
ในโลกของธุรกิจ (Business) การตลาด (Marketing) และการสร้างแบรนด์ (Branding) มักจะมีคำว่า “การตัดสินใจ” (Decision Making) เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ โดยการตัดสินใจ คือ เส้นเลือดใหญ่ที่สามารถตัดสินความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแคมเปญการตลาด การปรับกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือการเลือกพันธมิตรในเชิงกลยุทธ์ คุณภาพของการตัดสินใจจะส่งผลโดยตรงต่อผลลัพธ์ ซึ่งต้องอาศัยการตัดสินใจที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ และในบทความนี้ผมจะพาผู้อ่านมาสำรวจขั้นตอนสำคัญๆ เพื่อพัฒนากระบวนการตัดสินใจให้เฉียบคมมากขึ้นครับ

ขั้นตอนการตัดสินใจ (Decision Making)

1. การระบุปัญหาหรือโอกาส (Problems / Opportunities)
ขั้นตอนนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ การระบุปัญหาหรือโอกาสได้อย่างถูกต้องแม่นยำ จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดหรือการคว้าโอกาสที่เหมาะสม การระบุปัญหาต้องอาศัยการสังเกต (Observation) การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytic) และการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนได้เสีย (Stakeholder Feedback) เพื่อทำความเข้าใจสาเหตุและผลกระทบของปัญหาอย่างแท้จริง และในขณะที่การระบุโอกาสต้องมีความตื่นตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด (Market Shifts) เทคโนโลยี (Technology) และพฤติกรรมผู้บริโภค (Consumer Behavior) เพื่อมองเห็นโอกาสใหม่ๆ ที่จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage) หากการระบุปัญหาหรือโอกาสผิดพลาด ก็จะนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ถูกต้องและอาจส่งผลเสียต่อธุรกิจได้ เช่น
- มุมมองทางธุรกิจ (Business Perspective)
- บริษัทค้าปลีกอาจสังเกตเห็นยอดขายที่ลดลง สำหรับหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ A และนี่คือปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขทันที
- การเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียใหม่ๆ อาจแสดงถึงโอกาสในการเข้าถึงที่มากขึ้น และโอกาสในการสร้างการมีส่วนร่วมของแบรนด์
- มุมมองทางการตลาด (Marketing Perspective)
- ทีมการตลาดอาจระบุช่องว่างในตลาด สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Sustainable Products) ที่มุ่งเป้าไปที่ผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
- การวิเคราะห์ความคิดเห็นของลูกค้าและการวิจัยตลาด สามารถเผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงความชอบของผู้บริโภค ซึ่งบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการปรับกลยุทธ์ทางการตลาด
- มุมมองการสร้างแบรนด์ (Branding Perspective)
- แบรนด์อาจตระหนักว่าภาพลักษณ์ปัจจุบันล้าสมัย และไม่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายอีกต่อไป นี่คือสัญญาณของความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนแบรนด์
- บริษัทอาจระบุว่าคุณค่าของแบรนด์ (Brand Values)
ไม่ได้ถูกสื่อสารไปยังลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การสื่อสารให้เหมาะสม
ตัวอย่างเช่น ร้านกาแฟท้องถิ่นขนาดเล็กที่สังเกตเห็นยอดขายช่วงบ่ายลดลงอย่างมาก พวกเขาระบุปัญหาได้ว่า Traffic ของลูกค้าลดลงในช่วงเวลาเหล่านั้น และยังสังเกตเห็นแนวโน้มใหม่ของกาแฟสกัดเย็นที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

2. การรวบรวมข้อมูล (Data Collection)
เมื่อระบุปัญหาหรือโอกาสเรียบร้อยแล้ว ขั้นต่อไปจะเกี่ยวข้องกับการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาหรือโอกาส เพื่อนำมาวิเคราะห์และประเมินทางเลือกในการตัดสินใจ แหล่งข้อมูลอาจมาจากข้อมูลภายในองค์กร เช่น ข้อมูลการขาย (Sales Data) ข้อมูลลูกค้า (Customer Data) หรือข้อมูลการตลาด (Marketing Data) รวมถึงข้อมูลภายนอกองค์กร เช่น ข้อมูลจากงานวิจัยตลาด (Market Research) ข้อมูลจากคู่แข่ง (Competitors) หรือข้อมูลจากแหล่งข้อมูลออนไลน์ (Online Resources) การวิเคราะห์ข้อมูลต้องใช้เครื่องมือและเทคนิคต่างๆ เพื่อวิเคราะห์ให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำมาใช้ในการตัดสินใจได้ ข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้องจะช่วยให้การตัดสินใจมีความแม่นยำและน่าเชื่อถือมากขึ้น เช่น
- มุมมองทางธุรกิจ (Business Perspective)
- ดำเนินการวิจัยตลาด วิเคราะห์ข้อมูลการขาย และรวบรวมความคิดเห็นจากพนักงานและลูกค้า
- ดำเนินการวิเคราะห์คู่แข่งเพื่อทำความเข้าใจกลยุทธ์ของพวกเขา และระบุภัยคุกคามหรือโอกาสที่อาจจะเกิดขึ้น
- มุมมองทางการตลาด (Marketing Perspective)
- วิเคราะห์ข้อมูลประชากร ข้อมูลด้านจิตวิทยา และพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า
- ติดตามแนวโน้มบนโลกโซเชียลมีเดีย และวิเคราะห์ปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์
- วิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดปัจจุบัน
- มุมมองการสร้างแบรนด์ (Branding Perspective)
- ดำเนินการตรวจสอบแบรนด์ เพื่อประเมินการรับรู้ในตัวของแบรนด์ ณ ปัจจุบัน
- วิเคราะห์ความคิดเห็นของลูกค้าเกี่ยวกับภาพลักษณ์ (Brand Image)
และคุณค่าของแบรนด์ (Brand Values)
- ทำการสำรวจและวิจัยเกี่ยวกับการสร้างแบรนด์ของคู่แข่ง รวมถึงการวางตำแหน่งทางการตลาดของคู่แข่ง
ตัวอย่างเช่น ร้านกาแฟจะรวบรวมข้อมูล โดยการวิเคราะห์ข้อมูลการขายในช่วงบ่าย สำรวจความชอบของลูกค้า และวิจัย Value Propositions ของคู่แข่ง และพวกเขาอาจดูแนวโน้มประชากรในท้องถิ่นเพิ่มอีกด้วย

3. การพัฒนาทางเลือก (Alternative Development)
ขั้นตอนนี้เป็นการสร้างทางเลือกในการแก้ไขปัญหาหรือการคว้าโอกาสต่างๆ โดยใช้ข้อมูลที่รวบรวมมาเป็นพื้นฐาน มาทำการระดมความสมอง (Brainstorming) ซึ่งต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity)
และมุมมองที่หลากหลาย เพื่อสร้างทางเลือกที่ครอบคลุมและเป็นไปได้ การประเมินเบื้องต้นต้องประเมินความเป็นไปได้ และผลกระทบของแต่ละทางเลือก เพื่อคัดเลือกทางเลือกที่มีศักยภาพมากที่สุด การมีทางเลือกที่หลากหลายจะช่วยให้มีตัวเลือกที่ดีที่สุดในการตัดสินใจ เช่น
- มุมมองทางธุรกิจ (Business Perspective)
- สำรวจกลยุทธ์การกำหนดราคาที่แตกต่างกัน (Pricing Strategy)
พัฒนาเพื่อขยายสายผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือการเลือกใช้ขั้นตอนการดำเนินงานแบบใหม่
- พิจารณาการเป็นหุ้นส่วน การควบรวมกิจการ หรือการเข้าซื้อกิจการเพื่อขยายการเข้าถึงตลาด
- สำรวจกลยุทธ์การกำหนดราคาที่แตกต่างกัน (Pricing Strategy)
- มุมมองทางการตลาด (Marketing Perspective)
- พัฒนาแคมเปญการตลาดต่างๆ สำรวจช่องทางการโฆษณาที่แตกต่างกัน หรือกิจกรรมส่งเสริมการขายรูปแบบใหม่
- พิจารณาการตลาดแบบ Influencer Marketing
การทำ Content Marketing หรือกลยุทธ์การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย (Social Media Marketing Strategy)
- มุมมองการสร้างแบรนด์ (Branding Perspective)
- พัฒนา Key Message
ของแบรนด์ใหม่ ออกแบบปรับปรุงโลโก้และอัตลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Identity)
ใหม่ หรือสร้างเรื่องราวของแบรนด์ (Brand Story)
ใหม่ให้เหมาะสม
- พิจารณาการสร้างพันธมิตรและทำงานร่วมกันระหว่างแบรนด์ (Brand Collaboration)
หรือสร้างกิจกรรมการสร้างแบรนด์เชิงประสบการณ์
- พัฒนา Key Message
ตัวอย่างเช่น ร้านกาแฟอาจพิจารณาเสนอโปรโมชั่นพิเศษในช่วงบ่าย แนะนำรายการอาหารใหม่ พัฒนาโปรแกรมสะสมคะแนน หรือจัดกิจกรรมดนตรีสดเพื่อดึงดูดลูกค้า

4. การประเมินทางเลือก (Alternative Assessment)
ขั้นตอนนี้เป็นการวิเคราะห์และเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละทางเลือก เพื่อทำการเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด เกณฑ์การประเมินต้องกำหนดอย่างชัดเจน และสอดคล้องกับเป้าหมายของการตัดสินใจ เช่น เรื่องต้นทุน เรื่องผลตอบแทน เรื่องความเสี่ยง หรือผลกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยการวิเคราะห์ความเสี่ยงจำเป็นต้อง ประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากแต่ละทางเลือก และพิจารณาแผนสำรองเพื่อลดความเสี่ยงนั้นๆ การประเมินทางเลือกอย่างรอบคอบ จะช่วยให้ตัดสินใจเลือกทางที่เหมาะสมที่สุด เช่น
- มุมมองทางธุรกิจ (Business Perspective)
- ดำเนินการวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ที่ได้รับ ประเมินผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่อาจเกิดขึ้น และประเมินความเป็นไปได้ในการนำไปใช้งาน
- พิจารณาผลกระทบต่อทรัพยากรต่างๆ เช่น เวลา และบุคลากร
- มุมมองทางการตลาด (Marketing Perspective)
- วิเคราะห์การเข้าถึง ผลกระทบ และความคุ้มค่าของกลยุทธ์ทางการตลาด ในแต่กิจกรรมและแต่ละช่องทาง
- พิจารณาความชอบของกลุ่มเป้าหมาย และงบประมาณการตลาดโดยรวม
- มุมมองการสร้างแบรนด์ (Branding Perspective)
- ประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการรับรู้ในตัวแบรนด์ (Brand Awareness)
และความภักดีของลูกค้า (Customer Loyalty)
- พิจารณาการบริหารจัดการแบรนด์ใหม่ ให้เข้ากับค่านิยมของบริษัทและเป้าหมายในระยะยาว
- ประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการรับรู้ในตัวแบรนด์ (Brand Awareness)
ตัวอย่างเช่น ร้านกาแฟวิเคราะห์ต้นทุนที่อาจเกิดขึ้นของแต่ละทางเลือก การเพิ่มขึ้นของยอดขายที่คาดหวัง และทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการนำไปใช้งาน และยังพิจารณาผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ และประสบการณ์ของลูกค้า

5. การตัดสินใจ (Decision Making)
ขั้นตอนนี้เป็นการเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดจากทางเลือกที่ประเมินไว้ โดยพิจารณาจากเกณฑ์การประเมินและผลการวิเคราะห์ การตัดสินใจอย่างมีเหตุผลต้องตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลและเหตุผลประกอบ ไม่ใช้อารมณ์หรือความรู้สึกส่วนตัว การสื่อสารการตัดสินใจต้องสื่อสารการตัดสินใจให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าใจและยอมรับ เพื่อให้การนำไปปฏิบัติเป็นไปอย่างราบรื่น การตัดสินใจที่ดีจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ เช่น
- มุมมองทางธุรกิจ (Business Perspective)
- เลือกทางเลือกที่สร้างความสมดุลที่ดีที่สุด ระหว่างผลประโยชน์ (Benefits) ที่จะได้รับ และความเสี่ยง (Risks) ที่อาจเกิดขึ้น
- สื่อสารการตัดสินใจไปยังผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และบริหารจัดการการยอมรับของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
- มุมมองทางการตลาด (Marketing Perspective)
- เลือกกลยุทธ์ทางการตลาดที่สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทและกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
- จัดสรรงบประมาณการตลาดตามความเหมาะสมที่ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
- มุมมองการสร้างแบรนด์ (Branding Perspective)
- เลือกกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ที่สะท้อนค่านิยม (Core Values)
ได้ดีที่สุด และสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแบรนด์มีความสม่ำเสมอ (Consistency) ในอัตลักษณ์ และการสื่อสารในทุกๆแพลตฟอร์ม
- เลือกกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ที่สะท้อนค่านิยม (Core Values)
ตัวอย่างเช่น ร้านกาแฟตัดสินใจที่จะทำแคมเปญ “ช่วงเวลาแห่งความสุข” ในตอนบ่าย พร้อมนำเสนอเครื่องดื่มและของว่างลดราคา เนื่องจากเป็นการสร้างความสมดุลที่ดี ในการดึงดูดลูกค้าและรักษาผลกำไร

6. การนำการตัดสินใจไปปฏิบัติ (Execution)
ขั้นตอนนี้เป็นการนำทางเลือกที่เลือกไว้ไปปฏิบัติจริง โดยมีการวางแผนและดำเนินการอย่างเป็นระบบ โดยการวางแผนการปฏิบัติต้องกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติ กำหนดผู้รับผิดชอบ และกำหนดระยะเวลาในการปฏิบัติ และต้องติดตามความคืบหน้าของการปฏิบัติรวมถึงประเมินผลลัพธ์ เพื่อให้แน่ใจว่าการปฏิบัติเป็นไปตามแผน เช่น
- มุมมองทางธุรกิจ (Business Perspective)
- พัฒนาแผนการดำเนินการโดยละเอียด มอบหมายความรับผิดชอบ และกำหนดระยะเวลา
- ติดตามความคืบหน้าและทำการปรับเปลี่ยนตามความจำเป็น
- มุมมองทางการตลาด (Marketing Perspective)
- เปิดตัวแคมเปญการตลาด เฝ้าติดตามประสิทธิภาพ และทำการปรับเปลี่ยนที่จำเป็น
- รวบรวมความคิดเห็นของลูกค้าเกี่ยวกับแคมเปญต่างๆ
- มุมมองการสร้างแบรนด์ (Branding Perspective)
- เปิดตัวแบรนด์ใหม่ในทุกๆแพลตฟอร์ม รวมถึงเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย และสื่อการตลาดอื่นๆ
- ฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับ Key Message
และคุณค่าของแบรนด์ (Brand Values)
เพื่อให้พนักงานเข้าใจและถ่ายทอดสู่ภายนอก
ตัวอย่างเช่น ร้านกาแฟผลิตสื่อส่งเสริมการขาย มีการฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับเมนูใหม่ๆ และโปรโมทกิจกรรมผ่านโซเชียลมีเดีย รวมถึงโฆษณาสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ

7. การประเมินผลลัพธ์ (Evaluation)
ขั้นตอนนี้เป็นการประเมินผลลัพธ์ของการตัดสินใจ เพื่อตรวจสอบว่าการตัดสินใจนั้นประสบความสำเร็จหรือไม่ การวัดผลลัพธ์ต้องวัดผลลัพธ์โดยใช้ตัวชี้วัดที่ชัดเจน และสอดคล้องกับเป้าหมายของการตัดสินใจ โดยการเรียนรู้จากผลลัพธ์ต้องวิเคราะห์ผลลัพธ์เพื่อเรียนรู้ข้อผิดพลาด และปรับปรุงกระบวนการตัดสินใจในอนาคต ที่จะช่วยให้ปรับปรุงการตัดสินใจให้ดีขึ้นในอนาคต
- มุมมองทางธุรกิจ (Business Perspective)
- วิเคราะห์ผลลัพธ์ของการนำไปใช้ วัดผลกระทบต่อตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลัก (KPI)
และระบุจุดที่ต้องปรับปรุง
- รวบรวมความคิดเห็นจากลูกค้าและพนักงาน เพื่อนำผลลัพธ์นั้นมาปรับปรุง
- วิเคราะห์ผลลัพธ์ของการนำไปใช้ วัดผลกระทบต่อตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลัก (KPI)
- มุมมองทางการตลาด (Marketing Perspective)
- วิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญ การวัด ROI
ของกิจกรรมต่างๆ และระบุจุดที่ต้องปรับปรุง
- รวบรวมความคิดเห็นของลูกค้าเกี่ยวกับสื่อการตลาด
- วิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญ การวัด ROI
- มุมมองการสร้างแบรนด์ (Branding Perspective)
- ติดตามการรับรู้ในตัวแบรนด์ (Brand Awareness)
และความภักดีของลูกค้า (Customer Loyalty)
และทำการปรับเปลี่ยนตามความจำเป็น
- รวบรวมความคิดเห็นของลูกค้าเกี่ยวกับแบรนด์ในมิติต่างๆ
- ติดตามการรับรู้ในตัวแบรนด์ (Brand Awareness)
ตัวอย่างเช่น ร้านกาแฟวิเคราะห์ข้อมูลการขายในช่วงบ่าย หลังจากใช้แคมเปญ “ช่วงเวลาแห่งความสุข” โดยรวบรวมความคิดเห็นของลูกค้า และทำการปรับเปลี่ยนโปรโมชั่นตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น


ด้วยการทำตามขั้นตอนที่มีโครงสร้างเหล่านี้ ธุรกิจ ทีมการตลาด และผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์ จะสามารถตัดสินใจอย่างมีข้อมูลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโปรดจำไว้ว่ากระบวนการตัดสินใจไม่ได้เป็นเส้นตรงเสมอไป ที่สามารถปรับเปลี่ยนและลัดกระบวนการได้ตลอดเวลา แต่การมีกรอบการทำงานที่ชัดเจน ก็จะช่วยให้คุณนำทางธุรกิจให้บรรลุเป้าหมายได้นั่นเอง