปญเพื่อสร้างวัฒนธรรมภายในองค์กรให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ (Vision) พันธกิจ (Mission) คุณค่า (Core Values) ของบริษัท ที่จะเสริมสร้างความน่าเชื่อถือโดยรวม
  4. ฝ่ายบริการลูกค้า (Customer Service)
    ทีมที่เป็นด่านหน้าของการสื่อสารหลังการซื้อสินค้าหรือบริการ พวกเขาต้องการแนวทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับโทนและน้ำเสียงในการสื่อสาร การมีสคริปต์ในการสื่อสารที่ดูทันสมัย ข้อมูลพื้นฐานความรู้ และขั้นตอนในการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน ที่สะท้อนถึงคำมั่นสัญญาของแบรนด์ (Brand Promise) โดยความสอดคล้องกันในที่นี้ จะเปลี่ยนการสนับสนุนให้เป็นประสบการณ์ในการสร้างแบรนด์ที่ดีในอนาคต
  5. ฝ่ายปฏิบัติการ (Operations)
    ทีมที่สื่อสารโดยตรงหรือโดยอ้อมผ่านการส่งมอบบริการ โดยความสอดคล้องและความชัดเจนของการสื่อสารนั้นจะทำให้ไม่เกิดความสับสน ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย การปรับเปลี่ยนขั้นตอนต่างๆที่อาจทำให้เกิดความล่าช้า ปัญหาทางเทคนิคที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้จะได้รับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้อย่างรวดเร็ว
AI_Generated_Image_of_Business_Team_Doing_Workshop_Together

9. แผนการสื่อสารในภาวะวิกฤต (Crisis Communication Plan)

การสื่อสารแบบ 360 องศาจะไม่สมบูรณ์หากขาดเรื่องสำคัญที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นสถานการณ์เกี่ยวกับวิกฤตต่างๆ โดยจำเป็นต้องเตรียมพร้อมสำหรับการสื่อสารในภาวะวิกฤต Link ดังนี้

  • ระบุสถานการณ์ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ (เช่น การเรียกคืนผลิตภัณฑ์ เรื่องอื้อฉาว ภัยพิบัติต่างๆ ฯลฯ)
  • จัดตั้งทีมตอบสนองต่อภาวะวิกฤต
  • มีการเตรียม Statement สำหรับการตอบสนองอย่างรวดเร็ว
  • สร้างแผนการสื่อสารภายใน 1-2 ชั่วโมง (หรือเร็วกกว่านั้น) สำหรับการสื่อสารครั้งแรก และเตรียมแผนสื่อสารอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะคลี่คลายวิกฤตได้
  • กำหนดผู้ที่ทำหน้าที่เป็นโฆษก (Spokesperson) พร้อมกำหนดบทบาทหน้าที่อย่างชัดเจน
  • เน้นความโปร่งใสและความรวดเร็ว

10. ทบทวนและปรับปรุง (Review & Improve)

ที่สุดแล้วแผนการสื่อสารนั้นจะเป็นต้องนำมาทบทวน เพื่อหาจุดบกพร่องและนำมาแก้ไขให้ดีขึ้น ด้วยการ

  • นำทุกการสื่อสารมาทบทวนหลังกิจกรรมหรือเหตุการณ์ต่างๆ
  • รวบรวมความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด
  • ติดตามวัดผลดูว่าการสื่อสารเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานและ KPIs ที่กำหนดไว้
  • ปรับการใช้โทนเสียง ช่องทางการสื่อสาร รวมถึงประเภทเนื้อหาให้เหมาะสม

แผนการสื่อสารแบบ 360 องศา (360-Degree Communication Plan) ไม่ใช่แค่การพูดอะไรบางอย่างออกไป แต่เป็นการทำให้แน่ใจว่าการสื่อสารนั้นถูกได้ยิน รู้สึก เข้าใจ และสอดคล้องกับสิ่งที่ธุรกิจยึดมั่น ที่ควรเป็นแม่เหล็กในการดึงดูดทุกๆคน และเมื่อคุณสามารถเชื่อมโยงทุกช่องทาง กลุ่มเป้าหมาย และการส่งข้อความ กลับไปยังเป้าหมายทางธุรกิจของคุณได้อย่างเหมาะสม คุณจะสามารถเปลี่ยนการสื่อสารให้กลายเป็นพลังในการขับเคลื่อนธุรกิจได้นั่นเอง

Share to friends


Related Posts

รู้จักระดับของการสื่อสาร (Levels of Communication)

การสื่อสาร (Communication) นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของทั้งชีวิตการทำงาน การทำธุรกิจ รวมไปถึงชีวิตส่วนตัวที่มีความสำคัญไม่แพ้กับความรู้ความสามารถด้านอื่นๆ และแน่นอนครับว่าหากยิ่งเป็นการสื่อสารหรือพูดคุยในชีวิตการทำงานหรือการทำธุรกิจต่างๆมันก็ย่อมมีความสลับซับซ้อน


วิธีการทำ Communications Plan ภายในองค์กร

การสื่อสารภายในองค์กร (Internal Communications) ที่ดีจะช่วยสร้างประสิทธิภาพในการบริหารพนักงานภายในองค์กร และยังช่วยส่งเสริมให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างองค์กรกับพนักงาน


ขั้นตอนการทำ Communications Plan

การพัฒนาแผนการสื่อสารจะช่วยให้คุณมุ่งเน้นไปยังคำพูด หรือเนื้อหาที่ต้องการสื่อสารกับกลุ่มผู้ฟังเป้าหมาย โดยการมีวิธีและแผนการสื่อสารที่ถูกต้องจะทำให้การสื่อสารของคุณมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น



copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์