
ในแวดวงการตลาด ณ ปัจจุบัน การใช้ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆไม่ใช่แค่สิ่งจำเป็น แต่ถือเป็นวิธีการอยู่รอดในการขยับขยายธุรกิจ และเมื่อคุณอยู่ในธุรกิจที่ต้องผลิตสินค้าที่ต้องมีเงื่อนไขกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่ไม่ใช่ด้านการผลิตแต่เป็นเรื่องของการจำกัดการโฆษณาสินค้าบางประเภท เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ หรือการพนัน แบรนด์ต่างๆจึงหันมาใช้กลยุทธ์ทางเลือกที่เรียกว่า “โฆษณาแฝง” (Surrogate Advertising) โดยเทคนิคนี้จะช่วยให้แบรนด์ยังคงเป็นที่รู้จัก จดจำได้ และยังสร้างความภักดีต่อแบรนด์ โดยไม่ต้องโปรโมทสินค้าที่ถูกจำกัดโดยตรง
Surrogate Advertising จึงเป็นการรักษาสมดุลระหว่างการปฏิบัติตามกฎหมาย และการใช้ความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งแบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คือ หนึ่งในผู้ที่ใช้กลยุทธ์นี้อย่างแพร่หลายที่สุดทั่วโลก และเราจะมาเรียนรู้กับ “กลยุทธ์โฆษณาแบบ Surrogate Advertising” กันในบทความนี้ครับ

กลยุทธ์แบบ Surrogate Advertising คืออะไร
โฆษณาแฝง (Surrogate Advertising) คือ การโฆษณาสินค้าทดแทน เช่น น้ำดื่ม น้ำอัดลม เพลง เสื้อผ้า หรือแม้แต่งานอีเวนท์ต่างๆ ภายใต้ชื่อแบรนด์และภาพลักษณ์เดียวกัน กับสินค้าที่ถูกจำกัดหรือห้ามการโฆษณา โดยมีเป้าหมายเพื่อให้แบรนด์ยังคงอยู่ในความสนใจของผู้บริโภค และใช้ประโยชน์จากสินค้าที่โฆษณาได้ตามกฎหมาย เช่น น้ำดื่มบรรจุขวด หรือน้ำอัดลม เพื่อสร้างการระลึกถึงแบรนด์ (Brand Recall) และทำให้ผู้บริโภคสามารถเชื่อมโยงสินค้าทดแทน ให้เข้ากับสินค้าที่ถูกจำกัดโดยโดยอัตโนมัติ

กลยุทธ์การโฆษณาแบบ Surrogate Advertising
ถือเป็นการสร้างการจดจำในตัวแบรนด์ ผ่านการเชื่อมโยงทางความคิด

ในบางประเทศ เช่น อินเดีย ไทย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และบางส่วนของแอฟริกา การโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถูกสั่งห้าม หรือจำกัดอย่างเข้มงวดด้วยเหตุผลทางวัฒนธรรม ศาสนา หรือสุขภาพ สิ่งนี้ทำให้เกิดภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก โดยเฉพาะเวลาในการทำแคมเปญทางการตลาด “โดยสินค้านั้นขายได้ตามกฎระเบียบ…แต่แบรนด์พูดถึงหรือโฆษณาสินค้าตัวเองไม่ได้” แต่แทนที่จะเงียบหายไปตามกฎข้อบังคับด้านการโฆษณา แบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จึงได้สร้างสินค้าทดแทนขึ้นมาใหม่ ยกตัวอย่างเช่น
- จาก Kingfisher ไปสู่ Kingfisher Water (น้ำดื่ม) Kingfisher Airlines (สายการบิน) Kingfisher Calendar (ปฏิทิน)
- จาก Pernod Ricard ไปสู่ Royal Stag Mega Music (โครงการดนตรี)
- จาก Bagpiper ไปสู่ Bagpiper Soda (น้ำอัดลม)
- จาก เบียร์สิงห์ (Singha) ไปสู่น้ำดื่มสิงห์และโซดาสิงห์
- จาก เบียร์ช้าง (Chang) ไปสู่โซดาช้าง

Image Source: https://www.watersstore.in/product-tag/kingfisher-mineral-drinking-water
สินค้าทดแทนเหล่านี้อาจไม่มีนัยสำคัญในเชิงธุรกิจมากนัก แต่มันทำหน้าที่หลักได้อย่างสมบูรณ์แบบ นั่นก็คือ “การทำให้แบรนด์ยังคงเป็นที่รับรู้ในจิตสำนึกของผู้คน”

จิตวิทยาเบื้องหลัง Surrogate Advertising
โฆษณาแฝง (Surrogate Advertising) ทำงานโดยอาศัยหลักจิตวิทยาหลายประการ ที่ช่วยให้แบรนด์เข้าไปอยู่ในความทรงจำของผู้บริโภคได้อย่างแนบเนียน แม้จะไม่มีการโฆษณาสินค้าหลักโดยตรงก็ตาม ดังนี้
1. การระลึกผ่านภาพ (Visual Recall)
การใช้สี (Color) ตัวอักษร (Font) และการออกแบบบรรจุภัณฑ์ (Pagkaging Design) แบบเดียวกันกับสินค้าหลัก ก็จะช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคระลึกถึงแบรนด์ได้ทันทีที่เห็นสินค้าทดแทนนั้นๆ ตัวอย่างเช่น เมื่อเห็นสีและโลโก้ที่เป็นเอกลักษณ์บนขวดน้ำดื่ม ผู้บริโภคจะนึกถึงแบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นได้ทันทีโดยไม่รู้ตัว นี่คือการใช้ “ความจำทางสายตา” (Visual Memory) ในการสร้างการรับรู้ในตัวแบรนด์ (Brand Awareness)
2. การระลึกผ่านชื่อ (Name Recall)
การที่แบรนด์ใช้ชื่อเดิมซ้ำๆในสินค้าหลายประเภท เช่น จากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาเป็นน้ำอัดลมหรือน้ำดื่ม จะช่วยสร้างความคุ้นเคยและทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่า ชื่อนี้เป็นที่รู้จักและน่าเชื่อถือ ดังนั้น “การทำซ้ำ” (Repetition) คือ กุญแจสำคัญที่ทำให้ชื่อแบรนด์ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของผู้คนอย่างถาวร
3. การเชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Association)
สินค้าทดแทนมักจะถูกนำไปเชื่อมโยงกับกิจกรรมต่างๆที่ผู้คนใฝ่ฝัน เช่น ดนตรี กีฬา แฟชั่น หรือการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่แบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องการนำเสนอ การทำเช่นนี้ทำให้ผู้บริโภคเชื่อมโยงความรู้สึกดีๆ ที่ได้รับจากกิจกรรมเหล่านั้นให้เข้ากับตัวแบรนด์ และมองว่าการดื่มแบรนด์นี้ คือ ส่วนหนึ่งของการมี “ไลฟ์สไตล์ที่น่าปรารถนา”
4. การชี้นำจิตใต้สำนึก (Subconscious Cueing)
แม้ว่าผู้บริโภคจะไม่เคยซื้อสินค้าทดแทนเลยก็ตาม แต่การได้เห็นโฆษณาหรือสินค้าทดแทนอยู่บ่อยๆ จะส่งผลต่อ “จิตใต้สำนึก” (Subconscious) ที่ทำให้แบรนด์นั้นถูกจดจำไว้โดยไม่รู้ตัว และเมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สมองก็จะดึงข้อมูลของแบรนด์นี้ขึ้นมาพิจารณาเป็นอันดับแรกโดยอัตโนมัติ ทำให้การตัดสินใจซื้อเป็นไปอย่างง่ายดายและรวดเร็ว

Image Source: https://www.onlinenewstime.com/chang-mineral-water-launches-campaign-road-to-friendship/event/

กลยุทธ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กับการใช้ Surrogate Advertising
1. เลือกสินค้าทดแทนที่เหมาะสม
ขั้นแรก คือ การเลือกหมวดหมู่สินค้าที่จะใช้เป็นตัวแทน โดยต้องสอดคล้องกับตัวตนของแบรนด์ (Brand Identity) สินค้าที่นิยมใช้ได้แก่ น้ำดื่มบรรจุขวด โซดา เครื่องดื่มชูกำลัง ตัวอย่างเช่น แบรนด์วิสกี้ระดับพรีเมียมอาจเปิดตัวน้ำดื่มระดับพรีเมียม ในขวดแก้วทรงเดียวกันเพื่อสื่อถึงความหรูหรา
2. สร้างอัตลักษณ์ของแบรนด์ในแบบเดียวกัน
สิ่งสำคัญ คือ ต้องรักษาโลโก้ สี รูปแบบตัวอักษร และดีไซน์ของบรรจุภัณฑ์ให้เหมือนเดิม เพื่อให้ “ผู้บริโภคควรรู้สึกได้ถึง DNA ของแบรนด์เดียวกัน” (Brand DNA) ไม่ว่าพวกเขาจะถือขวดน้ำ ขวดเหล้า ขวดเบียร์ หรือขวดวิสกี้ก็ตาม การทำเช่นนี้เป็นการสร้างการระลึกถึงแบรนด์ผ่านการรับรู้ทางภาพ / สายตา (Visual Recall)
3. การทำ Lifestyle Marketing
แบรนด์จะใช้สินค้าทดแทนเพื่อเป็นสปอนเซอร์งานคอนเสิร์ต งานกีฬา หรือเทศกาลทางวัฒนธรรมต่างๆ เพื่อเชื่อมโยงแบรนด์ให้เข้ากับค่านิยมที่ผู้คนใฝ่ฝัน เช่น อิสรภาพ มิตรภาพ ความหรูหรา หรือความสง่างาม ซึ่งเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่น่าดึงดูดใจให้กับแบรนด์

4. กลยุทธ์การทำ Digital Content
ออกแคมเปญที่เน้นเรื่องราวเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ผ่านสินค้าทดแทน เช่น น้ำดื่ม โซดา และมีการจ้างบรรดาคนดังทั้ง Influencers และ Celebrities ให้โปรโมทสินค้าทดแทน แต่สื่อสารอารมณ์ความรู้สึกของแบรนด์แอลกอฮอล์ และสร้างคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียที่สะท้อนถึงบรรยากาศการสังสรรค์ยามค่ำคืน การเฉลิมฉลอง และความเป็นมิตร โดยไม่มีภาพเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปรากฏอยู่เลย
5. สินค้าที่ระลึกและการการทำ Line Extension
แบรนด์จะผลิตสินค้าที่ระลึก เช่น เสื้อยืด แก้ว หรือปฏิทิน นอกจากนี้ยังอาจขยายไลน์สินค้า (Line Extension) ไปสู่สินค้าอุปโภคบริโภคที่โฆษณาได้ (FMCG) อย่างเช่น น้ำผลไม้ ขนม หรือน้ำอัดลมสำหรับผสมเครื่องดื่ม
6. ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์
สร้างความร่วมมือกับร้านอาหาร บาร์ หรือคลับต่างๆ เพื่อให้สินค้าทดแทน ไปปรากฏอยู่ในสถานที่เหล่านี้พร้อมกับสินค้าหลัก ตัวอย่างเช่น น้ำดื่มแบรนด์หนึ่งอาจถูกจัดวางอยู่ตามไนท์คลับระดับพรีเมียม “โดยบังเอิญ” ซึ่งเป็นการสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมายโดยตรง
7. การตลาดเชิงประสบการณ์
จัดงานอีเวนท์แบบส่วนตัวหรือเชิญเฉพาะแขก ภายใต้ชื่อแบรนด์ของสินค้าทดแทน โดยนำเสนอประสบการณ์สุดพิเศษ เช่น ทริปท่องเที่ยวสุดหรู ปาร์ตี้บนเรือยอร์ช หรือนิทรรศการศิลปะ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ที่น่าจดจำ และเชื่อมโยงความรู้สึกเหล่านั้นเข้ากับแบรนด์

8. ความรับผิดชอบต่อสังคม
ใช้สินค้าทดแทนในแคมเปญที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ความยั่งยืน หรือวัฒนธรรม เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและน่าเชื่อถือ ตัวอย่างเช่น น้ำดื่มที่เป็นสินค้าทดแทนของวอดก้า อาจจัดตั้งกองทุนสนับสนุนโครงการน้ำสะอาด ซึ่งเป็นการสร้างความผูกพันกับผู้บริโภคในระดับที่ลึกซึ้งกว่าแค่การขายสินค้า

การใช้กลยุทธ์ Surrogate Advertising การกับสร้างแบรนด์ใหม่
โดยหลักแล้วเราจะเห็นการใช้โฆษณาแฝง (Surrogate Advertising) จากแบรนด์ที่มีจุดเริ่มต้นในการผลิตแอลกอฮอล์หรือยาสูบเพื่อขาย แต่ Surrogate Advertising สามารถเกิดเหตุการณ์ในทางกลับกันได้เช่นกัน นั่นก็คือ การเริ่มต้นจากสินค้าที่ “ปลอดภัย” อย่างน้ำแร่ และเมื่อสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งแล้ว จึงขยายธุรกิจไปสู่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในภายหลัง “ภายใต้ชื่อเดียวกัน” ในธุรกิจลักษณะนี้ น้ำดื่มไม่ได้เป็นเพียงแค่สินค้าบังหน้าสำหรับแอลกอฮอล์อีกต่อไป แต่กลับกลายเป็น “รากฐานที่มั่นคงของแบรนด์” โดยมีวิธีการ ดังนี้
1. จุดเริ่มต้นที่ปลอดภัย
กลยุทธ์นี้เริ่มต้นด้วยการ “เปิดตัวน้ำดื่มบรรจุขวดก่อน” ซึ่งเป็นสินค้าที่ถูกกฎหมาย และได้รับการยอมรับทางสังคมในทุกที่ สิ่งนี้ช่วยให้แบรนด์สามารถทุ่มงบโฆษณา การเป็นสปอนเซอร์ และการทำแคมเปญ ได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ น้ำดื่มจะทำหน้าที่เป็น “จุดนำ” ของแบรนด์ เพื่อสร้างการรับรู้และการยอมรับในวงกว้าง ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดที่ซับซ้อนกว่าเดิม
2. สร้างมูลค่าแบรนด์ผ่านน้ำดื่ม
แทนที่จะวางตำแหน่งน้ำดื่มเป็นเพียงสินค้าดับกระหาย แบรนด์สามารถยกระดับให้เป็น “น้ำดื่มสำหรับไลฟ์สไตล์แบบพรีเมียม” โดยใช้กลยุทธ์ดังนี้
- การสร้างการมองเห็นที่แข็งแกร่ง
วางจำหน่ายในสถานที่ที่ดูดีมีระดับ เช่น บาร์ โรงแรม และร้านอาหารชั้นนำ เพื่อให้ผู้บริโภคเริ่มเชื่อมโยงแบรนด์ให้เข้ากับคุณภาพ (Quality) สถานะทางสังคม (Social Status) และการสังสรรค์ในโอกาสพิเศษ (Social Occasions) อย่างเป็นธรรมชาติ - บรรจุภัณฑ์ระดับพรีเมียม
ด้วยการใช้ขวดที่ดูหรูหราและมีดีไซน์ที่โดดเด่น เพื่อสื่อถึงคุณภาพ (Quality) และความพิเศษ (Special) - แคมเปญที่สร้างแรงบันดาลใจ
ทำการตลาดที่เชื่อมโยงน้ำดื่มเข้ากับภาพลักษณ์ที่ผู้คนใฝ่ฝัน เช่น ความสำเร็จ (Success) ความหรูหรา (Luxurious) หรือช่วงเวลาดีๆ (Happy Moments)

3. การเชื่อมโยงเชิงกลยุทธ์กับชีวิตยามค่ำคืน
แม้จะยังไม่ได้แนะนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่แบรนด์สามารถนำน้ำดื่มไปวางในสถานบันเทิงยามค่ำคืนได้ เช่น ในบาร์ คอนเสิร์ต หรือไนท์คลับ การทำเช่นนี้ช่วย “เบลอเส้นแบ่ง” ระหว่าง “น้ำดื่มเพื่อความสดชื่น” กับ “น้ำดื่มที่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการสังสรรค์” ทำให้ผู้บริโภคเริ่มคุ้นชิน กับการเห็นแบรนด์ในบรรยากาศการดื่มกิน
4. การขยายแบรนด์สู่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
หลังจากที่แบรนด์สร้างความน่าเชื่อถือ (Credibility) และการจดจำ (Recognition) ได้แล้ว แบรนด์ก็จะเริ่มแนะนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายใต้ “ชื่อ” และ “อัตลักษณ์ทางภาพเดียวกัน” ตัวอย่างเช่น จาก UrbanFlow Water สู่ UrbanFlow Vodka โดยผู้บริโภคจะเชื่อมโยงถึงกันได้ในทันทีว่า “ฉันรู้จักแบรนด์นี้จากน้ำดื่ม และตอนนี้ก็มีวอดก้าด้วย” ซึ่งทำให้การยอมรับสินค้าใหม่เป็นไปอย่างราบรื่น
5. การคงบทบาทของสินค้าทดแทน
น้ำดื่มในฐานะสินค้าทดแทน “ไม่ได้หายไปไหน” แต่ยังคงทำหน้าที่เป็นตัวแทนโฆษณาที่ถูกกฎหมายต่อไป ซึ่งหมายความว่าแบรนด์ยังคงสามารถโฆษณาเพื่อแสดงให้เห็นถึงไลฟ์สไตล์ เป็นสปอนเซอร์งานต่างๆ หรือปรากฏตัวในงานแข่งขันกีฬาได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องพูดถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกเลย
และการเข้ามาสู่ตลาดแอลกอลฮอล์ใหม่นั้น ก็มีอยู่หลากหลายแบรนด์ที่ใช้กลยุทธ์ Surrogate Advertising ที่เราเห็นทั้งการโฆษณเต็มรูปแบบและการเปิดตัวในกลุ่มเฉพาะแบบเงียบๆ เช่น
- จาก BluePeak Water ไปสู่ BluePeak Gin
แนวคิดนี้เริ่มจากการสร้างภาพลักษณ์ของ “น้ำดื่ม BluePeak” ที่สื่อถึงความบริสุทธิ์จากยอดเขา จากนั้นจึงขยายไปสู่ “BluePeak Gin” ที่สะท้อนถึงการรังสรรค์อย่างพิถีพิถัน โดยใช้ชื่อที่เชื่อมโยงกันเพื่อคงภาพลักษณ์ของความบริสุทธิ์และคุณภาพไว้ - จาก UrbanFlow Water ไปสู่ UrbanFlow Vodka
กลยุทธ์นี้เริ่มต้นจาก “UrbanFlow Water” ที่เจาะกลุ่มผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์แบบคนเมือง (Urban Lifestyle) ที่ทันสมัยและมีความ Active จากนั้นจึงขยายไปสู่ “UrbanFlow Vodka” เพื่อเจาะตลาดเครื่องดื่มสำหรับวิถีชีวิตยามค่ำคืนของคนเมือง โดยใช้ชื่อที่คุ้นเคยเพื่อสร้างการยอมรับอย่างรวดเร็ว - Charles House Flow
แบรนด์น้องใหม่ของไทยจาก CP ที่เป็นมากกว่าน้ำแร่ราคาถูก แต่คือ ผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวสู่ตลาดอย่างมีกลยุทธ์ (Strategic Entry Product) ที่ใช้สร้างการรับรู้ใรตัวแบรนด์ ที่เน้นความ “หรูและคุ้มค่า” ผ่านตลาดแบบ Mass Market (แต่มีขาย ณ ช่วงแรกเฉพาะใน Makro เท่านั้น) จากนั้นจะทำการ Cross-brand กลับไปยัง Charles House Alcoholic Drinks ได้โดยไม่ต้องโฆษณาแบบตรง

Image Source: https://www.facebook.com/planbmedia

ความเสี่ยงและความท้าทายจากการใช้กลยุทธ์ Surrogate Advertising
แม้ว่ากลยุทธ์การใช้โฆษณาแฝง (Surrogate Advertising) จะเป็นกลยุทธ์ที่แยบยลและมีประสิทธิภาพสูง แต่ก็มีความเสี่ยงและความท้าทายสำคัญๆที่แบรนด์ต้องเผชิญอยู่ 3 ประการ ได้แก่
1. การตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแล
หน่วยงานภาครัฐมักจะออกกฎหมายที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อต่อต้าน “การโฆษณาปลอมแปลง” (Disguised Advertising) ซึ่งรวมถึงโฆษณาแฝงด้วย โดยหากแบรนด์ทำเกินขอบเขตที่กฎหมายกำหนด หรือใช้ช่องโหว่มากจนเกินไป ก็อาจถูกสั่งปรับ ดำเนินคดี หรือถูกบังคับให้ยุติการโฆษณาได้
2. ผู้บริโภคไม่เชื่อถือ
หากสินค้าทดแทนที่นำมาใช้มีคุณภาพต่ำ หรือไม่มีความเกี่ยวข้องกับแบรนด์หลักเลย ผู้บริโภคจะมองออกว่านี่เป็นเพียง “กลอุบาย” ทางการตลาดที่ “ขาดความจริงใจ” ซึ่งจะส่งผลเสียต่อความน่าเชื่อถือ (Credibility) และความภักดีของลูกค้าในระยะยาวได้ (Long-term Customer Loyalty)
3. ประเด็นทางจริยธรรม
นักวิจารณ์หลายคนมองว่า Surrogate Advertising เป็นกลยุทธ์ที่ไม่ถูกต้องตามหลักจริยธรรม เพราะเป็นการ “ชี้นำและบิดเบือน” ความคิดของผู้บริโภค อีกทั้งยังเป็นบ่อนทำลายเป้าหมายด้านสาธารณสุขของรัฐบาล ที่ต้องการลดการบริโภคสินค้าอย่างเช่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การใช้กลยุทธ์นี้จึงมักถูกตั้งคำถามถึง “ความรับผิดชอบต่อสังคม” ของแบรนด์อยู่เสมอ
โดยสรุปแล้ว โฆษณาแฝง (Surrogate Advertising) คือ กลยุทธ์ชั้นยอดในการรับมือกับข้อจำกัด ด้วยความคิดสร้างสรรค์ สำหรับแบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ไม่ใช่การขายเครื่องดื่มโดยตรง แต่เป็นการขาย ไลฟ์สไตล์ ความทรงจำ และตัวตนที่เชื่อมโยงกับแบรนด์ และโดยในตลาดที่มีข้อห้ามด้านการโฆษณา ผู้ที่จะชนะได้ คือ แบรนด์ที่สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็น “แบรนด์ที่มีไลฟ์สไตล์ที่มีหลายมิติ” ได้อย่างชาญฉลาด โดยมีสินค้าทดแทนทำหน้าที่เป็นสะพานที่ถูกกฎหมาย เพื่อเชื่อมต่อกับการรับรู้ของผู้บริโภค และหากทำได้อย่างถูกวิธี มันจะช่วยให้แบรนด์ของคุณยังคงมีชีวิตอยู่ได้ แม้ว่าตัวสินค้าเองจะไม่สามารถ “พูด” ออกมาได้ก็ตามนั่นเอง