Photo_of_Sales_and_Shopping_Bag

ปัจจุบันนี้เราอยู่บนความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การเกิดสงครามในบางพื้นที่ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คน หนี้ผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงความภักดีต่อแบรนด์ที่ลดลง ทำให้แบรนด์จำนวนมาก (แม้แต่แบรนด์ที่มีชื่อเสียงที่สุด) กำลังพิจารณาแนวทางในการทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งนั่นก็คือ เรื่องของการมอบ “ส่วนลด” (Discount) โดยเฉพาะแบรนด์ระดับ Super Luxury หรือระดับ High-end และการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ก็กำลังเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ซึ่งนั่นก็คือ “จะให้ส่วนลดอย่างไรโดยไม่ทำให้แบรนด์ดูด้อยค่าลง

แต่ทำไมบางแบรนด์ถึงสามารถทำเช่นนั้นได้ ในขณะที่บางแบรนด์กลับเสี่ยงที่จะทำลายภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Image) Link ที่รับรู้ว่าเป็นแบรนด์ระดับพรีเมียม มีความหรูหรา ที่สร้างมาอย่างยากลำบาก ประกอบกับความจำเป็นต้องเข้าไปสู่กลยุทธ์การลดราคา (Discount Strategy) เพื่อรักษาทั้งยอดขายที่ลดลง พร้อมกับช่วยเหลือผู้บริโภค

ผมจะพาผู้อ่านมาเจาะลึกถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ว่าเพราะเหตุใดแบรนด์จำเป็นต้องลดราคา และหากต้องลดราคาจริงๆก็ควรจะทำอย่างไร เพื่อไม่ให้แบรนด์สูญเสียภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Image) Link และคุณค่าของแบรนด์ (Brand Values) Link ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน

ทำไม Luxury Brands หรือ High-end Brands ถึงหลีกเลี่ยงการลดราคามาโดยตลอด

ในอดีตแบรนด์หรู (Luxury Brands) มักต่อต้านการให้ส่วนลดเพราะ

  • ภาพลักษณ์ความพิเศษ (Exclusivity) ความหายากและราคาสูงช่วยรักษาความต้องการ
  • การบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ (Brand Storytelling) มรดกและงานฝีมือเป็นสิ่งที่ยากจะเข้ากันได้กับการลดราคา
  • การแสดงสถานะของลูกค้า (Status) การเป็นเจ้าของสินค้าที่ไม่ลดราคาช่วยเสริมสร้างศักดิ์ศรีทางสังคม
  • การควบคุมช่องทางจำหน่าย (Chanel Control) แบรนด์หรูมักขายผ่านบูติกที่ควบคุมอย่างเข้มงวด ไม่ใช่ร้านค้าปลีกที่เน้นการลดราคา

เมื่อแบรนด์หรูลดราคาอย่างเปิดเผย พวกเขาก็เสี่ยงต่อการทำให้ภาพลักษณ์ดูด้อยค่าลง สร้างความไม่พอใจให้กับลูกค้าประจำที่จ่ายราคาสูง และสร้างความคาดหวังที่ลดทอนยอดขายในราคาเต็ม

Discount Phenomenon กับการลดราคาครั้งแรกของแบรนด์

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาภาพรวมของการลดราคา (Discount) ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ซึ่งผมเชื่อว่าหลายๆคนอาจเคยเห็น “บางแบรนด์มีการลดราคา หรือจัดโปรโมชั่นเกือบตลอดทั้งปี” ซึ่งมักจะเห็นได้ชัดเจนเป็นพิเศษใน

  • แบรนด์ประเภท Fast Fashion อย่างเช่น Zara, H&M, Uniqlo ที่ใช้โปรโมชั่นแบบหมุนเวียน เพื่อดึงดูดลูกค้าและระบายสินค้าคงคลังที่มีอยู่
  • แบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับกลาง อย่างเช่น GAP, Banana Republic ที่การลดราคาอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นกลยุทธ์ที่นำมาใช้เพื่อขับเคลื่อนยอดขาย
  • อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้บริโภค เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตร์ เครื่องดูดฝุ่น ซึ่งพึ่งพาแคมเปญราคาอย่างต่อเนื่อง เพื่อแข่งขันด้านคุณสมบัติและความต้องการตามฤดูกาล
A_Discount_Sign_in_Shopping_Mall

ความถี่ของส่วนลดในกลุ่มธุรกิจเหล่านี้ ได้ฝึกฝนให้ลูกค้าบางกลุ่มเกิดพฤติกรรมชะลอการซื้อ โดยจะซื้อเฉพาะเมื่อมีโปรโมชั่นเท่านั้น และในหลายๆกรณีแบรนด์ได้สร้าง “การเสพติดส่วนลด” (Discount Addict) ขึ้นมาทั้งโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่า ก็คือ การได้เห็น “แบรนด์หรู” (Luxury Brands) ชื่อดัง ซึ่งไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับลดราคา ก็ได้ “เสนอการลดราคาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์” ตัวอย่างเช่น

  • Balenciaga
    ในอดีตเคยหลีกเลี่ยงการลดราคาอย่างชัดเจน แต่ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำและการเปลี่ยนแปลง ของความเชื่อมั่นในตัวผู้บริโภค Balenciaga เริ่มเสนอโปรโมชั่นแบบเลือกสรร และส่วนลดแบบจำกัดเวลา (Limited-Time Offer) Link
  • Gucci
    ที่โดยปกติแล้วจะพึ่งพาความหายากและมรดกของแบรนด์ (Brand Heritage) Link แต่ได้เข้าร่วมโปรโมชั่นบนแพลตฟอร์ม E-Commerce ไฮเอนด์อย่างไม่เปิดเผย (เช่น การเชิญเข้าร่วมการขายส่วนตัวของ MyTheresa) เพื่อรักษากระแสเงินสดโดยไม่ต้องเปิดเผยสู่ตลาดมวลชน
  • Saint Laurent
    เป็นแบรนด์ที่รู้จักในการจัดจำหน่ายที่เข้มงวดและการควบคุมราคา แต่ในบางภูมิภาคก็ได้ระบายสต็อกตามฤดูกาลอย่างเงียบๆ ผ่านผู้ค้าปลีกที่เป็นพันธมิตรของแบรนด์
  • Burberry
    ในช่วงการระบาดของ COVID-19 ได้เสนอส่วนลดเพิ่มขึ้นผ่านร้านค้าเอาท์เล็ต และการลดราคาแบบจำกัดเวลา (Limited-Time Offer) Link บนแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อลดสินค้าค้างในสต็อกและรักษาสภาพคล่องทางการเงิน
Balenciaga_Shirt

การที่แบรนด์หรูระดับนี้เข้ามาสู่การลดราคานั้น ไม่ใช่เรื่องของการเพิ่มรายได้ จากสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีอีกหลากหลายเหตุผลที่อยู่เบื้องหลัง ดังนี้

  • การสนับสนุนลูกค้า
    เมื่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจทวีความรุนแรงขึ้น เช่น ภาวะเงินเฟ้อหรือหนี้ที่เพิ่มขึ้น แม้แต่ลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงก็ยังเกิดความอ่อนไหวต่อราคามากขึ้น
  • แรงกดดันด้านสินค้าคงคลัง
    เมื่อการใช้จ่ายในสินค้าหรูที่พึ่งพาการท่องเที่ยวนั้นล่มสลาย แบรนด์ต่างๆก็มีสินค้าในคอลเลกชันเดิมที่ขายไม่ออกสะสมอยู่จำนวนมาก ซึ่งต้องระบายออกเพื่อเปิดทางให้กับคอลเลกชันใหม่ๆ
  • การเปลี่ยนแปลงในช่องทางการช้อปปิ้ง
    การเติบโตของแพลตฟอร์ม E-Commerce สำหรับสินค้าหรู เช่น Farfetch, Net-A-Porter, MyTheresa, 24S (24 Sèvres), LUISAVIAROMA ได้สร้างวิธีการในการระบายสต็อก โดยไม่ลดทอนความพิเศษเฉพาะของร้านค้า
  • การแข่งขันที่รวดเร็ว
    การยึดติดกับนโยบายเดิมอย่างสมบูรณ์แบบ เสี่ยงต่อการสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาด เมื่อแบรนด์จำนวนมากในตลาดได้ใช้วิธีการลดราคาเพื่อเข้าถึงลูกค้า
  • การปรับตำแหน่งแบรนด์
    ในบางกรณีแบรนด์พยายามขยายฐานลูกค้า โดยไม่ต้องเปิดตัวคอลเลกชันใหม่ที่มีราคาต่ำ แต่ทดลองใช้การปรับราคาแบบเลือกสรรเป็นหนึ่งในกลยุทธ์แทน

ในขณะที่แบรนด์แฟชั่นแบบ Fast Fashion และแบรนด์แนวไลฟ์สไตล์ มีการลดราคากันอย่างเปิดเผย แต่ด้วยความเป็นแบรนด์ระดับหรู (Luxury Brands) จะต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายภาพลักษณ์ของความพิเศษเฉพาะตัว (Exclusivity Image) ที่ถูกสร้างมาอย่างยาวนานด้วยความยากลำบาก

มุมมองของส่วนลด (Discount) กับกลยุทธ์การตลาด

  1. ส่วนลดตลอดทั้งปี (All-Year Discounts)
    หลายแบรนด์ตอนนี้จัดโปรโมชันอย่างต่อเนื่อง เช่น “ซื้อ 1 แถม 1” “Mid-Year Sale” “โปรโมชันพิเศษสิ้นเดือน” สิ่งนี้สร้างวงจรที่ลูกค้าคาดหวัง และรอคอยข้อเสนอดีๆอยู่เสมอ
  2. ส่วนลดเป็นครั้งคราว / ตามฤดูกาล (Occasional / Seasonal Discounts)
    ส่วนลดที่ผูกติดกับวันหยุดหรือกิจกรรมพิเศษ เช่น วันวาเลนไทน์ Black Friday เทศกาลปีใหม่ ที่ให้ความรู้สึกที่สมเหตุสมผล และมีกรอบเวลาที่ชัดเจนกว่า
  3. สงครามราคา (Price Wars)
    การแข่งขันด้านราคามักกลายเป็นวิธีที่เร็วที่สุด ในการเพิ่มปริมาณยอดขาย โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดมวลชน แต่ต้องแลกมาด้วยต้นทุนระยะยาวจากการสูญเสียผลกำไร และภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่อ่อนแอลง
  4. การรับรู้ว่าเป็นแบรนด์ลดราคา (Discount Brand Recognition)
    แบรนด์ที่แทบจะไม่ขายสินค้าในราคาเต็มเลย ในที่สุดก็จะฝึกให้ลูกค้ามองว่าพวกเขาเป็น “แบรนด์สินค้าลดราคา” แม้ว่าแบรนด์ของคุณจะมีภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Image) Link และตำแหน่งของแบรนด์ (Brand Positioning) Link เป็นอย่างอื่นก็ตาม
  5. พฤติกรรมผู้บริโภค (Consumer Habits)
    นักช้อปที่ฉลาดจะรู้ดีว่าเมื่อไหร่จะมีการลดราคา จนเกิดเป็นความภักดีต่อราคา (Price Loyalty) ที่ได้เข้ามาแทนที่ความภักดีต่อตัวแบรนด์ (Brand Loyalty) Link เอง

    แม้ว่านักการตลาดหลายคนจะยอมรับสิ่งนี้ว่า “เป็นกลยุทธ์ที่จำเป็น” แต่ก็มีหลายๆคนกลัวที่จะ “ติดกับดักของการกลายเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วๆไป”

กลยุทธ์การลดราคาสำหรับแบรนด์หรู (Luxury Brands)

แม้กระทั่งในอุตสาหกรรมแฟชั่นและสินค้าหรูหรา การลดราคาก็ยังเกิดขึ้นได้ในบางโอกาส แต่จะดำเนินการอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้กระทบต่อภาพลักษณ์และมูลค่าของแบรนด์ ซึ่งแตกต่างจากการลดราคาแบบทั่วไปอย่างสิ้นเชิง โดยมักมีวิธีการใช้ ดังนี้

1. การขายแบบส่วนตัวสำหรับลูกค้าคนสำคัญ (Private Client Sales)

เพื่อ “รักษาความพิเศษ” ของแบรนด์ ลูกค้าที่ได้รับเชิญจะรู้สึกว่าตนเองเป็นคนพิเศษ (Special) และได้รับสิทธิประโยชน์เหนือกว่าผู้อื่น (Privilege) ซึ่งถือว่าเป็นการให้รางวัลแก่ความภักดี (Loyalty) ในขณะเดียวกันก็ช่วยระบายสินค้าบางส่วนได้อย่างแนบเนียน โดยที่คนทั่วไปไม่ได้รับรู้ ทำให้ภาพลักษณ์ราคาเต็มของแบรนด์ยังคงอยู่ โดยแบรนด์จะส่ง “คำเชิญพิเศษ” (Exclusive Invitation) ให้กับลูกค้าประจำ (Loyal Customers) หรือลูกค้าแบบ VIP เท่านั้น เพื่อเข้าร่วมงานขายที่จัดขึ้นเป็นพิเศษ และมักจะไม่ประกาศต่อสาธารณะ

2. การลดราคาเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล (Season-End Markdowns)

การลดราคาประเภทนี้เป็นการ “เคลียร์สต็อกตามฤดูกาล” เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับสินค้าคอลเลกชันใหม่ “ไม่ใช่การลดคุณค่า” ของแบรนด์หรือสินค้านั้นๆ โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่คาดเดาได้ เช่น ปลายฤดูหนาวหรือปลายฤดูร้อน ซึ่งลูกค้าก็เข้าใจบริบทนี้ดีอยู่แล้ว

3. ช่องทางร้านค้าเอาท์เล็ต (Outlet Channels)

การแยกช่องทางการจัดจำหน่ายถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะร้านแบบเอาท์เล็ตมักจะ “ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกล” หรือศูนย์การค้าเฉพาะทางสำหรับเอาท์เล็ต ซึ่งแตกต่างจากร้านค้าเรือธง (Flagship Stores) ที่ดูหรูหราและจำหน่ายในราคาเต็ม วิธีนี้ช่วยให้แบรนด์สามารถระบายสต็อกสินค้าค้างเก่า หรือสินค้าที่ผลิตเพื่อเอาท์เล็ตโดยเฉพาะในราคาที่ต่ำกว่าได้ “โดยไม่ทำให้ภาพลักษณ์ของร้านค้าหลัก รวมถึงสินค้าในคอลเลกชันปัจจุบัน” ลูกค้าที่ไปเอาท์เล็ตต่างก็เข้าใจดีว่า กำลังไปซื้อสินค้าจากซีซันเก่าหรือสินค้าที่จัดทำมาโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับลูกค้าที่ซื้อราคาเต็มในร้านบูติกต่างๆ

4. การร่วมมือกับแบรนด์อื่นในระยะเวลาจำกัด (Limited-Time Collabs)

การร่วมมือในลักษณะนี้ช่วยให้แบรนด์สามารถ “เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ” ที่อาจไม่เคยซื้อสินค้าในราคาเต็มได้ โดยการนำเสนอสินค้าใน “ราคาที่จับต้องได้มากขึ้น” ผ่านช่องทางของพันธมิตรทางธุรกิจ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ถือว่าไม่ใช่การลดราคาสินค้าหลักของแบรนด์ แต่เป็นการสร้างสรรค์สินค้าชิ้นใหม่ ที่มีราคาต่างออกไปภายใต้ความร่วมมือพิเศษ ซึ่งเมื่อหมดระยะเวลาความร่วมมือแล้ว สินค้าก็จะหายไปจากตลาดซึ่งช่วยรักษาความพิเศษ และไม่กระทบต่อราคาของสินค้าหลักของแบรนด์เลย


การมอบส่วนลด (Discount) ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำ แต่การจะทำเช่นนั้นต้องอาศัยความละเอียดอ่อน และการสร้างเรื่องราวเชิงกลยุทธ์ เพื่อหลีกเลี่ยงการบั่นทอนมูลค่าในระยะยาวของแบรนด์ โดยเฉพาะหากแบรนด์ของคุณวางตำแหน่งเอาไว้สูง และไม่อยากให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีในสายตาของผู้บริโภคนั่นเอง


Share to friends


Related Posts

เทียบข้อดีข้อเสียของกลยุทธ์การลดราคา

ในทางการตลาดนั้นมันมักจะมีกลยุทธ์ใหม่ๆเกิดขึ้นอยู่เสมอ เพื่อนำมาใช้ในการดึงดูดลูกค้าและสร้างรายได้รวมถึงผลกำไรให้กับแบรนด์หรือธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเสนอโปรโมชันแบบซื้อ 1 แถม 1 การแจกฟรีเมี่ยม Friend Gets Friend หรือการขายแบบ Cross Selling และ Up Selling ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นที่นิยมที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน แต่ในบทความนี้จะพูดถึงกลยุทธ์การลดราคาซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เก่าแก่และยังคงเห็นเกือบทุกแบรนด์ใช้อยู่ ซึ่งเราจะมาดูกันครับว่ากลยุทธ์การลดราคานั้นมันมีข้อดีและข้อเสียอย่างไรกันบ้าง


เจาะลึกโลกของ Fashion Luxury สัญลักษณ์ของความ Prestige และ Exclusivity

แฟชั่นแห่งความหรูหรา (Fashion Luxury) นั้นเป็นมากกว่าเสื้อผ้าชั้นสูง เพราะมันคือสัญลักษณ์ของความเป็นเอกสิทธิ์ (Exclusivity) เกียรติยศ (Prestige) และงานฝีมืออันประณีต (Craftsmanship) คำว่า “แฟชั่นแห่งความหรูหรา” (Fashion Luxury) มีความแตกต่างจาก “แฟชั่นระดับหรู” (Luxury Fashion) ด้วยการเน้นย้ำถึงแนวทางเฉพาะตัว ในเรื่องความเป็นเอกสิทธิ์ (Exclusivity) และการสร้างแบรนด์ (Branding)



copyright 2025@popticles.com
หากท่านต้องการนำเนื้อหาในเว็บไซต์นี้ไปเผยเพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเว็บไซต์