
ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว การตลาดมักจะให้ความสำคัญกับ “สิ่งที่คุณพูด” (What you said) เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติ ประโยชน์ จุดขาย หรือคำขวัญ จากนั้นก็เข้าสู่ยุคของการเล่าเรื่อง (Storytelling) หรือการให้ความสำคัญกับ “วิธีการที่คุณพูด” (How you said) แต่ในปัจจุบัน เราได้เข้าสู่ยุคใหม่แล้ว นั่นคือ ยุคแห่ง “Vibe” หรือยุคแห่งบรรยากาศและอารมณ์ ที่แบรนด์ต่างๆไม่ได้ถูกตัดสินเพียงแค่จากสิ่งที่พวกเขาอ้าง หรือให้คำมั่นสัญญาอีกต่อไป แต่ถูกตัดสินจาก “วิธีการที่พวกเขาทำให้ผู้คนรู้สึก” ไม่ว่าจะเป็นพลังงาน (Energy) สุนทรียภาพ (Aesthetic) น้ำเสียง (Tone of Voice) หรือการปรากฏตัวของแบรนด์ (Presence)
วิวัฒนาการนี้เรียกว่า Vibe Marketing หรือ “การตลาดแห่งอารมณ์” ซึ่งเป็นศิลปะของการสื่อสารที่ไม่ใช่แค่ผ่านคำพูดหรือภาพ แต่ผ่าน “บรรยากาศทางอารมณ์” (Emotional Atmosphere) และ “ความสอดคล้องทางวัฒนธรรม” (Cultural Resonance) เรามาทำความรู้จักกับคำว่า Vibe Marketing กันในบทความนี้ครับ

Vibe Marketing คืออะไร
Vibe Marketing คือ การตลาดแห่งอารมณ์ หรือการตลาดด้วยบรรยากาศ ถือเป็นกลยุทธ์การสื่อสารที่มุ่งเน้นการสร้างและส่งต่อ “อารมณ์” (Emotion) “บรรยากาศ” (Mood) และ “อัตลักษณ์” (Identity) แทนที่จะเน้นคุณสมบัติ ประโยชน์ หรือข้อความเชิงการขายแบบ Hard-Selling โดยตรง ตัวอย่างของการตลาดแบบ Vibe Marketing คือ ความแตกต่างระหว่างการพูดว่า “กาแฟของเรามาจากแหล่งปลูกที่ยั่งยืน” กับ “การนำเสนอภาพยนตร์ของแสงแดดยามเช้า ที่สาดส่องลงบนโต๊ะไม้ในร้านกาแฟ มีเสียงหัวเราะเบาๆคลออยู่ด้านหลัง และภาพสีเอิร์ธโทนที่อบอุ่น” เพื่อให้คุณรู้สึกได้ถึงความยั่งยืน ความสงบ และความจริงใจ
Vibe Marketing ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่สมองส่วนที่ใช้เหตุผล แต่พุ่งตรงไปที่ “อารมณ์และความรู้สึก” ของผู้บริโภคทันที แบรนด์ที่ใช้กลยุทธ์นี้จะเน้นการสร้าง “โลก” (World) หรือ “สุนทรียภาพ” (Aesthetic) ที่ชัดเจนและสม่ำเสมอ ด้วยการ
- เน้น “ความรู้สึก” มากกว่า “ข้อเท็จจริง”
ผู้คนจะจดจำว่าแบรนด์ทำให้พวกเขารู้สึกอย่างไร เช่น สบายใจ ทันสมัย อิสระ มากกว่าข้อมูลจำเพาะของสินค้า - สร้างความผูกพันทางอารมณ์
เมื่อผู้บริโภคสัมผัสได้ถึง Vibe ที่ตรงกับตัวตนหรือสิ่งที่พวกเขาปรารถนา พวกเขาจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์และชุมชนนั้นๆทันที
ตัวอย่างเช่น แบรนด์ที่เน้น Vibe Marketing อาจจะใช้ฟิลเตอร์ภาพที่ดูเก่า (Vintage) ใช้ดนตรี Lo-fi หรือใช้คำพูดที่ดูเป็นกันเอง เพื่อสร้างบรรยากาศของความผ่อนคลาย (Relaxation) และความเป็นของแท้ (Authentic) โดยที่ไม่ได้ต้องพูดถึงคุณภาพสินค้าเลย

Vibe Marketing เป็นการ
สื่อสารผ่านประสบการณ์ทางอารมณ์ และสร้างภาพลักษณ์ที่รู้สึกได้

การเกิดขึ้นของ Vibe Marketing มีสาเหตุจากการมี “ข้อมูลที่ท่วมท้น” (Information Overload) เพราะในแต่ละวันผู้บริโภคจะเห็นข้อความจากแบรนด์ต่างๆมากถึง 10,000 ข้อความต่อวัน การสื่อสารแบบดั้งเดิมจึงไม่สามารถเจาะทะลุได้ เพราะสมองของมนุษย์มีขีดจำกัดในการประมวลผลข้อมูล ดังนั้นแทนที่จะเสียเวลาอ่านคุณสมบัติทั้งหมด ผู้คนจะใช้วิธีทางลัดทางอารมณ์แทน คือ ถ้าเห็น Vibe แล้วรู้สึกใช่ก็จะสนใจทันที “อารมณ์จึงเป็นตัวกรองชั้นแรก”

และเมื่อเกิด “ภาวะความเหนื่อยล้าทางอารมณ์” (Emotional Fatigue) ผู้ชมจะโหยหาความจริงใจทางอารมณ์ ไม่ใช่โฆษณาที่เอาแต่ตะโกนหรือบอกเกี่ยวกับ “นวัตกรรม” หรือ “ความเป็นเลิศ” พวกเขาต้องการ “ความรู้สึกที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์หรือตัวตนของพวกเขา” เพราะผู้บริโภคเบื่อหน่ายกับแบรนด์ที่พูดแต่เรื่องของตัวเอง พวกเขาอยากรู้สึกว่าแบรนด์นั้นเข้าใจพวกเขาและโลกของพวกเขา Vibe Marketing ได้เสนอ “พื้นที่ทางอารมณ์” (Emotional Space) ที่เชื้อเชิญให้ผู้บริโภคเข้ามาพักผ่อนหรือแสดงความเป็นตัวของตัวเอง
นอกจากนั้นเมื่อผู้คนเริ่มเกิด “ภาวะความอิ่มตัวทางวัฒนธรรม” (Cultural Saturation) และด้วยแพลตฟอร์มอย่าง TikTok, Instagram และ YouTube Shorts ที่ทำให้คุณค่าของแบรนด์ (Brand Values) จำเป็นต้องถูกสร้างขึ้นในไม่กี่วินาที ผ่านคำว่า “สุนทรียศาสตร์” (Aesthetic) “น้ำเสียง” (Tone of Voice) และ “ดนตรี” (Music) ที่ไม่ใช่คำอธิบายยาวๆอีกต่อไป และเรากำลังอยู่ในยุคของวิดีโอสั้น (Short-form Video) การสร้าง Vibe ที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์จึงสำคัญกว่าที่เคย แบรนด์จึงจำเป็นต้องสื่อสารให้ได้ทันที และสร้างความรู้สึกบางอย่างให้ได้ ตั้งแต่การรับชมใน 3 วินาทีแรก
ท้ายที่สุด คือ อิทธิพลของคน Gen Z ที่คนรุ่นใหม่ๆสามารถถอดรหัสอารมณ์ได้เร็วกว่าตรรกะ “พลังงาน” (Energy) ของแบรนด์จึงมักจะสำคัญกว่า “ข้อเสนอ” (Offer) โดยคน Gen Z มักใช้ผลิตภัณฑ์เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงออกถึง “ตัวตน” (Self-Identity) ของพวกเขา และหากแบรนด์ใดมี Vibe ที่เจ๋ง (Cool) ดูจริงใจ (Authentic) หรือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Sustainable) ก็เท่ากับว่าผู้บริโภคกำลัง “ซื้อ” ความรู้สึกและเอกลักษณ์นั้น เพื่อมาเป็นส่วนหนึ่งของตัวเองด้วย

Vibe Marketing เปลี่ยนแปลงการสื่อสารแบรนด์อย่างไร
1. จาก “ข้อมูล” สู่ “การซึมซับ”
การตลาดแบบเก่าพยายามเล่าเรื่องเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ แต่การตลาดแบบใหม่นี้ คือ การสร้างโลกให้ผู้บริโภคได้เข้ามาสัมผัส แบรนด์ ที่ไม่ได้เพียงแค่พูดถึงคุณสมบัติสินค้าอีกต่อไป แต่สร้าง “ประสบการณ์ที่ดื่มด่ำ” (Immersive Experiences) ไม่ว่าจะในรูปแบบดิจิทัล (เช่น ฟีดใน Instagram วิดีโอ TikTok) หรือในชีวิตจริง (เช่น การออกแบบร้านค้า หรือการจัดอีเวนท์ต่างๆ) ประสบการณ์เหล่านี้จะสะท้อนไลฟ์สไตล์และทัศนคติที่ชัดเจน เมื่อผู้บริโภคเข้าสู่โลกที่สร้างโดยแบรนด์ พวกเขาจะไม่ได้แค่รับข้อมูล แต่จะรู้สึกถึงความเป็นไปได้ในการใช้ชีวิตแบบนั้นทันที
2. จาก “การขาย” สู่ “การเป็นส่วนหนึ่ง”
Vibe Marketing เปลี่ยนผู้ชมธรรมดาให้กลายเป็นชุมชน (Communities) โดยมีอารมณ์และความรู้สึกร่วมเป็นแกนกลาง ความรู้สึกในการเป็นส่วนหนึ่งหรือเป็นเจ้าของ (Sense of Belonging) นั้นทรงพลังกว่าแรงจูงใจในการซื้อสินค้าอย่างมาก โดยผู้บริโภคไม่ได้ถูกบอกให้ซื้อผลิตภัณฑ์ แต่พวกเขาถูกเชื้อเชิญให้ “เข้าร่วม” (Join) กับกลุ่มคนที่มีรสนิยม หรือความเชื่อเดียวกันกับแบรนด์ Vibe ที่ชัดเจนจึงทำหน้าที่เหมือนสัญญาณดึงดูดคนที่ใช่เข้ามา และเปลี่ยนความผูกพันกับสินค้าเป็นการผูกพันทางสังคมในที่สุด
3. จาก “การโน้มน้าว” สู่ “การดึงดูด”
แทนที่จะพยายามโน้มน้าว (Convincing) ให้ผู้คนเชื่อในสิ่งที่แบรนด์พูด แบรนด์กลับใช้ Vibe เพื่อดึงดูด (Attract) ผู้คนเข้ามาหาตัวเอง กลไกนี้ทำงานคล้ายกับบุคลิกที่มีเสน่ห์ดึงดูด ซึ่งไม่จำเป็นต้องตะโกนบอกว่าตัวเองดีอย่างไร แต่ใช้ “อารมณ์” (Emotion) และ “สุนทรียศาสตร์” (Aesthetic) ที่สม่ำเสมอและทรงพลังในการสื่อสาร เมื่อ Vibe ของแบรนด์สอดคล้องกับตัวตนและความปรารถนาของผู้บริโภค ผู้บริโภคจะรู้สึกว่า “นี่คือของฉัน” และตัดสินใจซื้อด้วยตนเอง โดยอาศัยความรู้สึกที่ไม่ใช่เหตุผลหรือการบังคับ


แบรนด์สร้าง Vibe Communication ได้อย่างไร

Vibe Marketing กับการสื่อสารด้วยบรรยากาศและอารมณ์ จะถูกสร้างขึ้นบนการสื่อสาร 5 มิติ ที่ทำงานประสานกัน เพื่อส่งต่อความรู้สึกที่ต้องการให้ผู้บริโภคสัมผัสได้ ดังนี้
1. เสียงและดนตรี (Sound & Music)
Vibe คือ สิ่งที่สามารถกำหนดอารมณ์ได้ทันที ดนตรีประกอบที่เลือกใช้ (เช่น Lo-Fi, Synth-Pop ยุค 80 หรือดนตรีคลาสสิก) ไม่ใช่แค่เป็นเพียงฉากหลัง แต่กลับกลายเป็น “ลายเซ็นทางอารมณ์” ของแบรนด์ไปโดยปริยาย โดยแบรนด์ที่เน้น Vibe แห่งความผ่อนคลาย (Chill) จะใช้เพลงที่ให้ความรู้สึกสบายๆ ในขณะที่แบรนด์ที่เน้นความตื่นเต้น (Excitement) จะใช้จังหวะที่เร็วขึ้น การเลือกเสียงจึงเป็นการกำหนดว่า ผู้คนจะรู้สึกอย่างไรกับแบรนด์ตั้งแต่เสี้ยววินาทีแรก
ตัวอย่างแบรนด์ Starbucks และ Abercrombie & Fitch ที่ใช้เสียงเป็นส่วนสำคัญในการสร้างบรรยากาศหน้าร้าน โดย Starbucks มักเปิดเพลงแจ๊สหรือเพลงแนว Lo-fi / Acoustic ที่มีความนุ่มนวลและผ่อนคลาย เพื่อส่งเสริม “Vibe แห่งความสงบและสุนทรียะในการใช้ชีวิตประจำวัน” ซึ่งทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้พักผ่อน และทำงานได้อย่างมีสมาธิในร้าน ส่วน Abercrombie & Fitch ในยุคก่อนใช้ดนตรีแดนซ์ / ป๊อป ที่มีจังหวะหนักและเสียงดัง พร้อมกับกลิ่นหอมเฉพาะตัว เพื่อสร้าง “Vibe แห่งความตื่นเต้นและความพิเศษ”

Image Source: https://fashionunited.com
2. สุนทรียศาสตร์ทางภาพ (Visual Aesthetic)
Vibe เป็นมากกว่าแค่โลโก้หรือสีประจำแบรนด์ แต่รวมถึงฟิลเตอร์ โทนสี องค์ประกอบภาพ และสไตล์การจัดวางทั้งหมดที่ใช้ในการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นภาพที่ดูดิบและเป็นธรรมชาติ (Authentic & Raw) ภาพที่ดูหรูหราแบบมินิมอล (Minimalist Luxury) หรือภาพที่เต็มไปด้วยสีสันสดใส (Maximalist Pop) ความสม่ำเสมอของสุนทรียศาสตร์นี้ จะช่วยสร้างโลกที่แบรนด์อาศัยอยู่ ทำให้ผู้บริโภคจดจำและเข้าถึง Vibe นั้นได้ด้วยตา
แบรนด์อย่าง Glossier ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องสำอางค์ ได้สร้าง “Vibe แห่งความงามที่เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ” ผ่านการใช้สีชมพูอ่อน (Millennial Pink) โทนสีที่ดูสว่างสะอาดตา และการถ่ายภาพที่ดูเหมือนภาพเซลฟี่ของเพื่อนสนิท ภาพลักษณ์ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าผลิตภัณฑ์นี้เข้าถึงง่าย ไม่ต้องพยายามมากแต่ดูดีมีสไตล์ ส่วนแบรนด์ Nike ได้สร้าง “Vibe แห่งพลัง แรงผลักดัน และชัยชนะ” ด้วยภาพที่คมชัด สีที่โดดเด่น มีพลัง และมุมกล้องที่แสดงถึงการเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่ง ซึ่งทำให้ผู้ชมรู้สึกได้รับการกระตุ้น และพร้อมที่จะผลักดันขีดจำกัดของตัวเอง

Image Source: https://www.architecturaldigest.com/story/glossier-melrose-avenue-flagship-store
3. น้ำเสียง (Tone of Voice)
Vibe คือ วิธีที่แบรนด์พูดไม่ใช่แค่สิ่งที่พูด เช่น เป็นมิตรแบบเพื่อนสนิท (Casual & Friendly) ดูฉลาดและเชี่ยวชาญ (Expert & Witty) หรือเย้ยหยันแบบขบขัน (Sarcastic & Ironic) น้ำเสียงจะสะท้อนบุคลิกภาพของแบรนด์ (Brand Personality)
ออกมา ไม่ว่าจะเป็นการใช้วลี คำแสลง รูปแบบประโยค หรือแม้กระทั่งการตอบกลับบนโซเชียลมีเดีย ทั้งหมดนี้ช่วยเสริมสร้างความรู้สึกที่ผู้บริโภคมีต่อตัวตนของแบรนด์
ตัวอย่างแบรนด์ Oatly (นมข้าวโอ๊ต) ใช้ “Vibe แห่งความขี้เล่น ตรงไปตรงมา และตลกขบขัน” โดยมักมีข้อความตลกๆ หรือประโยคที่ดูเย้ยหยันอยู่บนกล่องผลิตภัณฑ์หรือในโฆษณา น้ำเสียงนี้ทำให้แบรนด์รู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนที่ไม่เสแสร้ง และมีทัศนคติที่โดดเด่นท่ามกลางผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มักดูจริงจัง

Image Source: https://www.buildhollywood.co.uk/work/oatly-oatgurt/
4. ชุมชนและการรวมเป็นส่วนหนึ่ง (Community & Inclusion)
Vibe ถูกสร้างผ่านผู้คน ที่แบรนด์เลือกที่จะแสดงและโต้ตอบด้วย แบรนด์ไม่ได้ขายสินค้า แต่ขายการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนบางกลุ่ม (Tribe) หรือวิถีชีวิตบางอย่าง หากแบรนด์รวมคนที่มีความหลากหลาย หรือกลุ่มคนที่มีความสนใจเฉพาะทางเข้ามาในภาพของแบรนด์ ผู้บริโภคก็จะรู้สึกว่าพวกเขาได้เข้าร่วม Vibe และชุมชนนั้นๆทันทีที่ซื้อสินค้า
ตัวอย่างแบรนด์ เช่น Outdoor Voices แบรนด์ชุดออกกำลังกาย สร้าง “Vibe แห่งการเคลื่อนไหวเพื่อความสุข” แทนการแข่งขัน โดยแบรนด์กระตุ้นให้ผู้บริโภค โพสต์ภาพการออกกำลังกายในชีวิตประจำวัน ด้วยแฮชแท็ก #doingthings ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ที่ให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสนุกสนาน ไม่ใช่แค่การออกกำลังกายเพื่อรูปร่าง

Image Source: https://www.buildhollywood.co.uk/work/oatly-oatgurt/
แบรนด์อย่าง Barbie ในยุคปัจจุบัน สร้าง “Vibe แห่งความหลากหลายและการยอมรับ” ด้วยการสร้างตุ๊กตาบาร์บี้ที่มีรูปร่าง ผิวสี ทรงผม และความพิการที่หลากหลาย ทำให้แบรนด์ไม่ได้ขายแค่ของเล่น แต่ขาย “Vibe แห่งการเสริมพลังและค่านิยมความงามที่หลากหลาย” ให้แก่เด็กๆ

Image Source: https://www.teneues.com/en/magazine/barbie-die-ikone
5. ความสอดคล้องทางวัฒนธรรม (Cultural Resonance)
การที่แบรนด์สามารถแทรกซึมและสะท้อนความรู้สึกร่วม ที่กำลังเป็นกระแสในสังคมได้อย่างแนบเนียน โดยอาจจะทำผ่านการใช้มีม (Memes) การอ้างอิงถึงภาพยนตร์ / รายการยอดนิยม หรือการมีจุดยืนทางสังคม (Social Stance) ที่สอดคล้องกับคุณค่าของกลุ่มเป้าหมาย โดยความสอดคล้องทางวัฒนธรรมนี้ ทำให้แบรนด์รู้สึก “อินเทรนด์” และ “เกี่ยวข้อง” กับชีวิตประจำวันของผู้คนในปัจจุบัน
ตัวอย่างแบรนด์ Netflix ที่สร้าง “Vibe แห่งความรู้สึกร่วม” ด้วยการใช้ภาพย่อ (Thumbnails) และการตั้งชื่อประเภท (Genre) ที่อิงตามกระแสทางวัฒนธรรม (เช่น Movies Based on a True Story That Will Make You Cry หรือ Dark Comedies with a Cult Following) ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่า Netflix เข้าใจและเป็นส่วนหนึ่ง ของรสนิยมทางวัฒนธรรมของพวกเขาอย่างลึกซึ้ง


ขั้นตอนการสร้าง Brand Vibe (การตลาดแห่งอารมณ์) ให้กับแบรนด์
เรามาดูสรุปขั้นตอนการสร้าง Brand Vibe กันครับ ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆกับ 5 ขั้นตอน ดังนี้

1. กำหนดแกนกลางทางอารมณ์ (Emotional Core)
ขั้นตอนแรก คือ การระบุว่า “อารมณ์” (Emotion) ใดที่นิยามความเป็นแบรนด์ของคุณอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นความสงบ (Calm) ความมุ่งมั่น (Passion) หรือความหวัง (Hope) อารมณ์ที่ถูกเลือกนี้จะทำหน้าที่เป็นหัวใจและเข็มทิศของ Vibe ทั้งหมด ทุกจุดสัมผัส (Touchpoint) และทุกกิจกรรมการสื่อสาร จะต้องถูกออกแบบและขับเคลื่อน เพื่อสะท้อนและส่งมอบอารมณ์หลักนั้นอย่างสม่ำเสมอ เพราะหากแกนอารมณ์ไม่ชัดเจน Vibe ของแบรนด์ก็จะสับสน และไม่สามารถสร้างความผูกพันกับผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง
2. ออกแบบจักรวาลสุนทรียศาสตร์ (Aesthetic Universe)
เมื่อกำหนดอารมณ์หลักได้แล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ การแปลผลอารมณ์นั้นให้กลายเป็นรูปธรรมทางภาพและเสียง แบรนด์ต้องออกแบบสี (Colors) ตัวหนังสือ (Fonts) ดนตรี (Music) และภาพลักษณ์ (Visuals) ให้สอดคล้องกับอารมณ์ที่เลือกไว้ทั้งหมด จักรวาลสุนทรียศาสตร์นี้ คือ “โลก” ที่แบรนด์สร้างขึ้นเพื่อดึงดูดผู้บริโภค ตัวอย่างเช่น หากแบรนด์ต้องการสื่อสาร “ความรื่นเริงและอ่อนเยาว์” ก็ควรใช้สีพาสเทลสดใสและตัวหนังสือที่ดูเป็นกันเอง เพื่อสร้าง Vibe ที่รู้สึกได้ทันทีผ่านประสาทสัมผัสทางตาและหู
3. กำหนดรูปแบบภาษาของแบรนด์ (Brand Language)
ในขั้นตอนนี้ คือ การเลือกน้ำเสียง (Tone of Voice) ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ซึ่งอาจจะเป็นน้ำเสียงที่ขี้เล่น (Playful) สละสลวย (Peotic) มั่นใจ (Confident) หรือสงบเยือกเย็น (Serene) น้ำเสียงที่เลือกจะต้องถูกนำไปใช้ในทุกการสื่อสาร เพื่อสร้างบุคลิกภาพของแบรนด์ (Brand Personality)
ที่สม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นแคปชั่นบนโซเชียลมีเดีย ข้อความบนบรรจุภัณฑ์ หรือแม้แต่แนวทางในการตอบคำถามลูกค้า การรักษาความคงที่ของภาษาจะช่วยเสริมสร้าง Vibe ที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ ทำให้ผู้บริโภครู้สึกเหมือนกำลังสื่อสารกับ “คน” ที่มี “บุคลิกภาพที่น่าจดจำ”
4. ดูแลจัดการประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส (Sensory Experience)
การสร้าง Vibe ที่สมบูรณ์แบบไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโลกดิจิทัล แต่ต้องสร้าง “พื้นที่แห่งความรู้สึก” (Feeling Spaces) ที่ผู้บริโภคสามารถซึมซับได้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งหมด แบรนด์ต้องคำนึงถึงสิ่งที่ผู้บริโภคจะเห็น ได้ยิน หรือแม้แต่ได้กลิ่น เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ การจัดการองค์ต่างๆประกอบด้านแสง กลิ่นเฉพาะตัว หรือดนตรีประกอบในพื้นที่ทางกายภาพ จะช่วยเสริมสร้างความผูกพันทางอารมณ์และสร้าง “ความทรงจำทางอารมณ์” ที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความเป็นแบรนด์ได้ในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
5. สร้างสอดคล้องกับวัฒนธรรม (Culture)
เพื่อให้ Vibe ของแบรนด์มีความเกี่ยวข้อง และโดนใจผู้คนอย่างแท้จริง แบรนด์จำเป็นต้อง “เชื่อมโยงกับค่านิยมและกระแสทางวัฒนธรรมที่กำลังเกิดขึ้น” อย่างชาญฉลาด ที่ไม่ใช่แค่การวิ่งตามกระแสแฟชั่นอย่างฉาบฉวย แต่คือการเข้าใจและ “แบ่งปันความหมาย” ที่ผู้บริโภคกำลังเชื่อและรู้สึกร่วมกันในสังคม การมีจุดยืนที่สอดคล้องกับกระแสความตื่นตัวทางสังคมหรือวัฒนธรรม จะช่วยให้แบรนด์ถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการสนทนาที่สำคัญ และทำให้ Vibe นั้นเป็นมากกว่าแค่โฆษณาธรรมดาทั่วไป
ในยุคการสื่อสารใหม่นี้ผู้คนไม่จดจำคำขวัญ แต่จำ “Vibe” หรือ “ความรู้สึก” ที่แบรนด์มอบให้ แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จจึงไม่ได้เน้นความดัง แต่เน้นการ “สร้างความสอดคล้องทางอารมณ์” เพราะข้อเท็จจริงให้ข้อมูล เรื่องราวสร้างการมีส่วนร่วม แต่ “Vibe สร้างการเชื่อมโยง” แบรนด์จึงต้องเรียนรู้ที่จะพูดและถ่ายทอดอารมณ์ และทำให้ทุกจุดสัมผัสเป็นเหมือนหัวใจดวงเดียวกัน เพราะสิ่งนี้ คือ การนิยามใหม่ของ “การเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์” นั่นเอง
หากข้อมูลและบทความต่างๆบนเว็บไซต์นี้ ทำให้คุณได้มุมมองใหม่ๆ หรือแรงบันดาลใจในการสร้างแบรนด์ การตลาด หรือการสื่อสารมากขึ้น
และอยากต่อยอดความเข้าใจเหล่านี้ให้ลึกซึ้งขึ้นอีกขั้น
ก็สามารถพูดคุยหรือขอคำปรึกษากับผมได้โดยตรงครับ
ไม่ว่าจะเป็นการให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ การสอนแบบ Workshop
หรือการบรรยายสำหรับทีมและองค์กร
ผมยินดีแบ่งปันประสบการณ์จริงจากการทำงาน งานสอน และงานที่ปรึกษา
เพื่อช่วยให้คุณหรือทีมของคุณเติบโตอย่างมีทิศทาง
และเข้าใจ “หัวใจของแบรนด์และการตลาด” อย่างแท้จริง
📩 Email: thepopticles@gmail.com
📞 โทร / Line ID: 0829151594
