AI_Generated_Image_of_A_Woman_Giving_a_Speech_in_Front_of_Audiences

ทุกวันนี้โลกของของเราเชื่อมโยงถึงกันอย่างใกล้ชิดกันมากขึ้น ที่ต้องอาศัยการสื่อสารในหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและทรงพลังของผู้นำองค์กร ที่ไม่ใช่เรื่องของการถ่ายทอดความรู้ทางสติปัญญา ในเรื่องที่เป็นเหตุเป็นผลเพียงอย่างเดียว แม้ว่าความสามารถเชิงเทคนิคและสติปัญญา (IQ) จะมีความสำคัญมากก็จริง แต่สิ่งที่มักจะแยกผู้นำที่โดดเด่นออกจากคนทั่วไป ก็คือ การมี “ความฉลาดทางอารมณ์” หรือ Emotional Intelligence (EQ) ซึ่งเป็นความลับที่ช่วยให้พวกเขาสื่อสารได้เหนือกว่าคำพูดธรรมดาๆ

การสื่อสารด้วย “EQ” ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณได้รับการรับฟัง แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความไว้วางใจ (Trust) และความศรัทธา (Faith) ผู้นำที่มี “EQ” สูงสามารถเข้าใจและตอบสนองต่ออารมณ์ของผู้คนได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้พวกเขาสามารถสร้างแรงบันดาลใจ (Aspiration) โน้มน้าวใจ (Convince) และนำพาผู้คนด้วยความเข้าใจ (Empathy) อย่างแท้จริง

ในบทความนี้ผมจะพาผู้อ่านมาทำความเข้าใจว่า เหตุใดความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) จึงเป็นหัวใจของการสื่อสารที่นำไปสู่ความศรัทธา ผู้นำที่ประสบความสำเร็จระดับโลกใช้ “EQ” อย่างไร และคุณจะสามารถพัฒนาพลังแห่ง “EQ” นี้เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำที่ได้รับความศรัทธาได้อย่างไร

เหตุใด EQ จึงเป็นหัวใจของการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ

โดยพื้นฐานแล้วความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) หมายถึง ความสามารถในการเข้าใจ จัดการ และมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของตนเอง รวมถึงอารมณ์ของผู้อื่น และเมื่อนำมาใช้กับการสื่อสาร “EQ” จะเปลี่ยนจากการสนทนาแบบธรรมดาๆ ให้กลายเป็นการเชื่อมโยงที่มีความหมาย ซึ่งมีองค์ประกอบอยู่ด้วยกัน 5 อย่าง ดังนี้

1. การตระหนักรู้ในตนเอง (Self-Awareness)

นักสื่อสารที่ยอดเยี่ยมจะตระหนักรู้อย่างลึกซึ้ง ถึงอารมณ์ของตนเองและวิธีที่อารมณ์เหล่านั้น ที่ส่งผลผ่านคำพูดและน้ำเสียงของพวกเขา ตัวอย่างเช่น ผู้นำที่ตระหนักถึงความหงุดหงิดของตนเอง ระหว่างการประชุมที่ตึงเครียด สามารถเลือกที่จะพูดอย่างใจเย็นแทนที่จะระเบิดอารมณ์ออกมา เช่น

  • สมมติว่าคุณเป็นหัวหน้าทีมที่กำลังนำเสนอผลงาน ที่ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ทำให้คุณรู้สึกผิดหวังและเป็นกังวล แต่ด้วยการตระหนักรู้ในตนเอง คุณจะเข้าใจว่าอารมณ์เหล่านี้อาจทำให้คุณ พูดด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิหรือไม่ให้กำลังใจลูกทีม คุณจึงเลือกที่จะสื่อสารด้วยน้ำเสียงที่สงบ หนักแน่น และมุ่งเน้นไปที่การหาทางแก้ไขร่วมกัน
  • ในสถานการณ์การสนทนาแบบส่วนตัว หากคุณสังเกตว่าตัวเองเริ่มมีน้ำเสียงสูงขึ้น เมื่อพูดคุยในหัวข้อที่ละเอียดอ่อน การตระหนักรู้ในตนเองจะช่วยให้คุณ หยุดและประเมินว่าทำไมคุณถึงรู้สึกแบบนั้น และปรับวิธีการสื่อสารเพื่อไม่ให้กระทบต่อความสัมพันธ์

“การตระหนักรู้ในตนเอง (Self-Awareness) ก็เปรียบเสมือนกับรากฐานของการสื่อสารอย่างมีสติ”


2. การควบคุมตนเอง (Self-Regulation)

การควบคุมตนเอง คือ ความสามารถในการจัดการ การควบคุมอารมณ์ และแรงกระตุ้นของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ตึงเครียดหรือกดดัน ที่ไม่ได้หมายถึงการเก็บกดอารมณ์ แต่เป็นการเลือกที่จะตอบสนองอย่างมีสติและเหมาะสม แทนที่จะปล่อยให้อารมณ์นำพา การควบคุมตนเองช่วยให้การสื่อสาร เป็นไปอย่างสร้างสรรค์และไม่ทำลายความสัมพันธ์ ตัวอย่างเช่น

  • ในระหว่างการสัมภาษณ์หรือการสื่อสารเกี่ยวกับภาวะวิกฤต (Crisis Communication) คนที่เป็น Spokesperson หรือตัวแทนของแบรนด์ในการสื่อสาร ที่มีการควบคุมตนเองเป็นอย่างดี จะหลีกเลี่ยงความคิดเห็นเชิงรับ หรือการโต้ตอบที่อาจสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของแบรนด์
  • เมื่อได้รับคำติชมที่รุนแรงในการประชุม แทนที่จะโต้ตอบด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ผู้ที่มีการควบคุมตนเองที่ดีจะรับฟังอย่างตั้งใจ พยายามทำความเข้าใจมุมมองของอีกฝ่าย และตอบกลับด้วยเหตุผลและท่าทีที่เปิดกว้าง
  • ในสถานการณ์ที่ลูกค้าแสดงความไม่พอใจอย่างมาก พนักงานที่มีการควบคุมตนเองจะสามารถรักษาความสงบ รับฟังปัญหาอย่างอดทน และเสนอแนวทางแก้ไขอย่างมืออาชีพ โดยไม่แสดงอาการหงุดหงิดหรือตอบโต้ด้วยอารมณ์

“การควบคุมตนเอง (Self-Regulation) ก็เปรียบเสมือนกับศิลปะแห่งการตอบสนองอย่างมีวุฒิภาวะ”

AI_Generated_Image_of_A_Woman_Giving_Her_Opinion_in_the_Meeting

3. สร้างแรงจูงใจ (Motivation)

ในบริบทของ “EQ” แรงจูงใจไม่ได้จำกัดอยู่แค่ความปรารถนา ที่จะประสบความสำเร็จแบบส่วนตัว แต่ยังรวมถึงความกระตือรือร้น ความมุ่งมั่น และความเชื่อมั่นในสิ่งที่กำลังสื่อสาร ผู้ที่มีแรงจูงใจมักจะสื่อสารด้วยพลัง ความกระตือรือร้น และความหวังที่ส่งผลกระทบต่อผู้ฟัง ที่ทำให้พวกเขารู้สึกมีส่วนร่วม และได้รับแรงบันดาลใจตามไปด้วย ตัวอย่างเช่น

  • ความมุ่งมั่นของ CEO เมื่อประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ สามารถจุดประกายความตื่นเต้นในหมู่พนักงาน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้ทุกครั้ง
  • ครูที่เปี่ยมด้วยแรงจูงใจในการสอน จะสามารถถ่ายทอดความรู้ด้วยความสนุกสนานและกระตือรือร้น ทำให้นักเรียนรู้สึกสนใจและอยากเรียนรู้ตามไปด้วย

“แรงจูงใจ (Motivation) ก็เปรียบเสมือนกับพลังขับเคลื่อนการสื่อสารที่สร้างสรรค์”


4. ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy)

ความเห็นอกเห็นใจ คือ ความสามารถในการเข้าใจและแบ่งปันความรู้สึกของผู้อื่น รวมถึงการมองสถานการณ์จากมุมมองของพวกเขา การสื่อสารที่เห็นอกเห็นใจจะช่วยสร้างความไว้วางใจ ความเข้าใจ และความสัมพันธ์ที่ดี เพราะผู้ฟังจะรู้สึกว่าคุณใส่ใจและรับฟังพวกเขาอย่างแท้จริง ตัวอย่างเช่น

  • ผู้จัดการฝ่ายที่รับรู้ถึงความลังเลของลูกทีมระหว่างการนำเสนองาน อาจเข้ามาแทรกด้วยคำพูดที่ให้กำลังใจ ซึ่งเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับพวกเขา
  • ทีมงานที่เข้าใจถึงความกดดันที่เพื่อนร่วมงานกำลังเผชิญในช่วงใกล้ส่งมอบงาน จะแสดงความเห็นอกเห็นใจด้วยการเสนอความช่วยเหลือหรือให้กำลังใจ ซึ่งช่วยลดความตึงเครียดและเสริมสร้างความสัมพันธ์ในทีม
  • เพื่อนที่สังเกตเห็นว่าคุณดูเศร้า อาจจะถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและแสดงความห่วงใย ทำให้คุณรู้สึกสบายใจที่จะเปิดใจและพูดคุยถึงปัญหาของคุณ

“ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) ก็เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมโยงความรู้สึกในการสื่อสาร”

CEO_talking_with_empathy_with_his_team

5. ทักษะทางสังคม (Social Skills)

ทักษะทางสังคมครอบคลุมความสามารถที่หลากหลาย ในการจัดการการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี การมีทักษะการสื่อสารอย่างชัดเจน การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การรับฟังอย่างตั้งใจ การแก้ไขความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ การโน้มน้าวใจ และการทำงานร่วมกับผู้อื่น จะช่วยให้การสื่อสารบรรลุเป้าหมาย และสร้างผลลัพธ์ที่ดีในความสัมพันธ์ส่วนตัวรวมถึงการทำงาน ตัวอย่างเช่น

  • ผู้นำทีมที่มีทักษะทางสังคมที่ยอดเยี่ยม จะสามารถสร้างบรรยากาศการทำงานที่เป็นบวก แก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างสมาชิกในทีมได้อย่างราบรื่น และสร้างความร่วมมือเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน
  • นักขายที่มีทักษะทางสังคมที่ดี จะสามารถสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว เข้าใจความต้องการของพวกเขา และนำเสนอสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ได้อย่างน่าสนใจ

“ทักษะทางสังคม (Social Skills) ก็เปรียบเสมือนเครื่องมือสร้างปฏิสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพ”

วิธีปฏิบัติเพื่อพัฒนา EQ สำหรับการสื่อสารที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ไม่ได้เป็นสิ่งตายตัว แต่สามารถเรียนรู้และพัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้นได้อยู่เสมอ ด้วยวิธีการดังนี้

1. ฝึกการฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening)

การฟังอย่างตั้งใจไม่ใช่แค่การได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แต่เป็นการจดจ่ออยู่กับผู้พูดอย่างเต็มที่ ด้วยการฟังโดยไม่คิดล่วงหน้าว่าจะตอบอย่างไร และถามคำถามเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจน การทำเช่นนี้จะทำให้ผู้คนรู้สึกว่า พวกเขาได้รับการรับฟังและให้ความสำคัญอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นรากฐานของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และความเข้าใจในการสื่อสาร ตัวอย่างเช่น

  • ในระหว่างการสนทนากับเพื่อนร่วมงานที่กำลังเล่าถึงปัญหา ให้คุณวางโทรศัพท์ลง สบตาผู้พูด และแสดงความสนใจผ่านการพยักหน้า หรือใช้คำพูดที่แสดงความเข้าใจ เช่น “อืม” หรือ “เข้าใจเลย”
  • เมื่อมีคนอธิบายขั้นตอนการทำงานใหม่ให้คุณฟัง ให้คุณลองสรุปใจความสำคัญด้วยคำพูดของคุณเอง เช่น “ถ้าผมเข้าใจถูกต้อง ขั้นตอนแรกคือ… แล้วเราต้องทำ… ต่อใช่ไหมครับ” เพื่อให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจตรงกัน

“ให้ความสำคัญกับการได้ยินอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ตั้งใจที่จะฟังเฉยๆ”

AI_Generated_Image_of_CEO_Listen_to_his_Team_with_Active_Listening

2. จัดการกับสิ่งกระตุ้นทางอารมณ์ (Manage Emotional Triggers)

ตระหนักถึงสถานการณ์หรือคำพูด ที่มักจะจุดประกายอารมณ์รุนแรงในตัวคุณเป็นขั้นตอนแรก จากนั้นให้เตรียมกลยุทธ์เพื่อรักษาความสงบในสถานการณ์เหล่านั้น อาจเป็นการฝึกการหายใจลึกๆ การคิดถึงผลลัพธ์ระยะยาว หรือการเตรียมวลีที่เป็นกลางเพื่อใช้ตอบโต้ การจัดการสิ่งกระตุ้นจะช่วยป้องกันไม่ให้อารมณ์ชั่ววูบ ส่งผลเสียต่อการสื่อสารและความสัมพันธ์ ตัวอย่างเช่น

  • หากคุณรู้ว่าการถูกขัดจังหวะขณะพูดมักจะทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิด ลองฝึกการตอบสนองด้วยความใจเย็น เช่น “ขอโทษครับ/ค่ะ…ผม/ดิฉันยังพูดไม่จบ” แทนที่จะแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน
  • หากคุณต้องเข้าร่วมการประชุมที่คาดว่าจะมีความเห็นขัดแย้งสูง ให้เตรียมใจล่วงหน้าว่าจะมุ่งเน้นไปที่ข้อเท็จจริง และหลีกเลี่ยงการโต้เถียงด้วยอารมณ์

“ตระหนักรู้และเตรียมพร้อมรับมือ กับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านที่อยู่ในตัวคุณ”

AI_Generated_Image_of_A_Manager_Talking_to_His_Team_in_The_Meeting_Room

3. พัฒนาเรื่องความเห็นอกเห็นใจ (Develop Empathy)

การพยายามทำความเข้าใจปัญหาจากมุมมองของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีความเห็นที่ขัดแย้ง จะช่วยให้คุณเข้าใจแรงจูงใจ (Motivation) ความรู้สึก (Feelings) และความต้องการ (Needs) ของอีกฝ่าย ซึ่งนำไปสู่การสื่อสารแบบเปิดใจและสร้างสรรค์มากขึ้น แทนที่จะตัดสินหรือปฏิเสธความคิดเห็นที่แตกต่าง โดยพยายามมองหาจุดร่วมหรือทำความเข้าใจว่า ทำไมอีกฝ่ายถึงคิดเช่นนั้น ตัวอย่างเช่น

  • เมื่อเพื่อนร่วมงานแสดงความไม่พอใจ เกี่ยวกับวิธีการทำงานของคุณ แทนที่จะโต้แย้งก็ให้ลองพูดว่า “ผมเข้าใจว่าคุณอาจจะมองว่าวิธีนี้… แล้วคุณคิดว่ามีวิธีอื่นที่ดีกว่าไหมครับ” เพื่อเปิดโอกาสให้เขาได้แสดงความคิดเห็น และร่วมกันหาทางออก
  • หากลูกน้องมาปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับทางบ้าน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงาน แทนที่จะบอกให้เขามุ่งเน้นที่งานเพียงอย่างเดียว ลองแสดงความเข้าใจและเสนอความช่วยเหลือเท่าที่คุณทำได้

“ผู้นำที่ดีต้องฟังผู้อื่นและมองโลกผ่านมุมมองของผู้อื่นอยู่เสมอ”


4. สังเกตสัญญาณที่ไม่ใช่คำพูด (Observe Nonverbal Cues)

นอกเหนือจากคำพูดแล้ว ภาษาท่าทาง น้ำเสียง และสีหน้า หรือที่เรียกว่าภาษากาย (Nonverbal Language) สามารถบ่งบอกถึงสภาวะทางอารมณ์ที่แท้จริงของผู้พูด การใส่ใจสัญญาณเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของผู้คน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนก็ตาม การสังเกตสัญญาณเหล่านี้ช่วยให้คุณ ปรับวิธีการสื่อสารให้เหมาะสม และตอบสนองต่อความต้องการทางอารมณ์ของผู้คนได้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น

  • หากเพื่อนร่วมงานบอกว่า “สบายดี” แต่ในความเป็นจริง ดูเหนื่อยล้าและหลีกเลี่ยงการสบตา คุณอาจจะถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ทุกอย่างโอเคจริงๆนะ มีอะไรให้ช่วยไหม”
  • ในระหว่างการนำเสนอ หากคุณสังเกตเห็นว่าผู้ฟังบางคน ขมวดคิ้วหรือไม่สบตา อาจเป็นสัญญาณว่าพวกเขากำลังสับสนหรือไม่เห็นด้วย คุณอาจจะหยุดและถามว่า “มีใครมีคำถามหรือข้อสงสัยในส่วนนี้ไหมครับ/คะ”

อ่านอารมณ์ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูดอยู่เสมอ เพราะในบางครั้งคำพูดก็ไม่ตรงกับภาษากาย ที่สื่อออกมาแบบอัตโนมัติ”

AI_Generated_Image_of_A_woman_with_exhausted_face_at_work

5. ตอบสนองไม่ใช่การตอบโต้ (Respond, Don’t React)

ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ การหยุดคิดสักครู่ก่อนที่จะตอบสนองเป็นสิ่งสำคัญ แทนที่จะปล่อยให้อารมณ์นำพาคำพูดของคุณ การใช้เวลาสักครู่จะช่วยให้คุณประมวลผลสถานการณ์ เลือกใช้คำพูดที่เหมาะสม ตอบสนองอย่างมีเหตุผลและสร้างสรรค์ การตอบสนองที่มีสติจะช่วยลดความขัดแย้ง และรักษาความสัมพันธ์ที่ดีได้ ตัวอย่างเช่น

  • เมื่อได้รับคำวิจารณ์ที่อาจจะดูไม่ยุติธรรมในการประชุม แทนที่จะตอบโต้ทันทีด้วยความไม่พอใจ โดยให้คุณพูดว่า “ขอบคุณสำหรับข้อเสนอแนะครับ/ค่ะ…ผม/ดิฉันขอเวลาสักครู่ เพื่อทำความเข้าใจในประเด็นนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น”
  • หากคุณรู้สึกโกรธหรือผิดหวังกับอีเมล์ที่คุณได้รับ อย่าเพิ่งรีบตอบกลับทันที ลองพักสักครู่ อ่านอีเมล์อีกครั้ง และคิดถึงวิธีตอบกลับที่สุภาพและสร้างสรรค์

“คิดก่อนพูดในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ โดยเฉพาะเมื่อทำงานเกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ”

การฝึกฝนทักษะเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ของคุณ ซึ่งจะส่งผลให้คุณสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง และนำไปสู่ผลลัพธ์ของการเป็นผู้นำที่ดีขึ้น


Checklists ในการพัฒนา EQ เพื่อสร้างสัมพันธ์กับผู้ฟัง

เรามาดูรายการตรวจสอบ (Checklists) เกี่ยวกับ “EQ” ของคุณว่า จะแข็งแกร่งพอสำหรับการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพได้มากน้อยเพียงใดกันครับ

  1. ฉันหยุดและไตร่ตรองก่อนที่จะตอบสนองทางอารมณ์หรือไม่
    คุณใช้เวลาสักครู่เพื่อคิดทบทวนความรู้สึก และผลที่จะตามมาก่อนที่จะพูดหรือกระทำ เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่กระตุ้นอารมณ์หรือไม่ การทำเช่นนี้ช่วยให้คุณตอบสนองอย่างมีสติ แทนที่จะปล่อยให้อารมณ์นำพา
  2. ฉันตระหนักหรือไม่ว่าน้ำเสียงของฉันส่งผลต่อผู้อื่นอย่างไร
    คุณใส่ใจกับวิธีการพูดของคุณหรือไม่ คุณเข้าใจหรือไม่ว่าน้ำเสียงที่แตกต่างกัน สามารถทำให้ผู้ฟังรู้สึกอย่างไร เช่น น้ำเสียงที่ห้วนอาจทำให้รู้สึกไม่พอใจ ในขณะที่น้ำเสียงที่นุ่มนวลอาจสร้างความรู้สึกสบายใจ
  3. ฉันสังเกตสัญญาณที่ไม่ใช่คำพูดระหว่างการสนทนาหรือไม่
    คุณให้ความสนใจกับภาษาท่าทาง สีหน้า และน้ำเสียงของผู้พูดหรือไม่ สัญญาณเหล่านี้สามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับความรู้สึกและความคิดที่แท้จริงของพวกเขา
  4. ฉันกำลังฟังอย่างแท้จริงหรือแค่รอถึงตาที่ฉันจะพูด
    เมื่อผู้อื่นกำลังพูด คุณตั้งใจฟังเพื่อทำความเข้าใจอย่างแท้จริง หรือคุณกำลังคิดถึงสิ่งที่คุณจะพูดต่อไป โดยไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่พวกเขากำลังพูด
  5. ฉันพยายามทำความเข้าใจอารมณ์ของผู้อื่น แม้ว่าฉันจะไม่เห็นด้วยหรือไม่
    คุณพยายามมองสถานการณ์จากมุมมองของคนอื่น และเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาหรือไม่ แม้ว่าคุณจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน การทำเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจ และส่งเสริมการสื่อสารที่เปิดกว้าง
  6. เมื่อเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์ ฉันกลายเป็นคนตั้งรับหรือเปิดใจรับฟังกันแน่
    ปฏิกิริยาแรกของคุณต่อคำวิจารณ์คืออะไร คุณรู้สึกว่าต้องปกป้องตัวเองทันที หรือคุณเปิดใจที่จะรับฟัง และพิจารณาว่ามีประโยชน์อะไรบ้างในสิ่งที่ถูกวิจารณ์
  7. บ่อยแค่ไหนที่ฉันช่วยลดความตึงเครียดทางอารมณ์ แทนที่จะทำให้มันรุนแรงขึ้น
    ในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งหรืออารมณ์ตึงเครียด คุณมีแนวโน้มที่จะเป็นคนที่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นหรือทำให้แย่ลง คุณใช้ทักษะทางอารมณ์ของคุณในการไกล่เกลี่ย และสร้างความเข้าใจหรือไม่
  8. ผู้คนรู้สึกสบายใจที่จะแบ่งปันความกังวลที่แท้จริงกับฉันหรือไม่
    ผู้คนรอบข้างรู้สึกปลอดภัยและไว้วางใจ ที่จะเปิดเผยความรู้สึกและความกังวลที่แท้จริงกับคุณหรือไม่ สิ่งนี้บ่งบอกถึงความสามารถของคุณ ในการสร้างบรรยากาศที่เปิดเผยและสนับสนุน

Checklists เหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้อ่านได้หยุดคิดและพิจารณาว่า คุณมีความฉลาดทางอารมณ์ในระดับใดเมื่อพูดถึงการสื่อสาร คำถามเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้น ให้เกิดการไตร่ตรองตนเองอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกในการพัฒนา “EQ” ให้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง


ตัวอย่างผู้นำที่มี EQ สูงในโลกแห่งความเป็นจริง

ผู้นำที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดบางคนของโลก ก็ได้แสดงให้เห็นว่าความฉลาดทางอารมณ์ เป็นรากฐานสำคัญของรูปแบบการสื่อสารของพวกเขา เรามาดูตัวอย่างผู้นำระดับโลกกับการใช้ “EQ” ในการสื่อสารกันครับ

Satya Nadella (CEO ของ Microsoft)

เมื่อ Nadella เข้ามารับตำแหน่งที่ Microsoft เขาได้มุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรจากความคิดแบบ “รู้ทุกสิ่ง” ไปสู่ความคิดแบบ “เรียนรู้ทุกสิ่ง” การมี “EQ” ที่สูงของเขาช่วยให้เกิดการสื่อสารที่เปิดเผยและเห็นอกเห็นใจ สร้างวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรมและความร่วมมือ

Nadella ตระหนักดีว่าการสร้างสภาพแวดล้อม ที่พนักงานรู้สึกปลอดภัยที่จะแสดงความคิดเห็น เรียนรู้จากความผิดพลาดและทำงานร่วมกัน เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของ Microsoft โดยเขาไม่ได้สั่งการจากบนลงล่าง แต่เขาเปิดรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย แสดงความเข้าใจต่อความท้าทายที่พนักงานเผชิญ และสื่อสารวิสัยทัศน์ในลักษณะที่สร้างแรงบันดาลใจ และดึงทุกคนให้มีส่วนร่วม เช่น ในการประชุมภายใน Nadella มักจะใช้คำถามที่กระตุ้นให้เกิดการคิด และการแลกเปลี่ยน แทนที่จะให้คำตอบแบบสำเร็จรูป เขายังให้ความสำคัญกับการรับฟังอย่างตั้งใจ และแสดงความชื่นชมต่อไอเดียใหม่ๆ แม้ว่ามันจะแตกต่างจากแนวทางเดิมก็ตาม

Video Source: https://youtu.be/mIAoFLKUPKw


Jacinda Ardern (อดีตนายกรัฐมนตรีของนิวซีแลนด์)

Ardern เป็นที่รู้จักทั่วโลกในด้านการสื่อสารที่เห็นอกเห็นใจ และสงบในช่วงวิกฤตการณ์ต่างๆ เช่น เหตุการณ์โจมตีที่ไครสต์เชิร์ช (Christchurch) และการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ความสามารถของเธอในการเชื่อมโยงกับประชาชนในระดับอารมณ์ ได้สร้างความไว้วางใจและความสามัคคีของคนในประเทศ

ในช่วงเวลาที่ประชาชนรู้สึกหวาดกลัวและไม่แน่นอน Ardern สื่อสารด้วยความจริงใจ ความเห็นอกเห็นใจ และความชัดเจน โดยเธอไม่ได้พยายามที่จะลดทอนความรุนแรงของสถานการณ์ แต่เธอแสดงความเข้าใจต่อความรู้สึกของผู้คน ด้วยการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และแสดงความมุ่งมั่น ที่จะนำพาประเทศผ่านพ้นวิกฤตไปด้วยกัน น้ำเสียงที่สงบและท่าทีที่ให้กำลังใจของเธอ ช่วยลดความตื่นตระหนกและสร้างความเชื่อมั่นอย่างแท้จริง

โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์โจมตีที่ไครสต์เชิร์ช (Christchurch) แทนที่จะใช้ถ้อยคำที่แข็งกร้าวหรือสร้างความแตกแยก Ardern เลือกที่จะกล่าวถึงเหยื่อด้วยความเคารพ แสดงความเสียใจต่อครอบครัว และเน้นย้ำถึงคุณค่าของความหลากหลาย และความสามัคคีของนิวซีแลนด์ การสื่อสารเช่นนี้ได้รับการชื่นชมอย่างกว้างขวาง ในด้านความเป็นผู้นำที่มีมนุษยธรรม

Video Source: https://youtu.be/JwTt-cvLkLM


Barack Obama (อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา)

สุนทรพจน์ของ Obama มักสะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เกี่ยวกับความหวัง ความกลัว และความปรารถนาของผู้ชม การสื่อสารที่เข้าถึงอารมณ์ของเขา ทำให้คำพูดของเขามีพลังและน่าจดจำ Obama มีความสามารถในการใช้ภาษาที่เชื่อมโยงกับผู้คนในระดับส่วนตัว เขามักจะเล่าเรื่องราวส่วนตัวหรือเรื่องราวของผู้คนทั่วไป เพื่อแสดงให้เห็นถึงหลักการหรือนโยบายที่เขากำลังพูดถึง การทำเช่นนี้ช่วยให้ผู้ฟังรู้สึกว่า Obama เข้าใจพวกเขาและใส่ใจในสิ่งที่พวกเขากังวล เขายังใช้โทนเสียงและจังหวะการพูด ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นอารมณ์ร่วมได้อีกด้วย

สุนทรพจน์ “Yes We Can” ของ Obama เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการสื่อสารที่เข้าถึงอารมณ์ เขาไม่ได้เพียงแค่อธิบายนโยบาย แต่เขาสร้างความหวังและความเชื่อมั่นในอนาคตที่ดีกว่า โดยใช้ภาษาที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง และเชื่อมโยงกับความปรารถนาของผู้คนจำนวนมาก

Video Source: https://youtu.be/Fe751kMBwms


ความสามารถทางเทคนิคและความเชี่ยวชาญ ในวิชาชีพการทำงานนั้นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ แต่หากปราศจากความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) การสื่อสารก็มักจะขาดประสิทธิภาพ ผู้นำที่ให้ความสำคัญกับ “EQ” ในทุกการสร้างปฏิสัมพันธ์ของพวกเขา จะสามารถเชื่อมโยงกับผู้อื่นได้อย่างแท้จริงมากขึ้น แก้ไขความขัดแย้งได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นประสบความสำเร็จได้มากขึ้นนั่นเอง

Share to friends


Related Posts

ความเข้าใจเกี่ยวกับ EQ, IQ และ AQ กับประโยชน์และการประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง

ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา การที่ชีวิตจะประสบความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องของสติปัญญาเพียงอย่างเดียว แม้ว่าความสามารถทางสติปัญญา (IQ) จะยังคงมีความสำคัญมากก็ตาม แต่ความสามารถในการจัดการกับความซับซ้อนที่เกิดขึ้นในสังคมยุคปัจจุบัน


บทบาทสำคัญที่ผู้นำต้องมีในการทำงาน

ปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจคือการมีผู้นำที่ดีมีวิสัยทัศน์ก้าวไกล โดยผู้นำนั้นมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องอาศัยการบริหารทั้งงานที่ต้องให้บรรลุเป้าหมายปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสม รวมไปถึงการบริหารจัดการพนักงานภายในทีมงานและภายในองค์กรให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบทบาทที่ว่านั้นก็มีอยู่ด้วยกัน 9 ประการ


วิธีพัฒนา AQ ทักษะสำคัญสำหรับการทำงานยุคใหม่

AQ (Adversity Quotient) หรือ ที่เราเรียกกันว่าความฉลาดในการแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นความสามารถของบุคคลในการแก้ไขปัญหาและเอาชนะความยากลำบาก ที่สะท้อนถึงความยืดหยุ่น ความพากเพียร และความสามารถในการปรับตัวเมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายและอุปสรรค



copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์